เมนู

ส. บุคคล คือรูป คือรูปายนะ คือรูปธาตุ คือสีเขียว
คือสีเหลือง คือสีแดง คือสีขาว คือสิ่งที่รู้ได้ด้วยจักษุ กระทบมีจักษุ
มาสู่คลองจักษุ หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯ ล ฯ
ส. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเห็นรูปหรือทรงเห็นบุคคล
ด้วยจักษุเพียงทิพย์ อันบริสุทธิ์ล่วงจักษุของมนุษย์.
ป. ทรงเห็นทั้งสองอย่าง.
ส. ทั้งสองอย่างคือรูป คือรูปายตนะ คือรูปธาตุ ทั้ง
สองอย่างคือสีเขียว ทั้งสองอย่างคือสีเหลือง ทั้งสองอย่างคือสีแดง ทั้ง
สองอย่างคือสีขาว ทั้งสองอย่างคือสิ่งที่รู้ได้ด้วยจักษุ ทั้งสองอย่างกระ-
ทบที่จักษุ ทั้งสองอย่างมาสู่คลองจักษุ ทั้งสองอย่างจุติ ทั้งสองอย่าง
อุบัติ ทั้งสองอย่างเป็นไปตามกรรม หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯ ล ฯ
อุปาทาปัญญัตตานุโยค จบ

อรรถกถาอุปาทาปัญญัตตานุโยค


ว่าด้วยการซักถามอุปาทาบัญญัติ


บัดนี้ เป็นการซักถามอุปาทาบัญญัติ คือบัญญัติเพราะอาศัย
ในเรื่องนั้น คำถามเป็นของพระสกวาที คำรับรองเป็นของพระปรวาที.

จริงอยู่เพราะอาศัยจักขุรูปเป็นต้น จึงบัญญัติบุคคล เหมือนการบัญญัติ
เงาไม้เพราะอาศัยต้นไม้ เหมือนการบัญญัติไฟเพราะอาศัยเชื้อไฟ ฉะนั้น
ท่านต้องการประกาศให้รู้ให้เข้าใจถึงบัญญัติ เพราะฉะนั้นเมื่อถูก
สกวาทีถามว่า เพราะอาศัยรูป จึงบัญญัติบุคคลขึ้นหรือ ปรวาทีจึง
ตอบรับรอง. ถูกถามเนื้อความนี้อีกว่า ถึงบุคคลก็ไม่เที่ยงเป็นราวกะ
รูป เป็นต้น เปรียบเหมือนเงาอาศัยต้นไม้ที่ต้นไม้ด้วย ไฟที่อาศัย
เชื้อไฟและเชื้อไฟด้วยมีความไม่เที่ยงเป็นธรรมดาฉันใด บุคคลของท่าน
อาศัยรูปเป็นต้น มีความไม่เที่ยงดุจธรรมทั้งหลาย มีรูปเป็นต้น ฉะนั้น
หรือ ดังนี้ ปรวาทีตอบปฏิเสธ เพราะตั้งอยู่ในลัทธิของตน. ในคำทั้ง
หลายมีคำว่า เพราะอาศัยรูปเขียวจึงบัญญัติบุคคลเขียวหรือ เป็นต้น
ปรวาทีเมื่อไม่ปรารถนาซึ่งความที่บุคคลเป็นอันเดียวกันกับรูปเขียวด้วย
ซึ่งความมีมากมายแห่งบุคคลด้วยสามารถแห่งรูปเขียวเป็นต้นในสรีระ
หนึ่งด้วย จึงตอบปฏิเสธ.
แม้ในปัญหานี้ว่า เพราะอาศัยเวทนาอันเป็นกุศล จึงบัญญัติ
บุคคลเป็นกุศลหรือ เป็นต้น ปรวาทีเมื่อไม่ปรารถนาซึ่งความที่บุคคล
กับเวทนาเป็นอันเดียวกันและความมีมากมายแห่งบุคคลด้วยสามารถแห่ง
กุศลเวทนาอันมากมายในสันดานหนึ่ง จึงตอบปฏิเสธ. ในนัยที่ 2
ปรวาทีตอบรับรองเพราะหมายเอาบุคคลผู้ตั้งอยู่ในความฉลาดโดยสภาพ
แห่งคำว่า มัคคกุศล เป็นต้น. ถูกถามว่า ถึงบุคคลเป็นกุศลมีผล
เป็นต้น ก็ตอบปฏิเสธเพราะไม่มีโวหารเช่นนั้น. ในฝ่ายอกุศล ปรวาที

ตอบรับรองหมายเอาผู้ดำรงอยู่ในความไม่ฉลาด. ในฝ่ายอัพยากตะท่าน
ก็ตอบรับรองหมายเอาความเป็นแห่งอัพยากตะ คือความไม่พยากรณ์
ด้วยสามารถแห่งคำว่า โลกเที่ยงเป็นต้น. คำที่เหลือในที่นี้ พึงทราบ
โดยนัยแห่งคำที่กล่าวแล้วในหนหลังนั่นเทียว.
ในคำถามทั้งหลายว่า เพราะอาศัยจักขุพึงกล่าวว่าบุคคลมีจักขุ
หรือ เป็นต้น ปรวาทีย่อมตอบรับรองเพราะสภาพแห่งโวหารว่า ผู้มี
จักขุพึงเว้นบาปต่าง ๆ เป็นต้นเมื่อไม่ปรารถนาความดับของบุคคลเพราะ
การดับแห่งธรรมสักว่ามีจักขุเป็นต้น จึงปฏิเสธ. ในคำถามนี้ว่า เพราะ
อาศัยรูปอาศัยเวทนา จึงบัญญัติบุคคลหรือ นี้บัณฑิตพึงทราบธรรม
แม้เหล่าอื่นที่มีรูปเป็นมูลอันเป็นหมวด 2 หมวด 3 และหมวด 4. ก็
การบัญญัติบุคคลเพราะอาศัยขันธ์ทั้งหลายเหตุใด เพราะเหตุนั้นปรวาที
จึงตอบรับรองซึ่งบัญญัติเพราะอาศัยขันธ์ 2 บ้าง ขันธ์ 3 บ้าง ขันธ์ 4
บ้าง ขันธ์ 5 บ้าง. แต่ย่อมตอบปฏิเสธ เพราะความไม่มีบุคคล 2 หรือ
บุคคล 5 ในสันดานหนึ่งแม้ในอายตนะทั้งหลาย ก็มีนัยนี้เหมือนกัน.
บัดนี้เพื่อแสดงว่า การบัญญัติบุคคลใด เพราะอาศัยขันธ์ใด
ความไม่เที่ยงแม้ของบุคคลนั้นเพราะความไม่เที่ยงของขันธ์นั้น และ
ความสำเร็จอย่างหนึ่งเพราะอาศัยสิ่งหนึ่งฉันใด ความสำเร็จแห่งบุคคล
นั้นย่อมปรากฏฉันนั้นหรือ ดังนี้ จึงกล่าวว่า เพราะอาศัยต้นไม้ จึง
บัญญัติเงาไม้ขึ้นฉันใด เป็นต้น. บรรดาคำเหล่านั้น คำว่า เพราะ
อาศัย ได้แก่ อาศัย คือการไม่เว้นจากสิ่งนั้น. ก็ปรวาทีเมื่อไม่ปรารถนา

คำว่า เพราะอาศัยต้นไม้ จึงบัญญัติเงา เพราะอาศัยรูป จึงบัญญัติ
บุคคล ดังนี้ เพราะความตั้งมั่นอยู่ในลัทธิของตน จึงตอบปฏิเสธ. คำว่า
ตรวน ได้แก่ เครื่องจองจำอันมั่นคง. คำว่า ผู้ถูกจำตรวน ได้แก่
ผู้ถูกจองจำด้วยเครื่องจองจำนั้น. คำว่า รูปมีแก่ผู้ใด ผู้นั้นต่างหาก
ชื่อว่า ผู้มีรูป อธิบายว่า รูปมีแก่บุคคลใด บุคคลนั้นต่างหากชื่อว่าผู้
มีรูป เหมือนตรวนไม่ใช่ผู้ถูกจำตรวน ตรวนก็อย่างหนึ่ง ผู้ถูกจำตรวน
ก็อย่างหนึ่ง. ฉันใด ฉันนั้นนั่นแหละ รูปก็อย่างหนึ่ง ผู้มีรูปก็อย่าง
หนึ่ง.
ในคำถามว่า บัญญัติบุคคลในเพราะจิตแต่ละดวงหรือ ปรวาที
หมายเอาจิตมีราคะเป็นต้นด้วยสามารถแห่งบุคคลผู้มีราคะเป็นต้น จึง
ตอบรับรองด้วยสามารถแห่งจิตตานุปัสสนา. ถูกสกวาทีถามโดยนัยว่า
ย่อมเกิดแก่ตาย เป็นต้น เมื่อปรวาทีไม่ปรารถนาซึ่งความที่บุคคล
เกิดเป็นขณะ เหมือนจิต จึงปฏิเสธ. ถูกถามว่า บุคคลนั้น หรือว่า
บุคคลอื่น เพราะกลัวเป็นสัสสตทิฏฐิและอุจเฉททิฏฐิ จึงปฏิเสธ. ถูก
สกวาทีถามว่า เมื่อจิตดวงที่ 2 เกิดขึ้นไม่พึงกล่าวว่า กุมารหรือว่า
กุมารี อีก เพราะกลัวแต่การถูกตัดขาดจากโวหารของชาวโลก จึงรับ
ว่า พึงกล่าวได้. คำที่เหลือในที่นี้ปรากฏชัดแจ้งแล้วทั้งนั้น.
บัดนี้ ปรวาทีเป็นผู้ใคร่เพื่อจะให้ลัทธิของตนตั้งอยู่โดยอาการ
อื่น จึงกล่าวคำว่า ไม่พึงกล่าวว่า ท่านหยั่งเห็นบุคคล เป็นต้น. ใน
คำเหล่านั้น คำว่า ไม่พึงกล่าว อธิบายว่า ปรวาทีกล่าวคำนี้ก่อน
ว่า ไม่พึงกล่าวว่า ท่านหยั่งเห็นบุคคลโดยสัจฉิกัตถปรมัตถะ หรือ

โดยการซักถามถึงอุปาทาบัญญัติอันมากมายอย่างนี้. ต่อจากนั้น เมื่อคำ
ว่าใช่ อันสกวาทีตอบรับรองแล้ว ปรวาทีจึงกล่าวว่า บุคคลใดเห็น
เห็นรูปใด...มิใช่หรือ เป็นต้น. บรรดาคำเหล่านั้น คำว่า โย ได้แก่
บุคคลใด คำว่า ยํ ได้แก่ รูปใด คำว่า เยน ได้แก่ ด้วยจักขุใด
คำว่า โส ได้แก่ บุคคลนั้น คำว่า ตํ ได้แก่รูปนั้น คำว่า เตน ได้แก่
ด้วยจักขุนั้น. ท่านอธิบายไว้ว่า บุคคลใดเห็น เห็นรูปใด เห็นด้วยจักขุ
ใด ผู้นั้นเมื่อเห็นรูปนั้นย่อมเห็นด้วยจักขุนั้น มิใช่หรือ ? สกวาทีก็
ตอบรับรองว่าใช่ ด้วยสามารถแห่งคำสมมติเป็นต้นด้วยคำว่า จักขุอัน
ถึงความเป็นนิสสยปัจจัยแก่จักขุวิญญาณแม้ก็จริง ถึงอย่างนั้นบุคคลนั้น
ก็ชื่อว่าย่อมเห็นซึ่งรูปนั้น โสตะก็เช่นเดียวกัน บุคคลนั้นชื่อว่าย่อมฟัง
เสียง ฯ ล ฯ มโนวิญญาณก็เช่นเดียวกัน บุคคลนั้นย่อมชื่อว่ารู้แจ้งซึ่ง
ธรรม จักขุของพระอรหันต์มีอยู่ พระอรหันต์ย่อมเห็นรูปนั้นด้วย
จักขุนั้น ดังนี้ ลำดับนั้นปรวาทีอาศัยวาทะอันมีเลศนัย จึงเปลี่ยน
วาทะนั้นนั่นแหละแล้วกล่าวคำเป็นต้นว่า ด้วยเหตุนั้นนะ ท่านพึง
กล่าวว่าหยั่งเห็นบุคคล เพราะความที่บุคคลอันท่านให้สำเร็จแล้วด้วย
ความเป็นคำอันบุคคลพึงกล่าว. ในคำเหล่านั้น คำว่า บุคคลใดมิได้
เห็น อธิบายว่า เป็นบุคคลผู้บอด อสัญญีสัตว์ ผู้เกิดในอรูปภพ แม้
เป็นผู้ไม่บอดเข้าสมาบัติแล้วก็ชื่อว่าย่อมไม่เห็นรูปอย่างใดอย่างหนึ่งขณะ
นั้น. แม้ในวาระทั้งเหลือก็นัยนี้นั่นแหละ. ว่าโดยอรรถ บัณฑิตพึงทราบ
คำที่เหลือด้วยสามารถแห่งพระบาลี.

ในการเทียบเคียงพระสูตร ปรวาทีกล่าวว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า
ทรงเห็นรูปเพราะรูปเป็นอารมณ์แก่ทิพยจักขุ. ในวาระที่ 2 กล่าวว่า
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเห็นบุคคลเพราะพระบาลีว่า เราตถาคต ย่อม
เห็นสัตว์ทั้งหลาย ดังนี้ ในวาระที่ 3 กล่าวว่าพระผู้มีพระภาคเจ้าทรง
เห็นทั้ง 2 อย่าง เพราะลัทธิว่าพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเห็นรูปแล้วจึงรู้
แจ้งซึ่งบุคคล.1 ก็รูปายตนะนั่นแหละท่านรวบรวมไว้ในรูปสังคหะ 4 คือ
ทิฏฺฐํ 1. สุตํ 1. มุตํ 1. วิญฺญาตํ 1. ชื่อว่าเป็นธรรมพึงเห็น
เหตุใด เพราะเหตุนั้น สกวาทีจึงซักว่า รูปคือบุคคล บุคคลคือรูป
ทั้ง 2 อย่างคือรูป คือรูปปายตนะ เป็นต้น.
อรรถกถาอุปาทาปัญญัตตานุโยค จบ

1. ในวิภังค์ปกรณ์กล่าวไว้ว่า รูปายตนะเป็น ทิฏฺฐํ เป็น วิญฺญาตํ สัททา-
ยตนะเป็น สุตํ เป็น วิญฺญาตํ คันธายตนะ รสายตนะ โผฏฐัพพายตนะเป็น มุตํ
เป็นวิญฺญาตํ อายตนะ 7 ที่เหลือ คือ จักขายตนะ โสตา ฆานา ชิวหา กายา
ธัมมา มนายตนะ เป็น วิญฺญาตํ ทิฏฺฐํ ได้แก่ธรรมที่เขาเห็นแล้ว ฯ ล ฯ
วิญฺญาตํ ได้แก่ธรรมที่เขารู้แล้ว.

กัลยาณวรรค1


[122] ป. ท่านหยั่งเห็นกรรมดีกรรมชั่ว หรือ ?
ส. ถูกแล้ว.
ป. ท่านหยั่งเห็นผู้ทำ ผู้สร้างกรรมดีกรรมชั่วหรือ ?
ส. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯ ล ฯ
[123] ส. เพราะหยั่งเห็นกรรมดีกรรมชั่ว ฉะนั้นจึงหยั่ง
เห็นผู้ทำ ผู้สร้างกรรมดีกรรมชั่ว หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. ท่านหยั่งเห็นผู้ทำ ผู้สร้างบุคคลนั้น หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯ ล ฯ
ส. ท่านหยั่งเห็นผู้ทำ ผู้สร้างบุคคลนั้น หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. การทำที่สุดแห่งทุกข์ไม่มี ความขาดแห่งวัฏฏะ
ก็ไม่มี ความดับรอบอย่างหาเชื้อมิได้ ก็ไม่มี
แก่บุคคลนั้น ๆ หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯ ล ฯ
[124] ส. เพราะหยั่งเห็นกรรมดีกรรมชั่ว ฉะนั้นจึงหยั่ง
เห็นผู้ทำ ผู้สร้างกรรมดีกรรมชั่ว หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
1. ตอนนี้มีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า " ปุริสการานุโยค "