อรรถกถาอสังคหิเตนสังคหิตปทนิทเทส
บัดนี้ เพื่อจำแนก อสังคหิเตน สังคหิตบท พระผู้มีพระภาคเจ้า
จึงเริ่มคำว่า "เวทนากฺขนฺเธน" เป็นอาทิ. ในบทนี้ พึงทราบลักษณะ ดังนี้
ในวาระนี้ บทใดนับสงเคราะห์เข้ากันไม่ได้โดยขันธ์ แต่นับสงเคราะห์เข้ากัน
ได้โดยบทแห่งอายตนะและธาตุทังหลาย พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทำปุจฉาและ
วิสัชนา การนับสงเคราะห์ซึ่งบทนั้นโดยขันธ์เป็นต้น. ก็แต่ บท (อสังคหิเตน
สังคหิตะ) นั้น ย่อมไม่ประกอบในบททั้งหลายมีรูปขันธ์ วิญญาณขันธ์ และ
จักขายตนะเป็นต้น. เพราะว่า รูปขันธ์นับสงเคราะห์นามขันธ์ 4 โดยขันธ์
สงเคราะห์ไม่ได้. บรรดาธรรมเหล่านั้น แม้ธรรมหนึ่ง ชื่อว่า นับสงเคราะห์
ได้โดยอายตนะและธาตุทั้งหลายเหล่านั้น ก็ย่อมไม่มี. เมื่อมีคำถามว่า เวทนา
เป็นต้น นับสงเคราะห์เข้ากันได้โดยธัมมายตนะ มิใช่หรือ. ตอบว่า เวทนา
เป็นต้นที่นับสงเคราะห์เข้ากันได้โดยธัมมายตนะ แต่ไม่ใช่ธัมมายตนะ คือ รูป
ขันธ์. เพราะทรงจำแนกธัมมายตนะสักว่าเป็นสุขุมรูปโดยความเป็นรูปขันธ์
ฉะนั้น ธรรมเหล่าใด ที่นับสงเคราะห์เข้ากันได้โดยธัมมายตนะ ธรรมเหล่า
นั้น มิได้ชื่อว่า นับสงเคราะห์เข้าได้โดยรูปขันธ์. ขันธ์ 4 นอกนี้ ก็สงเคราะห์
เข้ากันไม่ได้ แม้กับวิญญาณขันธ์. บรรดาธรรมเหล่านั้น ธรรมแม้หนึ่ง ชื่อ
ว่านับสงเคราะห์เข้ากันได้โดยอายตนะและธาตุเหล่านั้นก็ย่อมไม่มี. เพราะความ
ที่บทเหล่านี้ นับสงเคราะห์เข้ากันอย่างนี้ไม่มีอยู่ บททั้งหลาย นอกนี้ก็ดี จึง
นับสงเคราะห์เข้ากันไม่ได้ในวาระนี้. ส่วนบทเหล่าใด ย่อมส่องถึงเอกเทศแห่ง
ธัมมายตนะอันไม่เจือด้วยวิญญาณหรือโอฬาริกรูป บทเหล่านั้น พระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าทรงถือเอาในที่นี้. พึงทราบอุทานแห่งบทเหล่านั้น ดังนี้.
ตโย ขนฺธา ตถา สจฺจา อินฺทฺริยา ปน โสฬส
ปทานิ ปจฺจยากาเร จุทฺทสูปริ จุทฺทส.
สมตฺตึส ปทา โหนฺติ โคจฺฉเกสุ ทสสฺวถ
ทุเว จูฬนฺตรทุภา อฏฺฐ โหนฺติ มหนฺตรา.
แปลว่า ขันธ์ 3 (คือ เจตสิกขันธ์ 3) สัจจะ 3 (คือ สมุทัย นิโรธ
มรรค) อินทรีย์ 16 (คือ เว้นปสาทอินทรีย์ 5 และมนินทรีย์) ปัจจยาการ 14
(คือปฏิจจสมุปบาท 14 เว้นวิญญาณ นามรูป สฬายตนะ อุปปัตติภวะ ปริเทวะ)
บทที่ต่อมาจากปัจจยาการอีก 14 บท (คือ บทสติปัฎฐานเป็นต้น เว้นอิทธิบาท)
บททั้งหลาย 30 บทที่ในโคจฉกะสิบ จูฬันตรทุกะ 2 บท (คือ อัปปัจจยบท
และอสังขตบท) มหันตรทุกะ 8 บท (รวม 90 บท).
ก็บรรดาบทเหล่านั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสปัญหาทั้งหมดไว้ 12 บท
โดยรวมบท 6 บท ที่เป็นคำวิสัชนาเช่นเดียวกัน. บัณฑิตพึงทราบการจำแนก
ขันธ์ในบทเหล่านั้นอย่างนี้. แต่ในอายตนะและธาตุทั้งหลาย มิได้มีความต่างกัน.
ในปัญหาที่ 1 ก่อน. สองบทว่า " ตีหิ ขนฺเธหิ " ได้แก่ (นับ
สงเคราะห์ได้) ด้วยขันธ์ 3 คือ รูปขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์. ส่วน
อายตนะและธาตุ พึงทราบการนับสงเคราะห์ได้ด้วยสามารถแห่งธัมมายตนะ
และธัมมธาตุ. ในนิทเทสนี้ พึงทราบนัยดังนี้ว่า นิพพาน สุขุมรูป สัญญา
สังขารขันธ์ ไม่นับสงเคราะห์โดยขันธ์สังคหะกับด้วยเวทนาขันธ์ แต่เป็นธรรม
ที่นับสงเคราะห์ได้ด้วยอายตนะ (คือ ธัมมายตนะ) และธาตุ (คือ ธัมมธาตุ).
บรรดาธรรมเหล่านั้น นิพพานไม่ถึงซึ่งการนับว่าเป็นขันธ์. ธรรมที่เหลือย่อม
ถึงการสงเคราะห์ได้ ด้วยรูปขันธ์ สัญญาขันธ์และสังขารขันธ์. แม้นิพพานก็
ย่อมถึงซึ่งการนับสงเคราะห์ว่าเป็นอายตนะและธาตุนั่นแหละ. ด้วยเหตุนั้น
พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า " อสงฺขตํ ขนฺธโต ฐเปตฺวา ตีหิ ขนฺเธหิ
เอเกนายตเนน เอกาย ธาตุยา สงฺคหิตา" ดังนี้. แต่ในฝ่ายสัญญาขันธ์
ในที่นี้ นำสัญญาขันธ์ออกแล้ว พึงทราบว่าเป็นขันธ์ 3 กับด้วยเวทนาขันธ์.
ในสังขารขันธ์เป็นต้น นำสังขารขันธ์ออกแล้ว พึงทราบว่าเป็นขันธ์ 3 ด้วย
สามารถแห่งรูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์.
ในปัญหาที่ 2 สองบทว่า " จตูหิ ขนฺเธหิ " ได้แก่ ขันธ์ 4 เว้น
วิญญาณขันธ์. ด้วยว่า ธรรมเหล่านั้น นับสงเคราะห์ด้วยนิโรธ โดยเป็นขันธ์
สังคหะไม่ได้ แต่นับสงเคราะห์ได้ด้วยอายตนะและธาตุ.
ในปัญหาที่ 3 คำว่า " ทฺวีหิ " ได้แก่ (นับสงเคราะห์ได้) ด้วย
ขันธ์ 2 คือ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์. เพราะว่า เวทนา สัญญา วิญญาณขันธ-
นับสงเคราะห์โดยเป็นขันธ์สงเคราะห์ไม่ได้ด้วยรูปอินทรีย์และอรูปอินทรีย์. แต่
ในธรรมเหล่านั้น เวทนา สัญญา นับสงเคราะห์ได้โดยการสงเคราะห์เป็น
อายตนะและธาตุ. ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า " เวทนา สญฺญากฺ-
ขนฺเธหิ " บัณฑิตพึงทราบ ความต่างกันแห่งขันธ์ในบททั้งปวง โดย
อุบายนี้.
ก็เบื้องหน้าแต่นี้ ข้าพเจ้าจักกล่าวชื่อของขันธ์ทั้งหลายพอสมควรเท่า
นั้น.
ในปัญหาที่ 4 สองบทว่า " ตีหิ ขนฺเธหิ " ได้แก่ ในอิตถินทรีย์
และปุริสินทรีย์ พึงทราบการนับสงเคราะห์ได้ด้วยขันธ์ 3 คือ เวทนา สัญญา
สังขารขันธ์. ในหมวด 5 แห่งเวทนา พึงทราบ ด้วยรูป สัญญา สังขาร-
ขันธ์. ในสัทธินทรีย์เป็นต้น มีผัสสะ เป็นที่สุด พึงทราบว่าสงเคราะห์ไม่ได้
ด้วยรูป เวทนา สัญญาขันธ์. พึงทราบในเวทนา เช่นกับเวทนาขันธ์นั่นแหละ.
พึงทราบวินิจฉัยในตัณหา อุปาทาน กัมมภวะทั้งหลาย เช่นกับสังขารขันธ์.
ในปัญหาที่ 5 พึงทราบวินิจฉัย ในชาติชรามรณะ เช่นกับชีวิติน-
ทรีย์. เพราะนิพพาน สุขุมรูป สัญญา กับฌาน นับสงเคราะห์โดยเป็น
ขันธ์สงเคราะห์ไม่ได้ แต่นับสงเคราะห์เข้าโดยเป็นอายตนะและธาตุได้ ฉะนั้น
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงหมายเอาธรรมนั้น นับสงเคราะห์ด้วยขันธ์ 2 คือรูป
ขันธ์และสัญญาขันธ์.
ในปัญหาที่ 6 พึงทราบวินิจฉัย ในหมวด 3 แห่งโสกะเป็นต้นนับ
สงเคราะห์กับเวทนาขันธ์ พึงทราบในอุปายาสะเป็นต้น เช่นกับสังขารขันธ์.
พึงทราบในเวทนาอีกเช่นกับเวทนาขันธ์. พึงทราบในสัญญาเช่นกับสัญญา
ขันธ์ พึงทราบวินิจฉัยในเจตนาเป็นต้น เช่นกับสังขารขันธ์.
แม้ ในปัญหาที่ 7 เป็นต้น ก็พึงทราบธรรมทีนับสงเคราะห์ได้ และ
ไม่ได้ โดยอุบายนี้ แล.
จบอรรถกถาอสังคหิตปทนิทเทส
4. สังคหิเตนสังคหิตปทนิทเทส
[187] ธรรมเหล่าใด สงเคราะห์ได้ด้วย สมุทยสัจ มัคคสัจ
โดยขันธสังคหะ อายตนสังคหะ. ธาตุสังคหะ ธรรมเหล่าใด สงเคราะห์ได้ด้วย
ธรรมเหล่านั้น โดยขันธสังคหะ อายตนสังคหะ ธาตุสังคหะ ธรรมเหล่านั้น
สงเคราะห์ได้ด้วยขันธ์ อายตนะ ธาตุ เท่าไร ? ธรรมเหล่านั้น สงเคราะห์
ได้ด้วยขันธ์ 1 อายตนะ 1 ธาตุ 1.
[188] ธรรมเหล่าใด สงเคราะห์ได้ด้วย อิตถินทรีย์ ปุริสินทรีย์
สุขินทรีย์ ทุกขินทรีย์ โสมนัสสินทริย์ โทมนัสสินทรีย์ อุเปกขิน-