เมนู

ปริหานิกถา


[191] สกวาที พระอรหันต์ เสื่อมจากอรหัตผลได้ หรือ ?
ปรวาที ถูกแล้ว.
ส. พระอรหันต์ เสื่อมจากอรหัตผลได้ในภพทั้ง-
ปวง หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯ ล ฯ
ส. พระอรหันต์ เสื่อมจากอรหัตผลได้ในภพทั้ง-
ปวง หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. เหตุเสื่อมของพระอรหันต์ [มีได้] ในภพ
ทั้งปวง หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯ ล ฯ
ส. พระอรหันต์ เสื่อมจากอรหัตผลได้ หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. พระอรหันต์เสื่อมจากอรหัตผลได้ในกาลทั้งปวง
หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. เหตุเสื่อมของพระอรหันต์ [มีได้] ในกาล
ทั้งปวง หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯ ล ฯ

ส. พระอรหันต์ เสื่อมจากอรหัตผลได้ หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. พระอรหันต์ทุกองค์เทียว เสื่อมจากอรหัตผล
ได้ หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯ ล ฯ
ส. พระอรหันต์ทุกองค์เทียว เสื่อมจากอรหัตผล
ได้ หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. เหตุเสื่อมของพระอรหันต์ [มีได้] ทุกองค์
เทียว หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯ ล ฯ
[192] ส. พระอรหันต์ เสื่อมจากอรหัตผลได้ หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. พระอรหันต์ เมื่อเสื่อมจากอรหัตผล ย่อมเสื่อม
จากผลทั้งสี่ หรือ ?
ส. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯ ล ฯ
ป. เศรษฐีดำรงตำแหน่งเศรษฐีอยู่ด้วยทรัพย์สี่แสน
เมื่อทรัพย์แสนหนึ่งสิ้นไป ย่อมเสื่อมจากตำแหน่ง หรือ ?
ส. ถูกแล้ว.
ป. ย่อมเสื่อมจากสมบัติทั้งปวง หรือ ?
ส. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯ ล ฯ

ส. เศรษฐีดำรงตำแหน่งเศรษฐีอยู่ด้วยทรัพย์สี่แสน
เมื่อทรัพย์แสนหนึ่งสิ้นไป เป็นผู้ควรจะเสื่อมจากสมบัติทั้งปวง หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. พระอรหันต์ เมื่อเสื่อมจากอรหัตผล เป็นผู้
ควรจะเสื่อมจากผลทั้งสี่ หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
[193] ส. พระอรหันต์ เสื่อมจากอรหัตผลได้ หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. พระโสดาบัน เสื่อมจากโสดาปัตติผลได้ หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯ ล ฯ
ส. พระอรหันต์ เสื่อมจากอรหัตผลได้ หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. พระสกทาคามี เสื่อมจากสกทาคามิผลได้ หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯ ล ฯ
ส. พระอรหันต์ เสื่อมจากอรหัตผลได้ หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. พระอนาคามี เสื่อมจากอนาคามิผลได้ หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯ ล ฯ
[194] ส. พระอนาคามี เสื่อมจากอนาคามิผลได้ หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. พระโสดาบัน เสื่อมจากโสดาปัตติผลได้ หรือ ?

ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯ ล ฯ
ส. พระอนาคามี เสื่อมจากอนาคามิผลได้ หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. พระสกทาคามี เสื่อมจากสกทาคามิผลได้ หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯ ล ฯ
[195] ส. พระสกทาคามี เสื่อมจากสกทาคามิผลได้ หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. พระโสดาบัน เสื่อมจากโสดาปัตติผลได้ หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯ ล ฯ
[196] ส. พระโสดาบัน ย่อมไม่เสื่อมจากโสดาปัตติผล
หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. พระอรหันต์ ย่อมไม่เสื่อมจากอรหัตผลหรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯ ล ฯ
ส. พระสกทาคามี ย่อมไม่เสื่อมจากสกทาคามิผล
หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. พระอรหันต์ ย่อมไม่เสื่อมจากอรหัตผล หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯ ล ฯ
ส. พระอนาคามี ย่อมไม่เสื่อมจากอนาคามิผล หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.

ส. พระอรหันต์ ย่อมไม่เสื่อมจากอรหัตผล หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯ ล ฯ
[197] ส. พระโสดาบัน ย่อมไม่เสื่อมจากโสดาปัตติผล
หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. พระอนาคามีย่อมไม่เสื่อมจากอนาคามิผลหรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯ ล ฯ
ส. พระสกทาคามี ย่อมไม่เสื่อมจากสกทาคามิผล
หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. พระอนาคามีย่อมไม่เสื่อมจากอนาคามิผลหรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯ ล ฯ
[198] ส. พระ โสดาบัน ย่อมไม่เสื่อมจากโสดาปัตติผล
หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. พระสกทาคามี ย่อมไม่เสื่อมจากสกทาคามิผล
หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯ ล ฯ
[199] ส. พระอรหันต์ เสื่อมจากอรหัตผลได้ หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.

ส. พระอรหันต์ เมื่อเสื่อมจากอรหัตผล ย่อมตั้ง
อยู่ในธรรมอะไร ?
ป. ในอนาคามิผล.
ส. พระอนาคามี เมื่อเสื่อมจากอนาคามิผล ย่อม
ตั้งอยู่ในธรรมอะไร ?
ป. ในสกทาคามิผล.
ส. พระสกทาคามี เมื่อเสื่อมจากสกทาคามิผล ย่อม
ตั้งอยู่ในธรรมอะไร ?
ป. ในโสดาปัตติผล.
ส. พระโสดาบัน เมื่อเสื่อมจากโสดาปัตติผล ย่อม
ตั้งอยู่ในภูมิแห่งปุถุชน หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯ ล ฯ
ส. ท่านจงรับรู้นิคคหะ, หากว่า พระอรหันต์เมื่อ
เสื่อมจากอรหัตผลย่อมตั้งอยู่ในอนาคามิผล พระอนาคามีเมื่อเสื่อม
จากอนาคามิผลย่อมตั้งอยู่ในสกทาคามิผล พระสกทาคามีเมื่อเสื่อมจาก
สกทาคามิผลย่อมตั้งอยู่ในโสดาปัตติผล ด้วยเหตุนั้นนะท่านจึงต้องกล่าว
ว่า พระโสดาบันเมื่อเสื่อมจากโสดาปัตติผลย่อมตั้งอยู่ในภูมิแห่งปุถุชน.
[200] ส. พระอรหันต์ เมื่อเสื่อมจากอรหัตผล ย่อมตั้ง
อยู่ในโสดาปัตติผล หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. ถัดจากโสดาปัตติผลท่านก็ทำให้แจ้ง ซึ่งอรหัต-

ผลทีเดียว หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯ ล ฯ
ส. พระอรหันต์ เสื่อมจากอรหัตผลได้ หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. พระโสดาบัน เสื่อมจากโสดาปัตติผลได้ หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯ ล ฯ
ส. ใครละกิเลสได้มากกว่า พระอรหันต์หรือพระ-
โสดาบัน ?
ป. พระอรหันต์.
ส. หากว่า พระอรหันต์ละกิเลสได้มากกว่า และ
พระอรหันต์เสื่อมจากอรหัตผลได้ ด้วยเหตุนั้นนะท่านจึงต้องกล่าวว่า
พระโสดาบันเสื่อมจากโสดาปัตติผลได้.
[201] ส. พระอรหันต์ เสื่อมจากอรหัตผลได้ หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. พระสกทาคามี เสื่อมจากสกทาคามิผลได้ หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯ ล ฯ
ส. ใครละกิเลสได้มากกว่า พระอรหันต์หรือพระ-
สกทาคามี ?
ป. พระอรหันต์.
ส. หากว่า พระอรหันต์ละกิเลสได้มากกว่า และ
พระอรหันต์เสื่อมจากอรหัตผลได้ ด้วยเหตุนั้นนะท่านจึงต้องกล่าวว่า

พระสกทาคามีเสื่อมจากสกทาคามิผลได้.
[202] ส. พระอรหันต์ เสื่อมจากอรหัตผลได้ หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. พระอนาคามี เสื่อมจากอนาคามิผลได้ หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯ ล ฯ
ส. ใครละกิเลสได้มากกว่า พระอรหันต์หรือพระ-
อนาคามี ?
ป. พระอรหันต์.
ส. หากว่า พระอรหันต์ละกิเลสได้มากกว่า และ
พระอรหันต์เสื่อมจากอรหัตผลได้ ด้วยเหตุนั้นนะท่านจึงต้องกล่าวว่า
พระอนาคามีเสื่อมจากอนาคามิผลได้.
[203] ส. พระอนาคามี เสื่อมจากอนาคามิผลได้ หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. พระโสดาบัน เสื่อมจากโสดาปัตติผลได้ หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯ ล ฯ
ส. ใครละกิเลสได้มากกว่า พระอนาคามีหรือพระ- โสดาบัน ?
ป. พระอนาคามี
ส. หากว่า พระอนาคามีละกิเลสได้มากกว่า และ
พระอนาคามีเสื่อมจากอนาคามิผลได้ ด้วยเหตุนั้นนะท่านจึงต้องกล่าวว่า
พระโสดาบันเสื่อมจากโสดาปัตติผลได้.

[204] ส. พระอนาคามี เสื่อมจากอนาคามิผลได้ หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. พระสกทาคามี เสื่อมจากสกทาคามิผลได ้ หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯ ล ฯ
ส. ใครละกิเลสได้มากกว่า พระอนาคามีหรือพระ-
สกทาคามี ?
ป. พระอนาคามี.
ส. หากว่า พระอนาคามีละกิเลสได้มากกว่า และ
พระอนาคามีเสื่อมจากอนาคามิผลได้ ด้วยเหตุนั้นนะท่านจึงต้องกล่าวว่า
พระสกทาคามีเสื่อมจากสกทาคามิผลได้.
[205] ส. พระสกทาคามี เสื่อมจากสกทาคามิผลได้ หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. พระโสดาบัน เสื่อมจากโสดาปัตติผลได้ หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯ ล ฯ
ส. ใครละกิเลสได้มากกว่า พระสกทาคามีหรือ
พระโสดาบัน ?
ป. พระสกทาคามี.
ส. หากว่า พระสกทาคามีละกิเลสได้มากกว่า และ
พระสกทาคามีเสื่อมจากสกทาคามิผลได้ ด้วยเหตุนั้นนะท่านจึงต้องกล่าว
ว่า พระโสดาบันเสื่อมจากโสดาปัตติผลได้.

[206] ส. พระอรหันต์ เสื่อมจากอรหัตผล หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. พระโสดาบัน เสื่อมจากโสดาปัตติผลได้ หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯ ล ฯ
ส. มัคคภาวนาของใครเยี่ยมกว่า ของพระอรหันต์
หรือของพระโสดาบัน ?
ป. ของพระอรหันต์.
ส. หากว่า มัคคภาวนาของพระอรหันต์เยี่ยมกว่า
และพระอรหันต์เสื่อมจากอรหัตผลได้ ด้วยเหตุนั้นนะท่านจึงต้องกล่าว
ว่า พระโสดาบันเสื่อมจากโสดาปัตติผลได้.
[207] ส. พระอรหันต์ เสื่อมจากอรหัตผลได้ หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. พระโสดาบัน เสื่อมจากโสดาปัตติผลได้ หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯ ล ฯ
ส. สติปัฏฐานภาวนา. . . สัมมัปปธานภาวนา . . .
อิทธิบาทภาวนา . . . อินทริยภาวนา . . . พลภาวนา . .. โพชฌังคภาวนา
ของใครเยี่ยมกว่า ของพระอรหันต์หรือของพระโสดาบัน ?
ป. ของพระอรหันต์.
ส. หากว่า โพชฌังคภาวนาของพระอรหันต์เยี่ยม
กว่า และพระอรหันต์เสื่อมจากอรหัตผลได้ ด้วยเหตุนั้นนะท่านจึงต้อง
กล่าวว่า พระโสดาบันเสื่อมจากโสดาปัตติผลได้.

[208] ส. พระอรหันต์ เสื่อมจากอรหัตผลได้ หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. พระสกทาคามี เสื่อมจากสกทาคามิผลได้ หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
ส. มัคคภาวนา ฯ ล ฯ โพชฌังคภาวนาของใคร
เยี่ยมกว่า ของพระอรหันต์หรือของพระสกทา-
คามี ?
ป. ของพระอรหันต์.
ส. หากว่า โพชฌังคภาวนาของพระอรหันต์เยี่ยม
กว่า และพระอรหันต์เสื่อมจากอรหัตผลได้ ด้วยเหตุนั้นนะท่านจึงต้อง
กล่าวว่า พระสกทาคามีเสื่อมจากสกทาคามิผลได้.
[209] ส. พระอรหันต์ เสื่อมจากอรหัตผลได้ หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. พระอนาคามี เสื่อมจากอนาคามิผลได้ หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯ ล ฯ
ส. มัคคภาวนา ฯ ล ฯ โพชฌังคภาวนาของใคร
เยี่ยมกว่า ของพระอรหันต์หรือของพระอนา-
คามี ?
ป. ของพระอรหันต์.
ส. หากว่า โพชฌังคภาวนาของพระอรหันต์เยี่ยม
กว่า และพระอรหันต์เสื่อมจากอรหัตผลได้ ด้วยเหตุนั้นนะท่านจึงต้อง

กล่าวว่า พระอนาคามีเสื่อมจากอนาคามิผลได้.
[210] ส. พระอนาคามี เสื่อมจากอนาคามิผลได้ หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. พระโสดาบัน เสื่อมจากโสดาปัตติผลได้ หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯ ล ฯ
ส. มัคคภาวนา ฯ ล ฯ โพชฌังคภาวนาของใคร
เยี่ยมกว่า ของพระอนาคามีหรือของพระโสดา-
บัน ?
ป. ของพระอนาคามี.
ส. หากว่า โพชฌังคภาวนาของพระอนาคามีเยี่ยม
กว่า และพระอนาคามีเสื่อมจากอนาคามิผลได้ ด้วยเหตุนั้นนะท่านจึง
ต้องกล่าวว่า พระโสดาบันเสื่อมจากโสดาปัตติผลได้.
[211] ส. พระอนาคามี เสื่อมจากอนาคามิผลได้ หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. พระสกทาคามี เสื่อมจากสกทาคามิผลได้หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯ ล ฯ
ส. มัคคภาวนา ฯ ล ฯ โพชฌังคภาวนาของใคร
เยี่ยมกว่า ของพระอนาคามีหรือของพระสกทา-
คามี.
ป. ของพระอนาคามี

ส. หากว่า โพชฌังคภาวนาของพระอนาคามีเยี่ยม
กว่า และพระอนาคามีเสื่อมจากอนาคามิผลได้ ด้วยเหตุนั้นนะท่านจึง
ต้องกล่าวว่า พระสกทาคามีเสื่อมจากสกทาคามิผลได้.
[212] ส. พระสกทาคามี เสื่อมจากสกทาคามิผลได้ หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. พระโสดาบัน เสื่อมจากโสดาปัตติผลได้ หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯ ล ฯ
ส. มัคคภาวนา ฯ ล ฯ โพชฌังคภาวนาของใคร
เยี่ยมกว่า ของพระสกทาคามีหรือของพระ-
โสดาบัน ?
ป. ของพระสกทาคามี.
ส. หากว่า โพชฌังคภาวนาของพระสกทาคามีเยี่ยม
กว่า และพระสกทาคามีเสื่อมจากสกทาคามิผลได้ ด้วยเหตุนั้นนะท่าน
จึงต้องกล่าวว่า พระโสดาบันเสื่อมจากโสดาปัตติผลได้.
[213] ส. พระอรหันต์เห็นทุกข์แล้ว พระอรหันต์เสื่อมจาก
อรหัตผลได้ หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. พระโสดาบันเห็นทุกข์แล้ว พระโสดาบันเสื่อม
จากโสดาปัตติผลได้ หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯ ล ฯ

ส. พระอรหันต์เห็นสมุทัยแล้ว พระอรหันต์เสื่อม
จากอรหัตผลได้ หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. พระโสดาบันเห็นสมุทัยแล้ว พระโสดาบันเสื่อม
จากโสดาปัตติผลได้ หรือ ?
ส. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯ ล ฯ
ส. พระอรหันต์เห็นนิโรธแล้ว พระอรหันต์เสื่อม
จากอรหัตผลได้ หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. พระโสดาบันเห็นนิโรธแล้ว พระโสดาบันเสื่อม
จากโสดาปัตติผลได้ หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯ ล ฯ
ส. พระอรหันต์เห็นมรรคแล้ว พระอรหันต์เสื่อม
จากอรหัตผลได้ หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. พระโสดาบันเห็นมรรคแล้ว พระโสดาบันเสื่อม
จากโสดาปัตติผลได้ หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯ ล ฯ
ส. พระอรหันต์เห็นสัจจะ 4 แล้ว พระอรหันต์เสื่อม
จากอรหัตผลได้ หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.

ส. พระโสดาบันเห็นสัจจะ 4 แล้ว พระโสดาบัน
เสื่อมจากโสดาปัตติผลได้ หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯ ล ฯ
[214] ส. พระอรหันต์เห็นทุกข์แล้ว พระอรหันต์เสื่อม
จากอรหัตผลได้ หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. พระสกทาคามีเห็นทุกข์แล้ว พระสกทาคามี
เสื่อมจากสกทาคามิผลได้ หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯ ล ฯ
ส. พระอรหันต์เห็นสมุทัยแล้ว ฯ ล ฯ เห็นนิโรธ
แล้ว ฯ ล ฯ เห็นมรรคแล้ว ฯ ล ฯ เห็นสัจจะ 4 แล้ว พระอรหันต์เสื่อม
จากอรหัตผลได้ หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. พระสกทาคามีเห็นสัจจะ 4 แล้ว พระสกทาคามี
เสื่อมจากสกทาคามิผลได้ หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯ ล ฯ
[215] ส. พระอรหันต์เห็นทุกข์แล้ว พระอรหันต์เสื่อมจาก
อรหัตผลได้ หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. พระอนาคามีเห็นทุกข์แล้ว พระอนาคามีเสื่อม
จากอนาคามิผลได้ หรือ ?

ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯ ล ฯ
ส. พระอรหันต์เห็นสมุทัยแล้ว ฯ ล ฯ เห็นนิโรธ
แล้ว ฯ ล ฯ เห็นมรรคแล้ว ฯ ล ฯ เห็นสัจจะ 4 แล้ว พระอรหันต์
เสื่อมจากอรหัตผลได้ หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. พระอนาคามีเห็นสัจจะ 9 แล้ว พระอนาคามี
เสื่อมจากอนาคามิผลได้ หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯ ล ฯ
[216] ส. พระอนาคามีเห็นทุกข์แล้ว พระอนาคามีเสื่อม
จากอนาคามิผลได้ หรือ ?
ป. ถูกแล้ว
ส. พระโสดาบันเห็นทุกข์แล้ว พระโสดาบันเสื่อม
จากโสดาปัตติผลได้ หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯ ล ฯ
ส. พระอนาคามีเห็นสมุทัยแล้ว ฯ ล ฯ เห็นนิโรธ
แล้ว ฯ ล ฯ เห็นมรรคแล้ว ฯ ล ฯ เห็นสัจจะ 4 แล้ว พระอนาคามี
เสื่อมจากอนาคามิผลได้ หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. พระโสดาบันเห็นสัจจะแล้วพระโสดาบันเสื่อม
จากโสดาปัตติผลได้ หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯ ล ฯ

ส. พระอนาคามีเห็นทุกข์แล้ว พระอนาคามีเสื่อม
จากอนาคามิผลได้ หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. พระสกทาคามีเห็นทุกข์แล้ว พระสกทาคามี
เสื่อมจากสกทาคามิผลได้ หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯ ล ฯ
ส. พระอนาคามีเห็นสมุทัยแล้ว ฯ ล ฯ เห็นนิโรธ
แล้ว ฯ ล ฯ เห็นมรรคแล้ว ฯ ล ฯ เห็นสัจจะ 4 แล้ว พระอนาคามี
เสื่อมจากอนาคามิผลได้ หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. พระสกทาคามีเห็นสัจจะ 4 แล้ว พระสกทาคามี
เสื่อมจากสกทาคามิผลได้ หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯ ล ฯ
[217] ส. พระสกทาคามีเห็นทุกข์แล้ว พระสกทาคามี
เสื่อมจากสกทาคามิผลได้ หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. พระโสดาบันเห็นทุกข์แล้ว พระโสดาบันเสื่อม
จากโสดาปัตติผลได้ หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯ ล ฯ
ส. พระสกทาคามีเห็นสมุทัยแล้ว ฯ ล ฯ เห็นนิโรธ
แล้ว ฯ ล ฯ เห็นมรรคแล้ว ฯ ล ฯ เห็นสัจจะ 4 แล้ว พระสกทาคามี

เสื่อมจากสกทาคามิผลได้ หรือ ?
ป. ถูกแล้ว
ส. พระโสดาบันเห็นสัจจะ 4 แล้ว พระโสดาบัน
เสื่อมจากโสดาปัตติผลได้ หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯ ล ฯ
[218] ส. พระโสดาบันเห็นทุกข์แล้ว พระโสดาบันย่อม
ไม่เสื่อมจากโสดาปัตติผล หรือ ?
ป. ถูกแล้ว
ส. พระอรหันต์เห็นทุกข์แล้ว พระอรหันต์ย่อมไม่
เสื่อมจากอรหัตผล หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯ ล ฯ
ส. พระโสดาบันเป็นสมุทัยแล้ว ฯ ล ฯ เห็นนิโรธ
แล้ว ฯ ล ฯ เห็นมรรคแล้ว ฯ ล ฯ เห็นสัจจะ 4 แล้ว พระโสดาบันย่อม
ไม่เสื่อมจากโสดาปัตติผล หรือ ?
ป. ถูกแล้ว
ส. พระอรหันต์เห็นสัจจะ 4 แล้ว พระอรหันต์ย่อม
ไม่เสื่อมจากอรหัตผล หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯ ล ฯ
[219] ส. พระสกทาคามีเห็นทุกข์แล้ว ฯ ล ฯ เห็นสัจจะ 4
แล้ว พระสกทาคามีย่อมไม่เสื่อมจากสกทาคามิผล หรือ ?

ป. ถูกแล้ว.
ส. พระอรหันต์เห็นสัจจะ 4 แล้ว พระอรหันต์ย่อม
ไม่เสื่อมจากอรหัตผล หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯ ล ฯ
[220] ส. พระอนาคามีเห็นทุกข์แล้ว ฯ ล ฯ เห็นสัจจะ 4
แล้ว พระอนาคามีย่อมไม่เสื่อมจากอนาคามิผล
หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. พระอรหันต์เห็นสัจจะ 4 แล้ว พระอรหันต์ย่อม
ไม่เสื่อมจากอรหัตผล หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯ ล ฯ
[221] ส. พระโสดาบันเห็นทุกข์แล้ว ฯ ล ฯ เห็นสัจจะ
แล้ว พระโสดาบันย่อมไม่เสื่อมจากโสดาปัตติผล
หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. พระอนาคามีเห็นทุกข์แล้ว ฯ ล ฯ เห็นสัจจะ 4
แล้ว พระอนาคามีย่อมไม่เสื่อมจากอนาคามิผล
หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯ ล ฯ

[222] ส. พระสกทาคามีเห็นทุกข์แล้ว ฯ ล ฯ เห็นสัจจะ 4
แล้ว พระสกทาคามีย่อมไม่เสื่อมจากสกทาคามิ-
ผล หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. พระอนาคามีเห็นทุกข์แล้ว ฯ ล ฯ เห็นสัจจะ 4
แล้ว พระอนาคามีย่อมไม่เสื่อมจากอนาคามิผล
หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯ ล ฯ
[223] ส. พระโสดาบันเห็นทุกข์แล้ว ฯ ล ฯ เห็นสัจจะ 4
แล้ว ฯ ล ฯ พระโสดาบันย่อมไม่เสื่อมจากโสดา-
ปัตติผล หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. พระอนาคามีเป็นทุกข์แล้ว ฯ ล ฯ เห็นสัจจะ 4
แล้ว พระอนาคามีย่อมไม่เสื่อมจากอนาคามิผล
หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯ ล ฯ
[224] ส. พระอรหันต์ละราคะขาดแล้ว พระอรหันต์เสื่อม
จากอรหัตผลได้ หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. พระโสดาบันละสักกายทิฏฐิขาดแล้ว พระโส-
ดาบันเสื่อมจากโสดาปัตติผลได้ หรือ ?

ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯ ล ฯ
ส. พระอรหันต์ละราคะขาดแล้ว พระอรหันต์เสื่อม
จากอรหัตผลได้ หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. พระโสดาบันละวิจิกิจฉาขาดแล้ว ฯ ล ฯ ละสี-
ลัพพตปรามาสขาดแล้ว ฯ ล ฯ ละราคะที่เป็นเหตุไปอบายขาดแล้ว ฯ ล ฯ
ละโทสะที่เป็นเหตุไปอบายขาดแล้ว ฯ ล ฯ ละโมหะที่เป็นเหตุไปอบาย
ขาดแล้ว พระโสดาบันเสื่อมจากโสดาปัตติผลได้ หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯ ล ฯ
ส. พระอรหันต์ละโทสะขาดแล้ว ฯ ล ฯ ละโมหะ
ขาดแล้ว ฯ ล ฯ ละมานะขาดแล้ว ฯ ล ฯ ละทิฏฐิขาดแล้ว ฯ ล ฯ ละ
วิจิกิจฉาขาดแล้ว ฯ ล ฯ ละถีนะขาดแล้ว ฯ ล ฯ ละอุทธัจจะขาดแล้ว
ฯ ล ฯ ละอหิริกะขาดแล้ว ฯ ล ฯ ละอโนตตัปปะขาดแล้ว พระอรหันต์
เสื่อมจากอรหัตผลได้ หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. พระโสดาบันละสักกายทิฏฐิขาดแล้ว พระโสดา-
บันเสื่อมจากโสดาปัตติผลได้ หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯ ล ฯ
ส. พระอรหันต์ละอโนตตัปปะขาดแล้ว พระอรหันต์
เสื่อมจากอรหัตผลได้ หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.

ส. พระโสดาบันละวิจิกิจฉาขาดแล้ว ฯ ล ฯ ละสี-
ลัพพตปรามาสขาดแล้ว ฯ ล ฯ ละราคะที่เป็นเหตุไปอบายขาดแล้ว ฯ ล ฯ
ละโทสะที่เป็นเหตุไปอบายขาดแล้ว ฯ ล ฯ ละโมหะที่เป็นเหตุไปอบาย
ขาดแล้ว พระโสดาบันเสื่อมจากโสดาปัตติผลได้ หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯ ล ฯ
[225] ส. พระอรหันต์ละราคะขาดแล้ว พระอรหันต์เสื่อม
จากอรหัตผลได้ หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. พระสกทาคามีละสักกายทิฏฐิขาดแล้ว พระสก-
ทาคามีเสื่อมจากสกทาคามิผลได้ หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯ ล ฯ
ส. พระอรหันต์ละราคะขาดแล้ว พระอรหันต์เสื่อม
จากอรหัตผลได้ หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. พระสกทาคามีละวิจิกิจฉาขาดแล้ว ฯ ล ฯ ละสี
ลัพพตปรามาสขาดแล้ว ฯ ล ฯ ละกามราคะอย่างหยาบขาดแล้ว ฯ ล ฯ
ละพยาบาทอย่างหยาบขาดแล้ว พระสกทาคามีเสื่อมจากสกทาคามิผลได้
หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯ ล ฯ
ส. พระอรหันต์ละโทสะขาดแล้ว ฯ ล ฯ ละอโนต-
ตัปปะขาดแล้ว พระอรหันต์เสื่อมจากอรหัตผลได้ หรือ ?

ป. ถูกแล้ว.
ส. พระสกทาคามีละสักกายทิฏฐิขาดแล้ว ฯ ล ฯ ละ
พยาบาทอย่างหยาบขาดแล้ว พระสกทาคามี
เสื่อมจากสกทาคามิผลได้ หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯ ล ฯ
[226] ส. พระอรหันต์ละราคะขาดแล้ว พระอรหันต์เสื่อม
จากอรหัตผลได้ หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. พระอนาคามีละสักกายทิฏฐิขาดแล้ว พระอนา-
คามีเสื่อมจากอนาคามิผลได้ หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯ ล ฯ
ส. พระอรหันต์ละราคะขาดแล้ว พระอรหันต์เสื่อม
จากอรหัตผลได้ หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. พระอนาคามีละวิจิกิจฉาขาดแล้ว ฯ ล ฯ ละสี-
ลัพพตปรามาสขาดแล้ว . . . ละกามราคะอย่างละเอียดขาดแล้ว ... ละ
พยาบาทอย่างละเอียดขาดแล้ว พระอนาคามีเสื่อมจากอนาคามิผลได้
หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯ ล ฯ
ส. พระอรหันต์ละโทสะขาดแล้ว ฯ ล ฯ ละอโนต-
ตัปปะขาดแล้ว พระอรหันต์เสื่อมจากอรหัตผลได้ หรือ ?

ป. ถูกแล้ว.
ส. พระอนาคามีละสักกายทิฏฐิขาดแล้ว ฯ ล ฯ ละ
พยาบาทอย่างละเอียดขาดแล้ว พระอนาคามี
เสื่อมจากอนาคามิผลได้ หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯ ล ฯ
[227] ส. พระอนาคามีละสักกายทิฏฐขาดแล้ว พระอนา-
คามีเสื่อมจากอนาคามิผลได้ หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. พระโสดาบันละสักกายทิฏฐิขาดแล้ว พระโสดา-
บันเสื่อมจากโสดาปัตติผลได้ หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯ ล ฯ
ส. พระอนาคามีละสักกายทิฏฐิขาดแล้ว พระอนา-
คามีเสื่อมจากอนาคามิผลได้ หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. พระโสดาบันละวิจิกิจฉาขาดแล้ว ฯ ล ฯ ละ
โมหะที่เป็นเหตุไปอบายขาดแล้ว พระโสดาบันเสื่อมจากโสดาปัตติผลได้
หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯ ล ฯ
ส. พระอนาคามีละวิจิกิจฉาขาดแล้ว ฯลฯ ละ
พยาบาทอย่างละเอียดขาดแล้วพระอนาคามีเสื่อมจากอนาคามิผลได้หรือ ?

ป. ถูกแล้ว.
ส. พระโสดาบันละสักกายทิฏฐิขาดแล้ว ฯ ล ฯ ละ
โมหะที่เป็นเหตุไปอบายขาดแล้ว พระโสดาบันเสื่อมจากโสดาปัตติผลได้
หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯ ล ฯ
[228] ส. พระอนาคามีละสักกายทิฏฐิขาดแล้ว พระอนา-
คามีเสื่อมจากอนาคามิผลได้ หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. พระสกทาคามีละสักกายทิฏฐิขาดแล้ว พระ-
สกทาคามีเสื่อมจากสกทาคามิผลได้ หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯ ล ฯ
ส. พระอนาคามีละสักกายทิฏฐิขาดแล้ว พระอนา-
คามีเสื่อมจากอนาคามิผลได้ หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. พระสกทาคามีละวิจิกิจฉาขาดแล้ว ฯ ล ฯ ละ
สีลัพพตปรามาสขาดแล้ว. . . ละกามราคะอย่างหยาบขาดแล้ว. . . ละ
พยาบาทอย่างหยาบขาดแล้ว พระสกทาคามีเสื่อมจากสกทาคามิผลได้
หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯ ล ฯ
ส. พระอนาคามีละวิจิกิจฉาขาดแล้ว ละพยาบาท

อย่างละเอียดขาดแล้ว พระอนาคามีเสื่อมจากอนาคามิผลได้ หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. พระสกทาคามีละสักกายทิฏฐิขาดแล้ว ฯ ล ฯ ละ
พยาบาทอย่างหยาบขาดแล้ว พระสกทาคามีเสื่อมจากสกทาคามิผลได้
หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯ ล ฯ
[229] ส. พระสกทาคามีละสักกายทิฏฐิขาดแล้ว พระ-
สกทาคาคามีเสื่อมจากสกทาคามิผลได้ หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. พระโสดาบันละสักกายทิฏฐิขาดแล้ว พระโสดา-
บันเสื่อมจากโสดาปัตติผลได้ หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯ ล ฯ
ส. พระสกทาคามีละสักกายทิฏฐิขาดแล้ว พระ-
สกทาคามีเสื่อมจากสกทาคามิผลได้ หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. พระโสดาบันละวิจิกิจฉาขาดแล้ว ฯ ล ฯ ละ
โมหะที่เป็นเหตุไปอบายขาดแล้ว พระโสดาบันเสื่อมจากโสดาปัตติผลได้
หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯ ล ฯ
ส. พระสกทาคามีละวิจิกิจฉาขาดแล้ว ฯ ล ฯ ละกาม
ราคะอย่างหยาบขาดแล้ว... ละพยาบาทอย่างหยาบขาดแล้ว พระ-

สกทาคามีเสื่อมจากสกทาคามิผลได้ หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. พระโสดาบันละสักกายทิฏฐิขาดแล้ว ฯ ล ฯ ละ
โมหะที่เป็นเหตุไปอบายขาดแล้ว พระโสดาบันเสื่อมจากโสดาปัตติผลได้
หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯ ล ฯ
[230] ส. พระโสดาบันละสักกายทิฏฐิขาดแล้ว พระโสดา-
บันย่อมไม่เสื่อมจากโสดาปัตติผล หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. พระอรหันต์ละราคะขาดแล้ว พระอรหันต์ย่อม
ไม่เสื่อมจากอรหัตผล หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯ ล ฯ
ส. พระโสดาบันละสักกายทิฏฐิขาดแล้ว พระโสดา-
บันย่อมไม่เสื่อมจากโสดาปัตติผล หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. พระอรหันต์ละโทสะขาดแล้ว ฯ ล ฯ ละอโนต-
ตัปปะขาดแล้ว พระอรหันต์ย่อมไม่เสื่อมจาก
อรหัตผล หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯ ล ฯ
ส. พระโสดาบันละวิจิกิจฉาขาดแล้ว ฯ ล ฯ ละ
โมหะที่เป็นเหตุไปอบายขาดแล้ว พระโสดาบัน

ย่อมไม่เสื่อมจากโสดาปัตติผล หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. พระอรหันต์ละราคะขาดแล้ว ฯ ล ฯ ละอโนต-
ตัปปะขาดแล้ว พระอรหันต์ย่อมไม่เสื่อมจาก
อรหัตผล หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯ ล ฯ
[231] ส. พระสกทาคามีละสักกายทิฏฐิขาดแล้ว พระ-
สกทาคามีย่อมไม่เสื่อมจากสกทาคามิผล หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. พระอรหันต์ละราคะขาดแล้ว ฯ ล ฯ ละอโนต-
ตัปปะขาดแล้ว พระอรหันต์ย่อมไม่เสื่อมจาก
อรหัตผล หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯ ล ฯ
ส. พระสกทาคามีละวิจิกิจฉาขาดแล้ว ฯ ล ฯ ละ
พยาบาทอย่างหยาบขาดแล้ว พระสกทาคามีย่อม
ไม่เสื่อมจากสกทาคามิผล หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. พระอรหันต์ละราคะขาดแล้ว ฯ ล ฯ ละอโนต-
ตัปปะขาดแล้ว พระอรหันต์ย่อมไม่เสื่อมจาก
อรหัตผล หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯ ล ฯ

[232] ส. พระอนาคามีละสักกายทิฏฐิขาดแล้ว พระอนา-
คามีย่อมไม่เสื่อมจากอนาคามิผล หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. พระอรหันต์ละราคะขาดแล้ว ฯลฯ ละอโนต-
ตัปปะขาดแล้ว พระอรหันต์ย่อมไม่เสื่อมจาก
อรหัตผล หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯ ล ฯ
ส. พระอนาคามีละวิจิกิจฉาขาดแล้ว ฯ ล ฯ ละ
พยาบาทอย่างละเอียดขาดแล้ว พระอนาคามี
ย่อมไม่เสื่อมจากอนาคามิผล หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. พระอรหันต์ละราคะขาดแล้ว ฯ ล ฯ ละอโนต-
ตัปปะขาดแล้ว พระอรหันต์ย่อมไม่เสื่อมจาก
อรหัตผล หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯ ล ฯ
[233] ส. พระโสดาบันละสักกายทิฏฐิขาดแล้ว พระโสดา-
บันย่อมไม่เสื่อมจากโสดาปัตติผล หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. พระอนาคามีละสักกายทิฏฐิขาดแล้ว ฯ ล ฯ ละ
พยาบาทอย่างละเอียดขาดแล้ว พระอนาคามี
ย่อมไม่เสื่อมจากอนาคามิผล หรือ ?

ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯ ล ฯ
ส. พระโสดาบันละวิจิกิจฉาขาดแล้ว ฯลฯ ละโมหะ
ที่เป็นเหตุไปอบายขาดแล้ว พระโสดาบันย่อมไม่
เสื่อมจากโสดาปัตติผล หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. พระอนาคามีละสักกายทิฏฐิขาดแล้ว ฯ ล ฯ ละ
พยาบาทอย่างละเอียดขาดแล้ว พระอนาคามีย่อมไม่เสื่อมจากอนาคามิผล
หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯ ล ฯ
[234] ส. พระสกทาคามีละสักกายทิฏฐิขาดแล้ว พระสก-
ทาคามีย่อมไม่เสื่อมจากสกทาคามิผล หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. พระอนาคามีละสักกายทิฏฐิขาดแล้ว ฯ ล ฯ ละ
พยาบาทอย่างละเอียดขาดแล้ว พระอนาคามีย่อมไม่เสื่อมจากอนาคามิผล
หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯ ล ฯ
ส. พระสกทาคามีละวิจิกิจฉาขาดแล้ว ฯ ล ฯ ละ
พยาบาทอย่างหยาบขาดแล้ว พระสกทาคามีย่อมไม่เสื่อมจากสกทาคา-
มิผล หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.

ส. พระอนาคามีละสักกายทิฏฐิขาดแล้ว ฯ ล ฯ ละ
พยาบาทอย่างละเอียดขาดแล้ว พระอนาคามีย่อมไม่เสื่อมจากอนาคามิผล
หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
[235] ส. พระโสดาบันละสักกายทิฏฐิขาดแล้ว พระโสดา-
บันย่อมไม่เสื่อมจากโสดาปัตติผล หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. พระสกทาคามีละสักกายทิฏฐิขาดแล้ว ฯลฯ ละ
พยาบาทอย่างหยาบขาดแล้ว พระสกทาคามีย่อมไม่เสื่อมจากสกทาคา-
มิผล หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯ ล ฯ
ส. พระโสดาบันละวิจิกิจฉาขาดแล้ว ฯลฯ ละโมหะ
ที่เป็นเหตุไปอบายขาดแล้ว พระโสดาบันย่อมไม่เสื่อมจากโสดาปัตติผล
หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. พระสกทาคามีละสักกายทิฏฐิขาดแล้ว ฯ ล ฯ ละ
พยาบาทอย่างหยาบขาดแล้ว พระสกทาคามีย่อมไม่เสื่อมจากสกทาคามิ-
ผล หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ

[236] ส. พระอรหันต์เสื่อมจากอรหัตผลได้ หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. ราคะอันพระอรหันต์ละขาดแล้ว ถอนรากขึ้น
แล้ว ทำให้เป็นดุจตาลยอดด้วน ทำให้ไม่เกิดไดในภายหลัง ทำให้มี
อันไม่เกิดขึ้นต่อไปเป็นธรรมดาแล้ว มิใช่หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. หากว่า ราคะอันพระอรหันต์ละขาดแล้ว ถอน
รากขึ้นแล้ว ทำให้เป็นดุจตาลยอดด้วน ทำให้ไม่เกิดขึ้นได้ในภายหลัง
ทำให้มีอันไม่เกิดขึ้นต่อไปเป็นธรรมดาแล้ว ก็ต้องไม่กล่าวว่า พระอร-
หันต์เสื่อมจากอรหัตผลได้.
[237] ส. พระอรหันต์เสื่อมจากอรหัตผลได้ หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. โทสะอันพระอรหันต์ละขาดแล้ว ฯลฯ โมหะ...
มานะ... ทิฏฐิ... วิจิกิจฉา... ถีนะ... อุทธัจจะ... อริหิกะ... อโนตตัปปะ
อันพระอรหันต์ละขาดแล้ว ถอนรากขึ้นแล้ว ทำให้เป็นดุจตาลยอดด้วน
ทำให้ไม่เกิดได้ในภายหลัง ทำให้มีอันไม่เกิดต่อไปเป็นธรรมดาแล้ว มิ
ใช่หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. หากว่า อโนตตัปปะอันพระอรหันต์ละขาดแล้ว
ถอนรากขึ้นแล้ว ทำให้เป็นดุจตาลยอดด้วน ทำให้ไม่เกิดขึ้นได้ในภาย

หลัง ทำให้มีอันไม่ต้องเกิดขึ้นต่อไปเป็นธรรมดาแล้ว ก็ต้องไม่กล่าวว่า
พระอรหันต์เสื่อมจากอรหัตผลได้.
[238] ส. พระอรหันต์เสื่อมจากอรหัตผลได้ หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. เพื่อละขาดซึ่งราคะ พระอรหันต์ยังมรรคให้เกิด
ขึ้นแล้ว มิใช่หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. หากว่า เพื่อละขาดซึ่งราคะ พระอรหันต์ยัง
มรรคให้เกิดขึ้นแล้ว ก็ต้องไม่กล่าวว่า พระอรหันต์เสื่อมจากอรหัตผล
ได้.
[239] ส. พระอรหันต์เสื่อมจากอรหัตผลได้ หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. เพื่อละขาดซึ่งราคะ พระอรหันต์ยังสติปัฏฐานให้
เกิดขึ้นแล้ว ฯ ล ฯ ยังสัมมัปปธานให้เกิดขึ้นแล้ว...ยังอิทธิบาทให้เกิดขึ้น
แล้ว ..ยังอินทรีย์ให้เกิดขึ้นแล้ว...ยังพละให้เกิดขึ้นแล้ว...ยังโพชฌงค์ให้
เกิดขึ้นแล้ว มิใช่หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. หากว่า เพื่อละขาดซึ่งราคะ พระอรหันต์ยัง
โพชฌงค์ให้เกิดแล้ว ก็ต้องไม่กล่าวว่า พระอรหันต์เสื่อมจากอรหัต-
ผลได้

[240] ส. พระอรหันต์เสื่อมจากอรหัตผลได้ หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. เพื่อละขาดซึ่งโทสะ ฯ ล ฯ เพื่อละขาดซึ่งอโนต-
ตัปปะ พระอรหันต์ยังมรรคให้เกิดขึ้นแล้ว ฯ ล ฯ ยังโพชฌงค์ให้เกิด
ขึ้นแล้ว มิใช่หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. หากว่า เพื่อละขาดซึ่งอโนตตัปปะ พระอรหันต์
ยังโพชฌงค์ให้เกิดขึ้นแล้ว ก็ต้องไม่กล่าวว่า พระอรหันต์เสื่อมจาก
อรหัตผลได้.
[241] ส. พระอรหันต์เสื่อมจากอรหัตผล หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. พระอรหันต์ เป็นผู้ปราศจากราคะโทสะโมหะ
แล้ว ทำกิจที่ควรทำเสร็จแล้ว ปลงภาระแล้ว บรรลุประโยชน์ตนแล้ว
มีเครื่องผูกไว้ในภพสิ้นไปรอบแล้ว พ้นวิเศษแล้วเพราะรู้ชอบ มีลิ่มอัน
ยกขึ้นแล้ว มีคูอันกลบแล้ว มีเสาระเนียดอันถอนขึ้นแล้ว เป็นผู้ไม่มี
ลิ่มสลัก เป็นพระอริยะ ลดธง คือมานะแล้ว วางภาระแล้ว หมด
เครื่องผูกพันแล้ว มีชัยชนะอย่างดีวิเศษแล้ว ท่านกำหนดรู้ทุกข์แล้ว
ละสมุทัยแล้ว ทำนิโรธให้แจ้งแล้ว ยังมรรคให้เกิดแล้ว รู้ยิ่งซึ่งธรรม
ที่ควรรู้ยิ่งแล้ว กำหนดรู้ธรรมสิ่งที่ควรกำหนดรู้แล้ว ละธรรมที่ควรละ

แล้ว บำเพ็ญธรรมที่ควรบำเพ็ญแล้ว ทำให้แจ้งซึ่งธรรมที่ควรทำให้
แจ้งแล้ว มิใช่หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. หากว่า พระอรหันต์เป็นผู้ปราศจาก ราคะ โทสะ
โมหะแล้ว ฯลฯ ทำให้แจ้งซึ่งธรรมที่ควรทำให้แจ้งแล้ว ก็ต้องไม่กล่าวว่า
พระอรหันต์เสื่อมจากอรหัตผลได้.
[242] ส. พระอรหันต์เสื่อมจากอรหัตผลได้ หรือ ?
ป. พระอรหันต์ผู้สมยวิมุต1 เสื่อมจากอรหัตผลได้
พระอรหันต์ผู้อสมยวิมุต1 ย่อมไม่เสื่อมจากอร-
หัตผล.
ส. พระอรหันต์ผู้สมยวิมุต เสื่อมจากพระอรหัต-
ผลได้ หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. พระอรหันต์ผู้อสมยวิมุต เสื่อมจากอรหัตผล
ได้ หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
ส. พระอรหันต์ผู้อสมยวิมุต ย่อมไม่เสื่อมจากอรหัต-
ผล หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
1. ดูคำอธิบายในบุคคลบัญญัติ ข้อ 17, 18 หน้า 191, 193

ส. พระอรหันต์ผู้สมยวิมุต ย่อมไม่เสื่อมจากอรหัต-
ผล หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯ ล ฯ
[243] ส. พระอรหันต์ผู้สมยวิมุตละราคะขาดแล้ว พระ-
อรหันต์ผู้สมยวิมุตเสื่อมจากอรหัตผลได้ หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. พระอรหันต์ผู้อสมยวิมุตละราคะขาดแล้ว พระ-
อรหันต์ผู้อสมยวิมุตเสื่อมจากอรหัตผลได้ หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯ ล ฯ
ส. พระอรหันต์ผู้สมยวิมุต ละโทสะขาดแล้ว ฯลฯ
ละอโนตตัปปะขาดแล้ว พระอรหันต์ผู้สมยวิมุตเสื่อมจากอรหัตผลได้
ป. ถูกแล้ว.
ส. พระอรหันต์ผู้อสมยวิมุตละโทสะขาดแล้ว ฯ ล ฯ
ละอโนตตัปปะขาดแล้ว พระอรหันต์ผู้อสมยวิมุต เสื่อมจากอรหัตผลได้
หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
ส. เพื่อละขาดซึ่งราคะ พระอรหันต์ผู้สมยวิมุตยัง
มรรคให้เกิดแล้ว พระอรหันต์ผู้สมยวิมุตเสื่อม
จากอรหัตผลได้ หรือ ?

ป. ถูกแล้ว.
ส. เพื่อละขาดซึ่งราคะ พระอรหันต์ผู้อสมยวิมุตยัง
มรรคให้เกิดแล้ว พระอรหันต์ผู้อสมยวิมุตเสื่อมจากอรหัตผลได้ หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯ ล ฯ
ส. เพื่อละขาดซึ่งราคะ พระอรหันต์ผู้สมยวิมุตยัง
สติปัฏฐานให้เกิดแล้ว... ยังสัมมัปปฐานให้เกิดแล้ว... ยังอิทธิบาทให้เกิด
แล้ว... ยังอินทรีย์ให้เกิดแล้ว... ยังพละให้เกิดแล้ว... ยังโพชฌงค์ให้
เกิดแล้ว พระอรหันต์ผู้สมยวิมุตเสื่อมจากอรหัตผลได้ หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. เพื่อละขาดซึ่งราคะ พระอรหันต์ผู้อสมยวิมุตยัง
สติปัฏฐานให้เกิดแล้ว ฯ ล ฯ ยังโพชฌงค์ให้เกิดแล้ว พระอรหันต์ผู้
อสมยวิมุตเสื่อมจากอรหัตผลได้ หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯ ล ฯ
ส. เพื่อจะขาดซึ่งโทสะ ฯลฯ เพื่อละขาดซึ่งอโนต-
ตัปปะ พระอรหันต์ผู้สมยวิมุต ยังมรรคให้เกิดแล้ว ฯลฯ ยังโพชฌงค์
ให้เกิดแล้ว พระอรหันต์ผู้สมยวิมุตเสื่อมจากอรหัตผลได้ หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. เพื่อละขาดซึ่งอโนตตัปปะ พระอรหันต์ผู้อสมย-
วิมุต ยังมรรคให้เกิดแล้ว ฯ ล ฯ ยังโพชฌงค์ให้เกิดแล้ว พระอรหันต์
ผู้อสมยวิมุต เสื่อมจากอรหัตผล หรือ ?

ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
[244] ส. พระอรหันต์ผู้สมยวิมุต เป็นผู้ปราศจาก ราคะ
โทสะ โมหะแล้ว ทำกิจที่ควรทำเสร็จแล้ว ปลงภาระแล้ว บรรลุ
ประโยชน์ตนแล้ว มีเครื่องผูกไว้ในภพสิ้นไปรอบแล้ว พ้นวิเศษแล้ว
เพราะรู้ชอบ มีลิ่มอันยกขึ้นแล้ว มีคูอันกลบแล้ว มีเสาระเนียดอัน
ถอนขึ้นแล้ว เป็นผู้ไม่มีลิ่มสลัก เป็นอริยะ ลดธง คือมานะแล้ว
วางภาระแล้ว หมดเครื่องผูกพ้นแล้ว มีชัยชนะอย่างดีวิเศษแล้ว ท่าน
กำหนดรู้ทุกข์แล้ว ละสมุทัยแล้ว ทำนิโรธให้แจ้งแล้ว ยังมรรคให้
เกิดแล้ว รู้ยิ่งซึ่งธรรมที่ควรรู้ยิ่งแล้ว กำหนดรู้ธรรมที่ควรกำหนดรู้
แล้ว ละธรรมที่ควรละแล้ว บำเพ็ญธรรมที่ควรบำเพ็ญแล้ว ทำให้แจ้ง
ซึ่งธรรมที่ควรทำให้แจ้งแล้ว พระอรหันต์ผู้สมยวิมุตเสื่อมจากอรหัต-
ผลได้ หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. พระอรหันต์ผู้อสมยวิมุต เป็นผู้ปราศจากราคะ
โทสะ โมหะแล้ว ฯลฯ ทำให้แจ้งซึ่งธรรมที่ควรทำให้แจ้งแล้ว พระ-
อรหันต์ผู้อสมยวิมุต เสื่อมจากอรหัตผลได้ หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
[245] ส. พระอรหันต์ผู้อสมยวิมุตละราคะขาดแล้ว พระ-
อรหันต์ผู้อสมยวิมุต ย่อมไม่เสื่อมจากอรหัตผล
หรือ ?

ป. ถูกแล้ว.
ส. พระอรหันต์ผู้สมยวิมุตละราคะขาดแล้ว พระ-
อรหันต์ผู้สมยวิมุต ย่อมไม่เสื่อมจากอรหัตผล
หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
ส. พระอรหันต์ผู้อสมยวิมุตละโทสะขาดแล้ว ฯลฯ
ละอโนตัปปะขาดแล้ว พระอรหันต์ผู้อสมยวิมุตย่อมไม่เสื่อมจากอรหัต-
ผล หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. พระอรหันต์ผู้สมยวิมุตละอโนตตัปปะขาดแล้ว
พระอรหันต์สมยวิมุต ย่อมไม่เสื่อมจากอรหัตผล
หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
ส. เพื่อละขาดซึ่งราคะ พระอรหันต์อสมยวิมุตยัง
มรรคให้เกิดแล้ว ฯ ล ฯ ยังโพชฌงค์ให้เกิดแล้ว พระอรหันต์ผู้อสมย-
วิมุตย่อมไม่เสื่อมจากอรหัตผล หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. เพื่อละขาดซึ่งราคะ พระอรหันต์ผู้สมยวิมุต ยัง
มรรคให้เกิดแล้ว ฯลฯ โพชฌงค์ให้เกิดแล้ว พระอรหันต์ผู้สมยวิมุต
ย่อมไม่เสื่อมจากอรหัตผล หรือ ?

ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
ส. เพื่อละขาดซึ่งโทสะ ฯ ล ฯ เพื่อละขาดซึ่งอโนต-
ตัปปะ พระอรหันต์อสมยวิมุต ยังมรรคให้เกิดแล้ว ฯลฯ ยังโพชฌงค์
ให้เกิดแล้ว พระอรหันต์ผู้อสมยวิมุตย่อมไม่เสื่อมจากอรหัตผล หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. เพื่อละขาดซึ่งอโนตตัปปะ พระอรหันต์ผู้สมย-
วิมุต ยังมรรคให้เกิดแล้ว ฯ ล ฯ ยังโพชฌงค์ให้เกิดแล้ว พระอรหันต์-
ผู้สมยวิมุตย่อมไม่เสื่อมจากอรหัตผล หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
ส. พระอรหันต์ผู้อสมยวิมุต เป็นผู้ปราศจากราคะ
โทสะ โมหะแล้ว ฯลฯ ทำให้แจ้งซึ่งธรรมที่ควรทำให้แจ้งแล้ว พระอร-
หันต์ผู้อสมยวิมุตย่อมไม่เสื่อมจากอรหัตผล หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. พระอรหันต์ผู้สมยวิมุต เป็นผู้ปราศจากราคะ
โทสะ โมหะแล้ว ฯลฯ ทำให้แจ้งซึ่งธรรมที่ควรทำให้แจ้งแล้ว พระ-
อรหันต์ผู้สมยวิมุต ย่อมไม่เสื่อมจากอรหัตผล หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
[246] ส. พระอรหันต์เสื่อมจากอรหัตผลได้ หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. พระสารีบุตรเถระเสื่อมแล้วจากอรหัตผล หรือ ?

ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯ ล ฯ
ส. พระมหาโมคคัลลานเถระ...พระมหากัสสปเถระ
...พระมหากัจจายนเถระ...พระมหาโกฏฐิตเถระ... พระมหาปันถกเถระ
เสื่อมแล้วจากพระอรหัตผล หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
ส. พระสารีบุตรเถระ ไม่ได้เสื่อมจากอรหัตผล
หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. หากว่า พระสารีบุตรเถระไม่ได้เสื่อมจากอร-
หัตผล ก็ต้องไม่กล่าวว่า พระอรหันต์เสื่อม
จากอรหัตผล.
ส. พระมหาโมคคัลลานเถระ...พระมหากัสสปเถระ
...พระมหากัจจายนเถระ...พระมหาโกฏฐิตเถระ...พระมหาปันถกเถระ
ไม่ได้เสื่อมจากอรหัตผล หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. หากว่า พระมหาโมคคัลลานเถระ ฯ ล ฯ พระ-
มหาปันถกเถระไม่ได้เสื่อมจากอรหัตผล ก็ต้องไม่กล่าวว่า พระอรหันต์
เสื่อมจากอรหัตผลได้.
[247] ส. พระอรหันต์เสื่อมจากอรหัตผลได้ หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.

ส. พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสไว้ว่า ปฏิปทาที่พระ-
สมณะประกาศแล้วนี้สูงและต่ำแล แต่ผู้ปฏิบัติจะไปถึงฝั่ง (คือ
นิพพาน) ได้สองเที่ยวก็หาไม่ ฝั่งนี้อันผู้ปฏิบัติจะได้รู้แต่ครั้งเดียว
ก็หาไม่
ดังนี้1 เป็นสูตรมีอยู่จริง มิใช่หรือ ?
ป. ถูกแล้ว
ส. ถ้าอย่างนั้น ก็ไม่พึงกล่าวว่า พระอรหันต์
เสื่อมจากอรหัตผลได้ น่ะสิ
[248] ส. พระอรหันต์เสื่อมจากอรหัตผลได้ หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. บรรดากิเลสวัฏที่พระอรหันต์ตัดแล้ว ยังมีบาง
อย่างที่ยังจะต้องตัดอีก หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
ส. บรรดากิเลสวัฏที่พระอรหันต์ตัดแล้ว ยังมีบาง
อย่างที่ยังจะต้องตัดอีก หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสไว้ว่า ท่านผู้เสร็จ
กิจที่จำต้องทำแล้ว เป็นผู้ปราศจากตัณหา ไม่มีกิเลสเครื่องยึดถือ
บรรดากิเลสวัฏที่ท่านตัดแล้ว ไม่มีอันใดที่จะต้องตัดอีก ท่าน
ถอนห้วงน้ำและบ่วงได้แล้ว
ดังนี้ เป็นสูตรมีอยู่จริง มิใช่หรือ ?
1. ขุ. สุ. 25/389.

ป. ถูกแล้ว.
ส. ถ้าอย่างนั้น ก็ไม่พึงกล่าวว่า บรรดากิเลสวัฏที่
พระอรหันต์ตัดแล้ว ยังมีบางอย่างที่ยังจะต้อง
ตัดอีก น่ะสิ ?
[249] ส. พระอรหันต์เสื่อมจากอรหัตผลได้ หรือ ?
ป. ลูกแล้ว.
ส. กิจที่ทำแล้ว ต้องกลับสร้างสมอีก มีหรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯ ล ฯ
ส. กิจที่ทำแล้ว ต้องกลับสร้างสมอีก มีหรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสว่า การกลับสร้าง
สมกิจที่ทำแล้วไม่มี กิจอื่นที่จำต้องทำอีกก็ไม่มี แก่ภิกษุนั้นผู้
พ้นแล้วโดยชอบ ผู้มีจิตสงบแล้ว บรรดารูป เสียง กลิ่น รส
ผัสสะ ธัมมารมณ์ทุกอย่าง ทั้งที่น่าปรารถนา และไม่น่าปรารถนา
ไม่ยังจิตของท่านผู้คงที่ อันตั้งมั่น หลุดพ้นแล้ว ให้หวั่นไหวได้
ดุจภูเขาศิลาล้วนเป็นแท่งทึบย่อมไม่สะเทือนเพราะลม ฉะนั้น
เพราะภิกษุนั้นย่อมพิจารณาเห็นแต่ความสิ้นไปแห่งจิตนั้น ๆ
ดังนี้1
เป็นสูตรมีอยู่จริง มิใช่หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
1. วิ. มหา. 5/4

ส. ถ้าอย่างนั้น ก็ไม่พึงกล่าวว่า กิจที่ทำแล้วต้อง
กลับสร้างสมอีก มีอยู่ น่ะสิ.
[250] ป. ไม่พึงกล่าวว่า พระอรหันต์เสื่อมจากอรหัตผล
ได้ หรือ ?
ส. ถูกแล้ว.
ป. พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสไว้ว่า ดูก่อนภิกษุ
ทั้งหลาย ธรรม 5 เหล่านี้ ย่อมเป็นไปพร้อมเพื่อความเสื่อมรอบ
แก่ภิกษุผู้สมยวิมุต ธรรม 5 เป็นไฉน คือ ความเพลิดเพลินใน
การงาน ความเพลิดเพลินในการสนทนา ความเพลิดเพลินใน
การหลับ ความเพลิดเพลินในการคลุกคลี ไม่พิจารณาจิตที่หลุด
พ้นแล้วอย่างไร ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธรรม 5 เหล่านี้แล ย่อม
เป็นไปพร้อมเพื่อความเสื่อมแก่ภิกษุผู้สมยวิมุต
ดังนี้1 เป็นสูตร
มีอยู่จริง มิใช่หรือ ?
ส. ถูกแล้ว.
ป. ถ้าอย่างนั้น พระอรหันต์ก็เสื่อมจากอรหัตผล
ได้ น่ะสิ ?
[251] ส. พระอรหันต์มีความเพลิดเพลินในการงานหรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯ ล ฯ
1. อัง. ปัญจก. 22/149

ส. พระอรหันต์มีความเพลิดเพลินในการงาน หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. พระอรหันต์ยังมีราคะ กามราคะ กามราคปริ-
ยุฏฐานะ กามราคสัญโญชน์ กาโมฆะ กาม-
โยคะ กามฉันทนิวรณ์ หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯ ล ฯ
ส. พระอรหันต์ยังมีความเพลิดเพลินในการสนทนา
...มีความเพลิดเพลินในการหลับ... มีความ
เพลิดเพลินในการคลุกคลี หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯ ล ฯ
ส. พระอรหันต์ยังมีความเพลิดเพลินในการคลุกคลี
หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. พระอรหันต์ยังมีราคะ กามราคะ กามราคปริ-
ยุฏฐานะ กามราคสัญโญชน์ กาโมฆะ กาม-
โยคะ กามฉันทนิวรณ์ หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯ ล ฯ
[252] ส. พระอรหันต์เสื่อมจากอรหัตผลได้ หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.

ส. พระอรหันต์เมื่อเสื่อมจากอรหัตผล ถูกอะไร
กลุ้มรุมจึงเสื่อม ?
ป. ถูกราคะกลุ้มรุมจึงเสื่อม.
ส. การกลุ้มรุมเกิดขึ้น เพราะอาศัยอะไร ?
ป. เกิดขึ้น เพราะอาศัยอนุสัย.
ส. พระอรหันต์ยังมีอนุสัย หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
ส. พระอรหันต์ยังมีอนุสัย หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. พระอรหันต์ยังมีกามราคานุสัย ปฏิฆานุสัย
มานานุสัย ทีฏฐานุสัย วิจิกิจฉานุสัย ภวรา-
คานุสัย อวิชชานุสัย หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
ป. พระอรหันต์ถูกโทสะกลุ้มรุมจึงเสื่อม ฯ ล ฯ ถูก
โมหะกลุ้มรุมจึงเสื่อม.
ส. ความกลุ้มรุมเกิดขึ้นเพราะอาศัยอะไร ?
ป. เกิดขึ้น เพราะอาศัยอนุสัย.
ส. พระอรหันต์ยังมีอนุสัย หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
ส. พระอรหันต์ยังมีอนุสัย หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.

ส. พระอรหันต์ยังมีกามราคานุสัย ฯลฯ อวิชชานุ-
สัย หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯ ล ฯ
[253] ส. พระอรหันต์เสื่อมจากอรหัตผลได้ หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. เมื่อพระอรหันต์เสื่อมจากอรหัตผล อะไรก่อ
ตัวขึ้น.
ป. ราคะก่อตัวขึ้น.
ส. สักกายทิฏฐิก่อตัวขึ้นหรือ ? วิจิกิจฉาก่อตัวขึ้น
หรือ ? สีลัพพตปรามาสก่อตัวขึ้น หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯ ล ฯ
ส. โทสะก่อตัวขึ้นหรือ ฯ ล ฯ โมหะก่อตัวขึ้นหรือ ?
สักกายทิฏฐิก่อตัวขึ้นหรือ ? วิจิกิจฉาก่อตัวขึ้นหรือ ? สีลัพพตปรามาสก่อ
ตัวขึ้น หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
[254] ส. พระอรหันต์เสื่อมจากอรหัตผลได้ หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. พระอรหันต์ยังสะสมอยู่ หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
ส. พระอรหันต์เลิกสะสมอยู่ หรือ ?

ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯ ล ฯ
ส. พระอรหันต์ยังละอยู่ หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯ ล ฯ
ส. พระอรหันต์ยังยึดมั่นอยู่ หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯ ล ฯ
ส. พระอรหันต์ยังชำระล้างอยู่ หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯ ล ฯ
ส. พระอรหันต์ยังหมักหมมอยู่ หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯ ล ฯ
ส. พระอรหันต์ยังกำจัดมืดอยู่ หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
ส. พระอรหันต์ยังมืดมัวอยู่ หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
ส. พระอรหันต์ยังสะสมอยู่ก็ไม่ใช่ เลิกสะสมอยู่ก็
ไม่ใช่ แต่เป็นผู้เลิกสะสมแล้วตั้งอยู่ มิใช่หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. หากว่า พระอรหันต์ยังสะสมอยู่ก็ไม่ใช่ เลิก
สะสมอยู่ก็ไม่ใช่ แต่เป็นผู้เลิกสะสมแล้วตั้งอยู่ ก็ต้องไม่กล่าวว่าพระ-
อรหันต์เสื่อมจากอรหัตผลได้.
ส. พระอรหันต์ยังละอยู่ก็ไม่ใช่ ยังยึดมั่นอยู่ก็ไม่
ใช่ แต่เป็นผู้ละขาดแล้วตั้งอยู่ มิใช่หรือ ?

ป. ถูกแล้ว.
ส. หากว่า พระอรหันต์ยังละอยู่ก็ไม่ใช่ ยังยึดมั่น
อยู่ก็ไม่ใช่ แต่เป็นผู้ละขาดแล้วตั้งอยู่ ก็ต้องไม่กล่าวว่า พระอรหันต์
เสื่อมจากอรหัตผลได้.
ส. พระอรหันต์ยังชำระล้างอยู่ก็ไม่ใช่ ยังหมักหมม
อยู่ก็ไม่ใช่ แต่เป็นผู้ชำระล้างแล้วตั้งอยู่ มิใช่
หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. หากว่า พระอรหันต์ยังชำระล้างอยู่ก็ไม่ใช่ ยัง
หมักหมมอยู่ก็ไม่ใช่ แต่เป็นผู้ชำระล้างแล้วตั้งอยู่ ก็ต้องไม่กล่าวว่า
พระอรหันต์เสื่อมจากอรหัตผลได้.
ส. พระอรหันต์ยังกำจัดมีอยู่ก็ไม่ใช่ ยังมืดมัวอยู่
ก็ไม่ใช่ แต่เป็นผู้กำจัดมืดแล้วตั้งอยู่ มิใช่หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. หากว่า พระอรหันต์ยังกำจัดมืดอยู่ก็ไม่ใช่ ยัง
มืดมัวอยู่ก็ไม่ใช่ แต่เป็นผู้กำจัดมืดแล้วตั้งอยู่ ก็ต้องไม่กล่าวว่า พระ-
อรหันต์เสื่อมจากอรหัตผลได้.
ปริหานิกถา จบ

อรรถกถาปริหานิกถา


ว่าด้วยความเสื่อม


บัดนี้ ชื่อว่า เรื่องความเสื่อม. ก็นิกายสมิติยะ วัชชีปุตตกะ
สัพพัตถิกวาที และมหาสังฆิกะบางพวก อาศัยพระสูตรทั้งหลายว่า*
ปริหานิธมฺโม อปริหานิธมฺโม เทฺวเม ภิกฺขเว ธมฺมา เสกฺขสฺส
ภิกฺขุโน ปริหานาย สํวตฺตนฺติ ปญฺจิเนุ ภิกฺขเว ธมฺมา สมย-
วิมุตฺตสฺส ภิกฺขุโน ปริหานาย สํวตฺตนฺติ
ดังนี้ ด้วยประการฉะนี้
เป็นต้น ย่อมปรารถนาซึ่งความเสื่อมรอบแม้แก่พระอรหันต์ เพราะ
ฉะนั้น ความเสื่อมเหล่านั้น หรือเหล่าอื่นนั่นแหละจงยกไว้ก่อน ลัทธิ
คือความถือผิดนี้ย่อมมีแก่ชนเหล่าใด เพื่อทำลายลัทธิแห่งชนเหล่านั้น
สกวาทีจึงถามปรวาทีว่า พระอรหันต์เสื่อมจากความเป็นพระอร-
หันต์หรือ
ในคำถามเหล่านั้น คำว่า " ความเสื่อม " ได้แก่ความ
เสื่อม 2 อย่างคือ ปัตตปริหานิ คือความเสื่อมจากธรรมที่เคยบรรลุแล้ว
และอัปปัตตปริหานิ คือความเสื่อมจากธรรมที่ยังไม่บรรลุ.
* พระสูตรนี้แปลว่า ภิกษุทั้งหลาย ธรรม 2 อย่างเหล่านี้ คือ ปริหานิ-
ธรรม และอปริหานิธรรม ย่อมเป็นไปเพื่อความเสื่อมรอบแก่ภิกษุผู้เป็นเสกข-
บุคคล ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธรรม 5 เหล่านี้ คือ ความเพลิดเพลินในการงาน
ความเพลิดเพลินในการสนทนา ความเพลิดเพลินในการหลับ ความเพลิดเพลิน
ในการคลุกคลี ความหลุดพ้นแห่งจิตมีอย่างไรไม่พิจารณาอย่างนั้น ย่อมเป็นไป
พร้อมเพื่อความเสื่อมรอบแก่ภิกษุผู้สมยวิมุตตบุคคล ดังนี้ด้วยประการฉะนี้เป็นต้น