เมนู

ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ คำที่เหลือท่านย่อไว้.
ส. หากว่า บุคคลแตกดับไปในเมื่อขันธ์ทั้งหลายแตก
ดับไป ก็เป็นอุจเฉททิฏฐิ ที่พระพุทธเจ้าทรงเว้นขาดแล้ว หากว่า
บุคคลไม่แตกดับไปในเมื่อขันธ์ทั้งหลายแตกดับไป บุคคลก็จะเที่ยง
(และดังนั้น) จะเสมอเหมือนกับนิพพาน.
คติอนุโยค จบ

อรรถกถาคติอนุโยค


ว่าด้วยการซักถามเรื่องคติ


บัดนี้ เป็นการซักถามถึงจุติปฏิสนธิ โดยเฉพาะการเปลี่ยนคติ
คือ เปลี่ยนภพใหม่. ในปัญหานั้น ปุคคลวาที อาศัยพระสูตรทั้งหลาย
ว่า บุคคลท่องเที่ยวไปสิ้น 7 ชาติเป็นอย่างยิ่ง เป็นต้น แล้วถือเอา
ลัทธินั้นกล่าวว่า บุคคลท่องเที่ยวไป ดังนี้ เพราะฉะนั้น เพื่อจะทำลาย
ลัทธิของปุคคลวาทีนั้น สกวาทีจึงถามว่า บุคคลท่องเที่ยวไปหรือ ?
บรรดาคำเหล่านั้น คำว่า ท่องเที่ยวไป ได้แก่ การท่องเที่ยว คือ
การไป ๆ มา ๆ ในสงสาร. คำตอบรับรอง เป็นของปรวาทีด้วยสามารถ
แห่งลัทธิของตน. แม้คำซักถามของสกวาที บุคคลนั้น เป็นต้น คำ
ปฏิเสธเป็นของปรวาที. ในปัญหานั้น คำว่า บุคคลนั้น อธิบายว่า
บุคคลนั่นแหละ. ก็สกวาทีประกอบคำถามอย่างนี้ปรวาทีจึงตอบปฏิเสธ
เพราะกลัวจะถูกกล่าวหาว่าเป็นสัสสตทิฏฐิ. ถูกถามว่า บุคคลอื่น ก็

ตอบปฏิเสธเพราะกลัวแต่จะถูกกล่าวหาว่าเป็นอุจเฉททิฏฐิ. ถูกถามว่า
บุคคลนั้นด้วย บุคคลอื่นด้วย ก็ตอบปฏิเสธ เพราะกลัวแต่เอกัจจ-
สัสสตทิฏฐิ คือ ลัทธิเห็นว่าเที่ยงบางอย่าง. ถูกถามว่า ไม่ใช่บุคคลนั้น
ไม่ใช่บุคคลอื่น ก็ตอบปฏิเสธ เพราะกลัวแต่อมราวิกเขปทิฏฐิ คือ ลัทธิ
ที่มีความเห็นไม่ตายตัว. ถูกถามปัญหาแม้ทั้ง 4 รวมกันอีกก็ปฏิเสธเพราะ
กลัวเป็นทิฏฐิแม้ทั้ง 4. อนึ่ง ลัทธิของปรวาทีนั้นอาศัยพระสูตรทั้งหลาย
เหล่าใดเกิดขึ้น สกวาทีนั้น เมื่อจะแสดงพระสูตรเหล่านั้นอีก จึงกล่าว
คำว่า ถ้าอย่างนั้น บุคคลท่องเที่ยวไปหรือ เป็นต้น สกวาทีกำหนด
คำว่า บุคคลนั้นนั่นแหละ แล้วถามโดยความประสงค์อีกว่า บุคคล
ใดท่องเที่ยวไปตามลัทธิของท่าน บุคคลนั้นเป็นคน ๆ เดียวกันในโลก
นี้ด้วยในโลกอื่นด้วยหรือ ปรวาทีปฏิเสธ เพราะกลัวเป็นสัสสตทิฏฐิ
ครั้นถูกถามซ้ำอย่างนั้นนั่นแหละอีก จึงตอบรับรอง เพราะว่า พระสูตร
ว่า บุคคลนั้นไม่ใช่บุคคลอื่น เมื่อเขาเคลื่อนจากโลกนั้นแล้วเกิดใน
โลกนี้ ดังนี้เป็นต้น มีอยู่. ถูกถามว่า มนุษย์คนนั้นนั่นแหละเป็น
เทวดาหรือ ก็ตอบปฏิเสธ เพราะมนุษย์นั่นแหละมิใช่เทวดา. ถูกถาม
ซ้ำอีกก็ตอบรับรองด้วยสามารถแห่งพระสูตรว่า สมัยนั้น เราเป็น
ศาสดาชื่อสุเนตตะ เป็นต้น. ทีนั้น สกวาที เมื่อจะประกาศคำนั้นว่า
ผิด เพราะความต่างกันแห่งความเกิดขึ้นของเทวดาและมนุษย์ จึง
กล่าวคำว่า เป็นมนุษย์ก็อย่างหนึ่ง เป็นต้น. ในคำเหล่านั้นคำว่า
ความตายจักไม่มี อธิบายว่า ครั้นเมื่อความเช่นนั้นมีอยู่ ความตาย

ก็จักไม่มี. ต่อจากนี้ไป คำว่า เป็นยักษ์ เป็นเปรต เป็นต้น บัณฑิต
พึงทราบความต่างกันแห่งการซักถามด้วยสามารถแห่งความต่างกันด้วย
อัตภาพ.
คำว่า กษัตริย์ เป็นต้น สกวาทีกล่าวด้วยสามารถแห่งชาติ
และด้วยสามารถแห่งความบกพร่องของอวัยวะเป็นต้น. คำว่า ไม่พึง
กล่าวว่า บุคคลท่องเที่ยวไปจากโลกนี้สู่โลกหน้า จากโลกหน้ามาสู่โลก
นี้หรือ อีก ที่ปรวาทีถามแล้ว สกวาทีตอบรับรองว่า ใช่ บุคคลไม่
ท่องเที่ยวไป เพราะความไปสู่ปรโลกของผู้ดำรงอยู่ในภพนี้ด้วยสามารถ
แห่งการเกิดไม่มี. คำตอบรับรอง แม้ครั้งที่ 2 เป็นของสกวาทีนั่นแหละ
เพราะความไม่มีพระโสดาบันแม้ในภพอื่นของพระโสดาบันอีก. คำว่า
หากว่า เป็นต้น เป็นของปรวาที. การซักถามถึงบุคคลผู้เกิดใน
เทวโลก ด้วยการแสดงถึงอัตภาพของมนุษย์อีกเป็นของสกวาที. เบื้อง
หน้าแต่นี้คำว่า ไม่เป็นอื่น ในคำว่า ไม่เป็นอื่นไม่แปรผัน นี้เป็น
เช่นเดียวกันโดยอาการทั้งปวง. คำว่า ไม่แปรผัน อธิบายว่า ไม่เปลี่ยน
แปลงโดยอาการแม้อย่างหนึ่ง. คำว่า ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น อธิบาย
ว่า ปรวาทีกล่าวอย่างนี้เพราะความเป็นมนุษย์แห่งพระโสดาบันผู้เกิดขึ้น
ในเทวโลก. พระสกวาทีถามปัญหานั้นอีก ปรวาทีก็ตอบรับรองตามลัทธิ
ว่า บุคคลนั้นนั่นแหละท่องเที่ยวไป. คำว่า คนมีมือด้วน เป็นต้น
สกวาทีกล่าว เพื่อทำลายลัทธิว่า บุคคลไม่เปลี่ยนแปลง ท่องเที่ยว
ไปโดยการให้เห็นถึงการเปลี่ยนลักษณะ. ในคำเหล่านั้น คำว่า นิ้ว

ด้วน ได้แก่ นิ้วมือนิ้วเท้าของบุคคลใดขาดแล้ว. คำว่า เอ็นใหญ่
ขาด ได้แก่ เส้นเอ็นใหญ่ของผู้ใดขาดแล้ว. ในคำทั้งหลายมีคำว่า
มีรูปท่องเที่ยวไป เป็นต้น ปรวาทีตอบปฏิเสธในปัญหาแรก หมาย
เอาการไม่ท่องเที่ยวไปกับรูปกายนี้. ในปัญหาที่ 2 ตอบรับรองหมายเอา
บุคคลผู้มีภพในระหว่าง จริงอยู่ ในลัทธิของเขานั้น บุคคลมีรูปเข้าไป
สู่ท้องของมารดา แต่นั้นรูปของผู้เข้าไปสู่ท้องมารดานั้นย่อมแตกดับไป
นี้ เรียกว่า มีภพในระหว่างของเขา. คำว่า ชีพก็อันนั้น ความว่า
สกวาทีถามว่า บุคคลย่อมไปพร้อมกับสรีระ กล่าวคือ รูปอันใด ชีพ
ของเขาก็อันนั้นนั่นแหละ สรีระก็อันนั้นหรือ ? ปรวาทีตอบปฏิเสธ
เพราะการต้องทอดทิ้งสรีระไว้ในโลกนี้ และเพราะผิดจากพระสูตร. ใน
คำทั้งหลาย มีคำว่า เป็นผู้มีเวทนาท่องเที่ยวไปหรือ เป็นต้น
ปรวาทีตอบปฏิเสธ เพราะหมายเอาความเกิดขึ้นแห่งอสัญญสัตว์. ย่อม
ตอบรับรองหมายเอาการเกิดขึ้นนอกจากอสัญญสัตว์นั้น. คำว่า ชีพก็
อันนั้น ความว่า สกวาทีย่อมถามว่า ชีพท่องเที่ยวไปพร้อมกับสรีระ
ก็อันนั้นหรือ ? ดังนี้ ที่จริง คำว่า สรีระ ในลัทธินี้ว่า ชีพอันนั้น
สรีระก็อันนั้น ชีพเป็นอื่น สรีระก็เป็นอื่น นี้ ท่านหมายเอาขันธ์
แม้ทั้ง 5. ปรวาทีตอบปฏิเสธ เพราะผิดจากพระสูตร. ในคำทั้งหลาย
มีคำว่า ไม่มีรูปท่องเที่ยวไปหรือ ในปัญหาที่หนึ่ง ปรวาทีตอบปฏิเสธ
หมายเอาภพมีในระหว่างตามลัทธิ. ถูกถามครั้งที่ 2 ก็ตอบรับรองหมาย
เอานามที่เกิดในอรูปภพ. คำว่า ชีพเป็นอื่น ความว่า สกวาทีถาม

ว่า บุคคลไม่มีรูปละสรีระกล่าวคือรูปอันใดท่องเที่ยวไป สรีระอันนั้น
เป็นอย่างหนึ่งชีพนั้นก็เป็นอย่างหนึ่ง ตามลัทธิของท่านหรือ ? ปรวาที
ตอบปฏิเสธ เพราะผิดจากพระสูตร. คำถามว่า เป็นผู้ไม่มีเวทนา
ท่องเที่ยวไป เป็นต้น ปรวาทีหมายเอาภพที่มีสัญญา จึงตอบปฏิเสธ.
ย่อมตอบรับรองหมายเอาอุปปัตติภพอื่นนอกจากสัญญีภพนั้น. คำถามว่า
ชีพเป็นอื่น ความว่า สกวาทีถามว่า บุคคลไม่มีเวทนา ไม่มีวิญญาณ
ละสรีระ กล่าวคือ เวทนาเป็นต้น ย่อมท่องเที่ยวไปสรีระของผู้นั้นก็
เป็นอย่างหนึ่ง ชีพของผู้นั้นก็เป็นอย่างหนึ่งหรือ ? ปรวาทีตอบปฏิเสธ
เพราะผิดจากพระสูตร.
ในคำเป็นต้นว่า รูปท่องเที่ยวไปหรือ ความว่า สกวาทีถาม
ว่า เพราะอาศัยขันธ์ทั้งหลายมีรูปเป็นต้นเหล่าใด ย่อมบัญญัติซึ่งบุคคล
เมื่อบุคคลนั้นท่องเที่ยวไปตามลัทธิของท่าน รูปแม้นั้นก็ย่อมท่องเที่ยวไป
หรือ ? ปรวาทีตอบปฏิเสธการท่องเที่ยวไปแห่งรูป ไม่ปฏิเสธการ
ท่องเที่ยวไปแห่งสัตว์ โดยพระสูตรที่ถือเอาเป็นลัทธิว่า การเที่ยวไป
แห่งสัตว์ทั้งหลายผู้มีอวิชชาเป็นเครื่องกั้น ผู้มีตัณหาเป็นเครื่องผูกพัน
มีอยู่ เมื่อถูกถามซ้ำอีกก็กล่าวรับรองว่า รูปท่องเที่ยวไป โดยความสำคัญ
ว่า บุคคลเว้นซึ่งธรรมทั้งหลายมีรูปเป็นต้น ย่อมไม่มี เพราะฉะนั้น
ครั้นเมื่อบุคคลนั้นท่องเที่ยวไป รูปแม้นั้นก็ต้องท่องเที่ยวไป. แม้ใน
ธรรมทั้งหลายมีเวทนาเป็นต้น ก็นัยนี้เหมือนกัน.
ในคำทั้งหลาย มีคำว่า รูปไม่ท่องเที่ยวไปหรือ เป็นต้น

อธิบายว่า ท่านกล่าวว่า รูปของท่านไม่ใช่บุคคล บุคคลเท่านั้นย่อม
ท่องเที่ยวไป เหตุใด เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้าชื่อถามท่านว่า รูปของ
ท่านนั้น ไม่ท่องเที่ยวไปหรือ ? ปรวาทีตอบปฏิเสธด้วยหมายเอาว่า
บุคคลท่องเที่ยวไป ไม่อาจท่องเที่ยวไปด้วยรูปที่เป็นอุปาทานของผู้นั้น
เมื่อถูกถามซ้ำอีก ก็ตอบรับรอง เพราะการท่องเที่ยวไปแห่งสัตว์ทั้งหลาย
นั่นเทียว. คำที่เหลือมีเนื้อความง่ายทั้งนั้น.
อนึ่งเนื้อความแห่งคาถาทั้งหลายพึงทราบดังนี้ ว่าโดยมติของ
ท่านผู้มีอายุ บุคคลอาศัยขันธ์ทั้งหลายจึงมีอยู่ดุจเงาต้นไม้อาศัยต้นไม้
และดุจไฟอาศัยเชื้อไฟ ครั้นเมื่อความท่องเที่ยวไปแห่งธรรมทั้งหลายมี
รูปเป็นต้นไม่มี เมื่อขันธ์ทั้งหลายเหล่านั้นแตกดับไป ก็ถ้าบุคคลของ
ท่านย่อมไม่แตกดับไปไซร้ เมื่อความเป็นเช่นนี้มีอยู่ ความเห็นว่าขาด
สูญย่อมเกิด อุจเฉททิฏฐิย่อมปรากฏแก่เขา. ถามว่า ทิฏฐิเหล่าไหนย่อม
เกิดตอบว่า อกุสลทิฏฐิเหล่าใดที่พระพุทธเจ้าทรงเว้นขาดแล้ว ทิฏฐิ
เหล่านั้นย่อมเกิด. ท่านย่อมแสดงว่า ก็ปริยายภาษิตอันใดที่ว่า พระ-
สมณะโคดมผู้เป็นอุจเฉทวาที ดังนี้ พวกเราทั้งหลายย่อมไม่กล่าวคำ
นั้น. แม้อีกอย่างหนึ่ง เมื่อขันธ์เหล่านั้นแตกดับไป บุคคลนั้นย่อมไม่
แตกดับไปไซร้ ครั้นเมื่อความเป็นเช่นนั้นมีอยู่ บุคคลก็เที่ยง บุคคลนั้น
ก็จะเสมอเหมือนกับพระนิพพานตามทิฏฐินั้น. คำว่า เสมอเหมือน
ได้แก่เสมออย่างยิ่งอีกอย่างหนึ่งเรียกว่า เสมอด้วยเสมอ หรือเสมอโดย
ความเสมอนั่นเทียว เหมือนอย่างว่าพระนิพพานย่อมไม่เกิดย่อมไม่ดับ

ฉันใด แม้บุคคลนั้นก็ย่อมไม่เกิดย่อมไม่ดับฉันนั้น. บุคคลเสมอเหมือน
ด้วยพระนิพพานนั้น (ตามลัทธินั้นย่อมมี) ด้วยประการฉะนี้แล.
อรรถกถาคติอนุโยค จบ

อุปาทาปัญญัตตานุโยค


[92] ส. เพราะอาศัยรูป จึงบัญญัติบุคคลขึ้น หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. รูปไม่เที่ยง เป็นสังขตะ อาศัยปัจจัยเกิดขึ้น มี
ความสิ้นไปเป็นธรรมดา มีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา มีความคลายไป
เป็นธรรมดา มีความดับไปเป็นธรรมดา มีความแปรไปเป็นธรรมดา
ป. ถูกแล้ว.
ส. ถึงบุคคลก็ไม่เที่ยง เป็นสังขตะ อาศัยปัจจัยเกิด
ขึ้น มีความสิ้นไปเป็นธรรมดา มีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา มีความ
คลายไปเป็นธรรมดา มีความดับไปเป็นธรรมดา มีความแปรไปเป็น
ธรรมดา หรือ ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯ ล ฯ
ส. เพราะอาศัยเวทนา ฯ ล ฯ เพราะอาศัยสัญญา ฯ ล ฯ
เพราะอาศัยสังขาร ฯ ล ฯ เพราะอาศัยวิญญาณ
จึงบัญญัติบุคคลขึ้น หรือ ?
ป. ถูกแล้ว.
ส. วิญญาณไม่เที่ยง เป็นสังขตะ อาศัยปัจจัยเกิดขึ้น
มีความสิ้นไปเป็นธรรมดา มีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา มีความคลาย