เมนู

สัตตกนิทเทส


ว่าด้วยบุคคล 7 จำพวก


[148] 1. บุคคล ผู้จมแล้วคราวเดียว ย่อมจมอยู่นั่นเอง
เป็นไฉน ?

บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้ประกอบแล้วด้วยอกุศลธรรมอันดำโดย
ส่วนเดียว บุคคลอย่างนี้ชื่อว่า ผู้จมแล้วคราวเดียว ย่อมจมอยู่นั่นเอง.
2. บุคคล ผู้โผล่ขึ้นแล้ว จมลงอีก เป็นไฉน ?
บุคคลบางคนในโลกนี้ ย่อมโผล่ขึ้นในกุศลธรรม คือ ศรัทธาอันดี
ย่อมโผล่ขึ้นในกุศลธรรม คือ หิริอันดี ย่อมโผล่ขึ้นในกุศลธรรม คือ โอต-
ตัปปะอันดี ย่อมโผล่ขึ้นกุศลธรรม คือ วิริยะอันดี ย่อมโผล่ขึ้นในกุศลธรรม
คือ ปัญญาอันดี ศรัทธาของบุคคลนั้นย่อมไม่ตั้งอยู่ได้ ย่อมไม่เจริญ ย่อม
เสื่อมไปถ่ายเดียว หิริของบุคคลนั้นไม่ตั้งอยู่ได้ ย่อมไม่เจริญ ย่อมเสื่อมไป
ถ่ายเดียว โอตตัปปะของบุคคลนั้นย่อมไม่ตั้งอยู่ได้ ย่อมไม่เจริญ ย่อมเสื่อม
ไปถ่ายเดียว ปัญญาของบุคคลนั้นย่อมไม่ตั้งอยู่ได้ ย่อมไม่เจริญ ย่อมเสื่อมไป
ถ่ายเดียว บุคคลอย่างนี้ชื่อว่า ผู้โผล่ขึ้นแล้ว จมลงอีก.
3. บุคคล ผู้โผล่ขึ้นแล้ว หยุดอยู่ เป็นไฉน ?
บุคคลบางคนในโลกนี้ ย่อมโผล่ขึ้นในกุศลธรรม คือศรัทธาอันดี ใน
กุศลธรรม คือ หิริอันดี ในกุศลธรรม คือ โอตตัปปะอันดี ในกุศลธรรม คือ
วิริยะอันดี ในกุศลธรรม คือ ปัญญาอันดี ศรัทธาของบุคคลนั้น ไม่เสื่อม

ไม่เจริญ คงตั้งอยู่ หิริของบุคคลนั้น ไม่เสื่อม ไม่เจริญ คงตั้งอยู่ โอตตัปปะ
ของบุคคลนั้น ไม่เสื่อม ไม่เจริญ คงตั้งอยู่ วิริยะของบุคคลนั้น ไม่เสื่อม
ไม่เจริญ คงตั้งอยู่ ปัญญาของบุคคลนั้น ไม่เสื่อม ไม่เจริญ คงตั้งอยู่ บุคคล
อย่างนี้ชื่อว่า โผล่ขึ้นแล้ว หยุดอยู่.
4. บุคคล โผล่ขึ้นแล้ว เหลียวมองดู เป็นไฉน ?
บุคคลบางคนในโลกนี้ โผล่ขึ้นในกุศลธรรม คือ ศรัทธาอันดี ใน
กุศลธรรม คือ หิริอันดี ในกุศลธรรม คือ โอตตัปปะอันดี ในกุศลธรรม
คือวิริยะอันดี ในกุศลธรรม คือ ปัญญาอันดี บุคคลนั้น เป็นพระโสดาบัน
เป็นผู้มีอันไม่ตกไปในอบายภูมิเป็นธรรมดา เป็นผู้เที่ยง เป็นผู้มีความตรัสรู้
เป็นที่ไปในเบื้องหน้า เพราะสัญโญชน์ 3 สิ้นไปแล้ว บุคคลอย่างนี้ชื่อว่า
โผล่ขึ้นแล้ว เหลียวมองดู.
5. บุคคล โผล่ขึ้นแล้ว ว่ายข้ามไป เป็นไฉน ?
บุคคลบางคนในโลกนี้ ย่อมโผล่ขึ้นในกุศลธรรม คือ ศรัทธาอันดี
ในกุศลธรรม คือ หิริอันดี ในกุศลธรรม คือ โอตตัปปะอันดี ในกุศลธรรม
คือ วิริยะอันดี ในกุศลธรรม คือ ปัญญาอันดี บุคคลนั้นชื่อว่า เป็นพระ-
สกทาคามี
เพราะสัญโญชน์ 3 สิ้นไปแล้ว เพราะราคะ โทสะ และโมหะเบา
บางลง มาสู่โลกนี้อีกเพียงครั้งเดียวเท่านั้น ย่อมกระทำที่สุดแห่งทุกข์ได้ บุคคล
อย่างนี้ชื่อว่า ผู้โผล่ขึ้นแล้ว ว่ายข้ามไป.
6. บุคคล ผู้โผล่ขึ้นแล้ว ว่ายไปถึงที่ตื้นพอหยั่งถึง
แล้ว เป็นไฉน ?

บุคคลบางคนในโลกนี้ ย่อมโผล่ขึ้นในกุศลธรรม คือ ศรัทธาอันดี
ในกุศลธรรม คือ หิริอันดี ในกุศลธรรม คือ โอตตัปปะอันดี ในกุศลธรรม
คือ วิริยะอันดี ในกุศลธรรม คือ ปัญญาอันดี บุคคลนั้นเป็นอุปปาติกะ เพราะ
โอรัมภาคิยสัญโญชน์ 5 สิ้นไปแล้ว จะปรินิพพานในเทวโลกนั้น เป็นผู้มีอัน
ไม่กลับมาจากเทวโลกนั้นเป็นธรรมดา บุคคลอย่างนี้ชื่อว่า ผู้โผล่ขึ้นแล้วและ
ว่ายไปถึงที่ตื้นพอหยั่งถึงแล้ว.

7. บุคคล ผู้โผล่ขึ้น ว่ายข้ามไปถึงฝั่งแล้ว เป็น
พราหมณ์ยืนอยู่บนบก เป็นไฉน ?

บุคคลบางคนในโลกนี้ ย่อมโผล่ขึ้นในกุศลธรรม คือ ศรัทธาอันดี
ย่อมโผล่ขึ้น ในกุศลธรรม คือ หิริอันดี ย่อมโผล่ขึ้นในกุศลธรรม คือ โอต-
ตัปปะอันดี ย่อมโผล่ขึ้นในกุศลธรรม คือ วิริยะอันดี ย่อมโผล่ขึ้นในกุศลธรรม
คือ ปัญญาอันดี บุคคลนั้นรู้ยิ่งด้วยตนเองแล้ว ทำให้แจ้งแล้ว เข้าถึงแล้วซึ่ง
เจโตวิมุตติ ซึ่งปัญญาวิมุตติ ชื่อว่าหาอาสวะมิได้ เพราะอาสวะทั้งหลายสิ้นไป
แล้ว สำเร็จอิริยาบถอยู่ในทิฏฐธรรมเทียว บุคคลอย่างนี้ชื่อว่า ผู้โผล่ขึ้นและ
ว่ายข้ามไปถึงฝั่งแล้ว เป็นพราหมณ์ยืนบนบก.

[149] 1. บุคคล ผู้เป็นอุภโตภาควิมุต เป็นไฉน ?
บุคคลบางคนในโลกนี้ ถูกต้องวิโมกข์ 8 ด้วยกาย สำเร็จอิริยาบถอยู่
และอาสวะทั้งหลายของบุคคลนั้นสิ้นไปแล้ว เพราะเห็นด้วยปัญญา บุคคลนี้
เรียกว่า ผู้เป็นอุภโตภาควิมุต.

2. บุคคล ผู้เป็นปัญญาวิมุต เป็นไฉน ?
3. บุคคล ผู้เป็นกายสักขี เป็นไฉน ?
4. บุคคล ผู้เป็นทิฏฐิปัตตะ เป็นไฉน ?
5. บุคคล ผู้เป็นสัทธาวิมุต เป็นไฉน ?
6. บุคคล ผู้เป็นธัมมานุสารี เป็นไฉน ?
7. บุคคล ผู้เป็นสัทธานุสารี เป็นไฉน ?

สัทธินทรีย์ของบุคคลใด ผู้ปฏิบัติเพื่อทำให้แจ้งซึ่งโสดาปัตติผลมี
ประมาณยิ่ง อบรมอริยมรรคมีศรัทธาเป็นตัวนำ มีศรัทธาเป็นประธาน บุคคล
นี้เรียกว่า ผู้เป็นสัทธานุสารี. บุคคลผู้ปฏิบัติเพื่อทำให้แจ้วซึ่งโสดาปัตติผล
ชื่อว่า สัทธานุสารี ผู้ตั้งอยู่แล้วในผล ชื่อว่า สัทธาวิมุต ด้วยประการ
ดังนี้แล.
จบบุคคล 7 จำพวก

อรรถกถาสัตตกนิทเทส


อธิบายบุคคล 7 จำพวก


ข้อว่า "สกึ นิมุคฺโค" ความว่า บุคคลบางคน จมลงแล้วสิ้นวาระ
หนึ่ง. บทว่า "เอกนฺตกาฬเกหิ" ได้แก่ ด้วยธรรม คือ นิยตมิจฉาทิฏฐิ
ทั้งหลาย คือ นัตถิกวาทะและอกิริยวาทะ อันดำอย่างเดียวเท่านั้น. ข้อว่า "เอวํ
ปุคฺคโล"
ความว่า บุคคลจมลงสิ้นวาระหนึ่งด้วยเหตุนี้ คือ ด้วยนิยตมิจฉา-
ทิฏฐินี้ แล้วก็จมอยู่อย่างนั้น นั่นแหละ. อาจารย์บางพวกกล่าวว่า "ก็ชื่อว่า
การออกจากภพของนิยตมิจฉาทิฏฐินั้น ย่อมไม่มี" เชื้อไฟ คือ สัตว์นรกทั้ง
หลาย มีอยู่ในภายใต้นั่นแหละ เหมือนศาสดาทั้งหลายมีมักขลิโคศาล เป็นต้น.
ข้อว่า "สาหุ สทฺธา กุสเลสุ ธมฺเมสุ" ความว่า ย่อมโผล่ขึ้นในกุศลธรรม