เมนู

ปกิณณกะ


[177] ส. บุคคลอาศัยอะไรตั้งอยู่ ?
ป. อาศัยภพตั้งอยู่.
ส. ภพไม่เที่ยง เป็นสังขตะ อาศัยปัจจัยเกิดขึ้น มี
ความสิ้นไปเป็นธรรมดา มีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา มีความจากไป
เป็นธรรมดามีความดับไปเป็นธรรมดามีความแปรไปเป็นธรรมดา หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. แม้บุคคลก็ไม่เที่ยง เป็นสังขตะ อาศัยปัจจัย
เกิดขึ้น มีความสิ้นไปเป็นธรรมดา มีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา มีความ
จางไปเป็นธรรมดา มีความดับไปเป็นธรรมดา มีความแปรไปเป็น
ธรรมดา หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. แม้บุคคลก็ไม่เที่ยง เป็นสังขตะ อาศัยปัจจัย
เกิดขึ้น มีความสิ้นไปเป็นธรรมดา มีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา มีความ
จางไปเป็นธรรมดา มีความดับไปเป็นธรรมดา มีความแปรไปเป็น
ธรรมดา หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯ ล ฯ
[178] ป. ไม่พึงกล่าวว่า หยั่งเห็นบุคคลได้โดยสัจฉิกัตถ-
ปรมัตถะ หรือ ?
ส. ถูกแล้ว.

ป. บุคคลบางคนที่เสวยสุขเวทนาอยู่ ก็รู้ชัดว่า
เราเสวยสุขเวทนาอยู่ มีอยู่ มิใช่หรือ ?
ส. ถูกแล้ว.
ป. หากว่า บุคคลบางคนที่เสวยสุขเวทนาอยู่ ก็รู้
ชัดว่าเราเสวยสุขเวทนาอยู่ มีอยู่ ด้วยเหตุนั้นนะท่านจึงต้องกล่าวว่า
หยั่งเห็นบุคคลได้โดยสัจฉิกัตถปรมัตถะ
ป. ไม่พึงกล่าวว่า หยั่งเห็นบุคคลได้โดยสจัฉิกัตถ-
ปรมัตถะ หรือ ?
ส. ถูกแล้ว.
ป. บุคคลบางคนที่เสวยทุกขเวทนาอยู่ ก็รู้ชัดว่า เรา
เสวยทุกขเวทนาอยู่ ฯ ล ฯ ที่เสวยอทุกขมสุขเวทนาอยู่ ก็รู้ชัดว่าเรา
เสวยอทุกขมสุขเวทนาอยู่ มีอยู่มิใช่หรือ ?
ส. ถูกแล้ว.
ป. หากว่า บุคคลบางคนที่เสวยอทุกขมสุขเวทนา
อยู่ ก็รู้ชัดว่า เราเสวยอทุกขมสุขเวทนาอยู่ มีอยู่ ด้วยเหตุนั้นนะท่าน
จึงต้องกล่าวว่า หยั่งเห็นบุคคลได้โดยสัจฉิกัตถปรมัตถะ
ส. ท่านได้ทำความตกลงแล้วว่า บุคคลบางคนที่
เสวยสุขเวทนา ก็รู้ชัดว่า เราเสวยสุขเวทนาอยู่ มีอยู่ และด้วยเหตุ
นั้น จึงหยั่งเห็นบุคคลได้โดยสัจฉิกัตถปรมัตถะ หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. ผู้ใดเสวยสุขเวทนาอยู่ ก็รู้ชัดว่า เราเสวยสุข

เวทนาอยู่ ผู้นั้นเทียวเป็นบุคคล ผู้ใดเสวยสุขเวทนาอยู่ ไม่รู้ชัดว่า เรา
เสวยสุขเวทนาอยู่ ผู้นั้นไม่เป็นบุคคล หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯ ล ฯ
ส. ผู้ใดเสวยทุกขเวทนาอยู่ ฯ ล ฯ ผู้ใดเสวยอทุกขม-
สุขเวทนาอยู่ ก็รู้ชัดว่า เราเสวยอทุกขมสุขเวทนาอยู่ ผู้นั้นเทียวเป็น
บุคคล ผู้ใดเสวยอทุกขมสุขเวทนาอยู่ ไม่รู้ชัดว่า เราเสวยอทุกขม-
สุขเวทนาอยู่ ผู้นั้นไม่เป็นบุคคล หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯ ล ฯ
ส. ท่านได้ทำความตกลงแล้วว่า บุคคลบางคนที่
เสวยสุขเวทนาอยู่ ก็รู้ชัดว่า เราเสวยสุขเวทนาอยู่ มีอยู่ และด้วยเหตุ
นั้นจึงหยั่งเห็นบุคคลได้โดยสัจฉิกัตถปรมัตถะ หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. สุขเวทนาเป็นอื่น ผู้ที่เสวย สุขเวทนาอยู่ ก็รู้ชัด
ว่าเราเสวยสุขเวทนาอยู่ ก็เป็นอื่น หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯ ล ฯ
ส. ทุกขเวทนาเป็นอื่น ฯ ล ฯ อทุกขมสุขเวทนา
เป็นอื่น ผู้เสวยอทุกขมสุขเวทนาอยู่ ก็รู้ชัดว่า เราเสวยอทุกขมสุข-
เวทนาอยู่ก็เป็นอื่น หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯ ล ฯ
[179] ป. ไม่พึงกล่าวว่า หยั่งเห็นบุคคลได้โดยสัจฉิกัตถ-
ปรมัตถะ หรือ ?

ส. ถูกแล้ว.
ป. บุคคลบางคนที่เป็นผู้พิจารณาเห็นกายในกายอยู่
มีอยู่ มิใช่หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. หากว่า บุคคลบางคนที่เป็นผู้พิจารณาเห็นกาย
ในกายอยู่ มีอยู่ ด้วยเหตุนั้นนะท่านจึงต้องกล่าวว่า หยั่งเห็นบุคคลได้
โดยสัจฉิกัตถปรมัตถะ
ป. ไม่พึงกล่าวว่า หยั่งเห็นบุคคลได้โดยสัจฉิกัตถ-
ปรมัตถะ หรือ ?
ส. ถูกแล้ว.
ป. บุคคลบางคนที่เป็นผู้พิจารณาเห็นเวทนาใน
เวทนาอยู่ ฯ ล ฯ ที่เป็นผู้พิจารณาเห็นจิตในจิตอยู่ ฯ ล ฯ ที่เป็นผู้
พิจารณาเห็นธรรมในธรรมอยู่ มีอยู่มิใช่หรือ ?
ส. ถูกแล้ว.
ป. หากว่า บุคคลบางคนที่เป็นผู้พิจารณาเห็นธรรม
ในธรรมอยู่ มีอยู่ ด้วยเหตุนั้นนะท่านจึงต้องกล่าวว่า หยั่งเห็นบุคคล
ได้โดยสัจฉิกัตถปรมัตถะ
ส. ท่านได้ทำความตกลงแล้วว่า บุคคลบางคนที่
เป็นผู้พิจารณาเห็นกายในกายอยู่ มีอยู่ และด้วยเหตุนั้น จึงหยั่งเห็น
บุคคลได้โดยสัจฉิกัตถปรมัตถะ หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.

ส. ผู้ใดเป็นผู้พิจารณาเห็นกายในกายอยู่ ผู้นั้น
เทียวเป็นบุคคล ผู้ใดไม่เป็นผู้พิจารณาเห็นกายในกายอยู่ ผู้นั้นไม่เป็น
บุคคล หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯ ล ฯ
ส. ผู้ใดเป็นผู้พิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาอยู่ ฯ ล ฯ
เป็นผู้พิจารณาเห็นจิตในจิตอยู่ ฯ ล ฯ เป็นผู้พิจารณาเห็นธรรมในธรรม
อยู่ ผู้นั้นเทียว เป็นบุคคล ผู้ใดไม่เป็นผู้พิจารณาธรรมในธรรมอยู่
ผู้นั้นไม่เป็นบุคคล หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯ ล ฯ
ส. ท่านได้ทำความตกลงแล้วว่า บุคคลบางคนที่
เป็นผู้พิจารณาเห็นกายในกายอยู่ มีอยู่ และด้วยเหตุนั้น จึงหยั่งเห็น
บุคคลได้โดยสัจฉิกัตถปรมัตถะ หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. กายเป็นอื่น บุคคลที่เป็นผู้พิจารณาเห็นกายใน
กายอยู่ ก็เป็นอื่น หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯ ล ฯ
ส. เวทนาเป็นอื่น ฯ ล ฯ จิตเป็นอื่น ฯ ล ฯ ธรรม
เป็นอื่น บุคคลที่เป็นผู้พิจารณาเห็นธรรมใน
ธรรมอยู่ ก็เป็นอื่น หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯ ล ฯ

[180] ส. ท่านหยั่งเห็นบุคคลโดยสัจฉิกัตถปรมัตถะ หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสไว้ว่า โมฆราชะ
เธอจงเป็นผู้มีสติทุกเมื่อ หยั่งเห็นโดยความเป็นของสูญ ถอน
อัตตานุทิฏฐิเสีย เธอพึงเป็นผู้ข้ามพ้นมัจจุราชเสียได้ด้วยอาการ
อย่างนี้ เพราะมัจจุราชย่อมไม่แลเห็นบุคคลผู้หยั่งเห็นโลกอยู่
อย่างนี้
ดังนี้ เป็นสูตรที่มีอยู่จริงมิใช่ หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. ถ้าอย่างนั้น ก็ไม่พึงกล่าวว่า หยั่งเห็นบุคคลได้
โดยสัจฉิกัตถปรมัตถะ น่ะสิ
[181] ส. บุคคลหยั่งเห็น หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. ร่วมกับรูปหยั่งเห็นหรือ หรือว่าเว้นจากรูป
หยั่งเห็น ?
ป. ร่วมกับรูปหยั่งเห็น.
ส. ชีพก็อันนั้น สรีระก็อันนั้น หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯ ล ฯ
ป. เว้นจากรูป หยั่งเห็น.
ส. ชีพเป็นอื่น สรีระก็เป็นอื่น หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯ ล ฯ
1. ขุ. สุ. 25/439

ส. บุคคลหยั่งเห็น หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. อยู่ภายในหยั่งเห็นหรือ หรือว่าออกไปภายนอก
แล้วจึงหยั่งเห็น ?
ป. อยู่ภายในหยั่งเห็น.
ส. ชีพก็อันนั้น สรีระก็อันนั้น หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯ ล ฯ
ป. ออกไปภายนอกแล้วจึงหยั่งเห็น.
ส. ชีพเป็นอื่น สรีระก็เป็นอื่น หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯ ล ฯ
[182] ป. ไม่พึงกล่าวว่า หยั่งเห็นบุคคลได้โดยสัจฉิกัตถ-
ปรมัตถะหรือ ?
ส. ถูกแล้ว.
ป. พระผู้มีพระภาคเจ้ามีปกติตรัสคำจริง ตรัสสม
กาล ตรัสเรื่องที่เป็นจริง ตรัสถูกต้อง ตรัส
ไม่ผิด ตรัสไม่คลาดเคลื่อนมิใช่หรือ ?
ส. ถูกแล้ว.
ป. พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสไว้ว่า บุคคลผู้ปฏิบัติ
เพื่อเกื้อกูลแก่ตน มีอยู่1
ดังนี้ เป็นสูตรมีอยู่
จริง มิใช่หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
1. องฺ จตุกฺก. 21/96, อภิ. ปุ. 36/10.

ส. ถ้าอย่างนั้น ก็หยั่งเห็นบุคคลได้โดยสัจฉิกัตถ-
ปรมัตถะน่ะสิ
ป. ไม่พึงกล่าวว่า หยั่งเห็นบุคคลได้โดยสัจฉิกัตถ-
ปรมัตถะ หรือ ?
ส. ถูกแล้ว.
ป. พระผู้มีพระภาคเจ้า มีปรกติตรัสคำจริง ตรัส
สมกาล ตรัสเรื่องที่เป็นจริง ตรัสถูกต้อง ตรัส
ไม่ผิด ตรัสไม่คลาดเคลื่อนมิใช่ หรือ ?
ส. ถูกแล้ว.
ป. พระผู้พระภาคเจ้าได้ตรัสไว้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้ง
หลาย บุคคลคนเดียวเมื่อบังเกิดขึ้นในโลก ย่อมบังเกิดขึ้นเพื่อ
เกื้อกูลแก่คนมาก เพื่อความสุขของคนมาก เพื่อความอนุเคราะห์
แก่โลก เพื่อประโยชน์ เพื่อเกื้อกูล เพื่อความสุข ของเทวดา
และมนุษย์ทั้งหลาย
ดังนี้1 เป็นสูตรมีอยู่จริงมิใช่ หรือ ?
ส. ถูกแล้ว.
ป. ถ้าอย่างนั้น ก็หยั่งเห็นบุคคลได้โดยสัจฉิกัตถ-
ปรมัตถะ น่ะสิ
[183] ส. หยั่งเห็นบุคคลโดยสัจฉิกัตถปรมัตถะ หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. พระผู้มีพระภาคเจ้า มีปรกติตรัสคำจริง ตรัส
1. องฺ. เอก. 20/139.

สมกาล ตรัสเรื่องที่เป็นจริง ตรัสถูกต้อง ตรัส
ไม่ผิด ตรัสไม่คลาดเคลื่อนมิใช่ หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสไว้ว่า ธรรมทั้งปวง
เป็นอนัตตา ดังนี้ เป็นสูตรมีอยู่จริง มิใช่ หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. ถ้าอย่างนั้น ก็ไม่พึงกล่าวว่า หยั่งเห็นบุคคลได้
โดยสัจฉิกัตถปรมัตถะ น่ะสิ
[184] ส. ท่านหยั่งเห็นบุคคลได้โดยสัจฉิกัตถปรมัตถะหรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. พระผู้มีพระภาคเจ้า มีปกติตรัสคำจริง ตรัส
สมกาล ตรัสเรื่องที่เป็นจริง ตรัสถูกต้อง ตรัส
ไม่ผิด ตรัสไม่คลาดเคลื่อน มิใช่หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสไว้ว่า อริยสาวกไม่
สงสัย ไม่เคลือบแคลงว่า เมื่อบังเกิด ทุกข์เท่านั้นบังเกิดขึ้น
เมื่อดับ ทุกข์เท่านั้นดับไป ในข้อนี้อริยสาวกนั้นหยั่งรู้ได้โดยไม่
ต้องอาศัยผู้อื่นทีเดียว เพียงเท่านี้แลกัจจานะ เป็นสัมมาทิฏฐิ

ดังนี้1 เป็นสูตรมีอยู่จริงมิใช่ หรือ ?
1. สํ.นิ.. 16/43.

ป. ถูกแล้ว.
ส. ถ้าอย่างนั้น ก็ไม่พึงกล่าวว่า หยั่งเห็นบุคคลได้
โดยสัจฉิกัตถปรมัตถะ น่ะสิ
[185] ส. ท่านหยั่งเห็นบุคคลได้โดยสัจฉิกัตถปรมัตถะหรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. พระวชิราภิกษุณีได้กล่าวกะมารดาผู้มีบาปว่าดังนี้
ดูก่อนมาร ท่านเชื่อว่าเป็นสัตว์หรือหนอ นั่นเป็นความเห็นของ
ท่านหรือหนอ นี้เป็นกลุ่มสังขารล้วน ๆ ในกลุ่มสังขารนี้จะค้นหา
สัตว์ไม่ได้ เพราะคุมส่วนทั้งหลายเข้า เสียงเรียกว่ารถจึงมีได้
แม้ฉันใด เมื่อขันธ์ทั้งหลายยังมีอยู่ สมมติว่าสัตว์ก็มีได้ฉันนั้น.
ความจริงทุกข์เท่านั้นเกิดขึ้น ทุกข์เท่านั้นตั้งอยู่ และเสื่อมสิ้นไป
นอกจากทุกข์ไม่มีอะไรเกิด นอกจากทุกข์ไม่มีอะไรดับ
ดังนี้1
เป็นสูตรมีอยู่จริง มิใช่หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. ถ้าอย่างนั้น ก็ไม่พึงกล่าวว่า หยั่งเห็นบุคคลได้
โดยสัจฉิกัตถปรมัตถะ น่ะสิ
[186] ส. ท่านหยั่งเห็นบุคคลโดยสัจฉิกัตถปรมัตถะหรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. ท่านพระอานนท์ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้า
1. สํ.ส. 15/554.

ว่าดังนี้ พระพุทธเจ้าข้า ที่กล่าวกันว่า โลกสูญ โลกสูญ นั้น ด้วยเหตุ
เพียงไรพระเจ้าข้า จึงจะกล่าวได้ว่า โลกสูญ.
พระผู้มีพระภาคเจ้าได้
ตรัสตอบว่า ดูก่อนอานนท์ เพราะสูญโดยตนหรือโดยของที่เนื่อง
กับตน ฉะนั้นจึงกล่าวได้ว่าโลกสูญ อะไรเล่าอานนท์ที่สูญโดยตน
หรือโดยของที่เนื่องกับตน จักษุแลสูญโดยตนหรือโดยของที่
เนื่องกับตน รูปสูญ ฯ ล ฯ จักขุวิญญาณสูญ ฯ ล ฯ จักขุสัมผัส
สูญ ฯ ล ฯ เพราะจักขุสัมผัสเป็นปัจจัยจึงเกิดความรู้สึกเสวย
อารมณ์สุขก็ตาม ทุกข์ก็ตาม ไม่ทุกข์ไม่สุขก็ตาม อันใด แม้อัน
นั้นก็สูญโดยตนหรือโดยของที่เนื่องกับตน โสตะสูญ ฯ ล ฯ เสียง
สูญ ฯ ล ฯ ฆานะสูญ...กลิ่นสูญ ฯ ล ฯ ชิวหาสูญ..รสสูญ ฯ ล ฯ
กายสูญ...โผฏฐัพพะสูญ ฯ ล ฯ มโนสูญ...ธัมมารมณ์สูญ...
มโนวิญญาณสูญ... มโนสัมผัสสูญ...เพราะมโนสัมผัสเป็นปัจจัย
จึงเกิดความรู้สึกเสวยอารมณ์ สุขก็ตาม ทุกข์ก็ตาม ไม่ทุกข์ไม่
สุขก็ตาม อันใด แม้อันนั้นก็สูญโดยตนหรือโดยของเนื่องกับตน
ดูก่อนอานนท์ เพราะสูญโดยตนหรือโดยของที่เนื่องกับตน ฉะนั้น
จึงกล่าวได้ว่า โลกสูญ
ดังนี้1 เป็นพระสูตรมีอยู่จริง มิใช่ หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. ถ้าอย่างนั้น ก็ไม่พึงกล่าวว่า หยั่งเห็นบุคคลได้
โดยสัจฉิกัตถปรมัตถะน่ะสิ
1. ขุ. ป. 31/633.

[187] ส. ท่านหยั่งเห็นบุคคลโดยสัจฉิกัตถปรมัตถะหรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. พระผู้มีพระภาคเจ้า มีปรกติตรัสคำจริง ตรัส
สมกาล ตรัสเรื่องที่เป็นจริง ตรัสถูกต้อง ตรัส
ไม่ผิด ตรัสไม่คลาดเคลื่อนมิใช่ หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้ง
หลาย เมื่อตนก็ดีมีอยู่ พึงมีคำพูดว่า ของที่เนื่องกับตนของเรา
หรือ ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า อย่างนั้นพระพุทธเจ้า ตรัสว่า เมื่อ
ของที่เนื่องกับคนก็ดีมีอยู่ พึงมีคำพูดว่า ตนของเราหรือ กราบทูล
ว่า อย่างนั้นพระพุทธเจ้าข้า ตรัสว่า ภิกษุทั้งหลาย เมื่อทั้งตนและ
ของที่เนื่องกับตนจะหยั่งเห็นไม่ได้โดยความเป็นของจริง โดย
ความเป็นของแท้ เหตุเป็นที่ตั้งแห่งทิฏฐิว่า โลกก็อันนั้น เรานั้น
ละไปแล้วจักเป็นผู้เที่ยงยั่งยืน คงที่ มีอันไม่แปรไปเป็นธรรมดา
จักตั้งอยู่อย่างนั้นเทียวคงที่เสมอไป ดังนี้ก็เป็นธรรมของคนพาล
บริบูรณ์สิ้นเชิงมิใช่หรือ กราบทูลว่า ไม่พึงเป็นอะไร ๆ อื่นพระ-
พุทธเจ้าข้า เป็นธรรมของคนพาลบริบูรณ์สิ้นเชิงทีเดียว พระ-
พุทธเจ้าข้า
ดังนี้1 เป็นสูตรมีอยู่จริงมิใช่หรือ ?
1. ม.มู. 21/684.

ป. ถูกแล้ว.
ส. อย่างนั้น ก็ไม่พึงกล่าวว่า ก็หยั่งเห็นบุคคล
ได้โดยสัจฉิกัตถปรมัตถะน่ะสิ
[188] ส. ท่านหยั่งเห็นบุคคลโดยสัจฉิกัตถปรมัตถะ หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. พระผู้มีพระภาคเจ้า มีปกติตรัสคำจริง ตรัส-
สมกาล ตรัสเรื่องที่เป็นจริง ตรัสถูกต้อง ตรัส
ไม่ผิด ตรัสไม่คลาดเคลื่อน มิใช่หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. พระผู้มีพระภาคเจ้า ได้ตรัสว่า ดูก่อนเสนิยะ
ศาสดา 3 จำพวกนี้มีอยู่ปรากฏอยู่ในโลก 3 จำพวกเป็นไฉน
ศาสดาบางคนในโลกนี้ บัญญัติอัตตาโดยความเป็นจริง โดยความ
เป็นของแท้ ทั้งในปัจจุบัน ทั้งในสัมปรายภพ อนึ่ง ศาสดาบาง
คนในโลกนี้ บัญญัติอัตตาโดยความเป็นของจริง โดยความเป็น
ของแท้ แต่ในปัจจุบันไม่บัญญัติเช่นนั้นในสัมปรายภพ อนึ่ง
ศาสดาบางคนในโลกนี้ ไม่บัญญัติอัตตาโดยความเป็นของจริง
โดยความเป็นของแท้ ทั้งในปัจจุบัน ทั้งในสัมปรายภพ ใน 3
จำพวกนั้น ศาสดาที่บัญญัติอัตตาโดยความเป็นของจริง โดยความ
เป็นของแท้ ทั้งในปัจจุบัน ทั้งในสัมปรายภพ นี้เรียกว่า สัสสต-

วาท ศาสดาที่บัญญัติอัตตาโดยความเป็นของจริง โดยความเป็น
ของแท้ แต่ในปัจจุบัน ไม่บัญญัติเช่นนั้นในสัมปรายภพ นี้เรียก
ว่า อุจเฉทวาท ศาสดาที่ไม่บัญญัติอัตตาโดยความเป็นของจริง
โดยความเป็นของแท้ ทั้งในปัจจุบัน ทั้งในสัมปรายภพ นี้เรียก
ว่า สัมมาสัมพุทธะ ดูก่อนเสนิยะ ศาสดา 3 จำพวกนี้แล มีอยู่
ปรากฏอยู่ในโลก
ดังนี้1 เป็นสูตรมีอยู่จริงมิใช่หรือ ?.
ป. ถูกแล้ว.
ป. ถ้าอย่างนั้น ก็ไม่พึงกล่าว หยั่งเห็นบุคคลได้โดย
สัจฉิกัตถปรมัตถะ น่ะสิ.
[189] ส. ท่านหยั่งเห็นบุคคลโดยสัจฉิกัตถปรมัตถะ หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. พระผู้มีพระภาคเจ้า มีปกติตรัสคำจริง ตรัส-
สมกาล ตรัสเรื่องที่เป็นจริง ตรัสถูกต้อง ตรัส
ไม่ผิด ตรัสไม่คลาดเคลื่อน มิใช่หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า หม้อเนยใส หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. ใคร ๆ ที่ทำหม้อเนยใสมีอยู่ หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯ ล ฯ
1. เทียบ อภิ. ปุ. 36/103.

ส. ถ้าอย่างนั้นไม่พึงกล่าวว่า หยั่งเห็นบุคคลได้โดย
สัจฉิกัตถปรมัตถะ หรือ ?
[190] ส. ท่านหยั่งเห็นบุคคลโดยสัจฉิกัตถปรมัตถะหรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ป. พระผู้มีพระภาคเจ้า มีปกติตรัสคำจริง ตรัส-
สมกาล ตรัสเรื่องที่เป็นจริง ตรัสถูกต้อง ตรัส
ไม่ผิด ตรัสไม่คลาดเคลื่อน มิใช่หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่าหม้อน้ำมัน...หม้อน้ำ
ผึ้ง...หม้อน้ำอ้อย...หม้อน้ำนม...หม้อน้ำ...
ภาชนะน้ำดื่ม...กระติกน้ำดื่ม...ขันน้ำดื่ม...
นิตยภัต...ธุวยาคู หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. ยาคูบางอย่าง เป็นของเที่ยง ยั่งยืน คงทน มี
อันไม่แปรไปเป็นธรรมดา หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯ ล ฯ
ส. ถ้าอย่างนั้น ก็ไม่พึงกล่าวว่า หยั่งเห็นบุคคลได้
โดยสัจฉิกัตถปรมัตถะ น่ะสิ ฯ ล ฯ ย่อ.
ปุคคลกถา จบ

อรรถกถาภวังนิสสาย ปัญหาทิ


ว่าด้วยปัญหาอาศัยภพเป็นต้น


ในปัญหาอาศัยภพ. คำว่า ภพ ได้แก่ อุปปัตติภพ ได้แก่ภพ
คือการเกิด. ในปัญหาของผู้เสวยเวทนา อธิบายว่า พระโยคาวจรผู้เสวย
อยู่ซึ่งเวทนา ผู้มีเวทนาอันกำหนดแล้วเที่ยวย่อมรู้ชัด ส่วนพาลปุถุชน
ย่อมไม่รู้. ปัญหามีคำว่า กายานุปัสสนาเป็นต้น มีเนื้อความง่ายทั้งนั้น
ในกถาเบื้องต้นว่า โมฆราช เธอจงเป็นผู้มีสติทุกเมื่อ หยั่งเห็น
โลกโดยความเป็นของสูญ เป็นต้น อธิบายว่า จงพิจารณาโลก
คือขันธ์ ด้วยสามารถแห่งความเป็นของว่างเปล่าจากสัตว์.

คำว่า บุคคลหยั่งเห็นหรือ เป็นคำถามของสกวาที จริงอยู่
ลัทธิของปรวาทีว่า ผู้ใดย่อมพิจารณาด้วยคาถาว่า เธอจงพิจารณาดู
โลกโดยความเป็นของว่างเปล่า ดังนี้ ผู้นั้นเป็นบุคคล เพราะฉะนั้น
สกวาทีถึงถามปัญหานั้นนั่นแหละ.
คำว่า รวมกับรูป อธิบายว่า ร่วมกับรูปกาย ไม่ใช่เป็น
ผู้อาศัยรูปกายนั้น. เพราะการกำหนดรู้รูปนี้ด้วยสามารถแห่งปัญจโวการ
ภูมิ สกวาทีจึงถามว่า ชีพก็อันนั้น อีก ปรวาทีตอบปฏิเสธ เพราะ
กลัวผิดจากพระสูตร. คำว่า เว้นจากรูป ความว่าเพราะตามรู้รูปนี้
ไม่ได้ ด้วยสามารถแห่งจตุโวการภูมิ สกวาทีจึงถามอีกว่า ชีพเป็น
อื่น ก็ปฏิเสธ เพราะกลัวผิดจากพระสูตร. คำว่า อยู่ภายในด้วย