เมนู

อรรถกถาปฏิจจสมุปปาทนิทเทส


ใน ปฏิจจสมุปปาทนิทเทส1 พระผู้มีพระภาคเจ้ามิได้ทรง เริ่มคำ
ปุจฉาว่า " อวิชฺชา กตีหิ ขนฺเธหิ " แต่ทรงแสดงคำวิสัชนาอย่างนี้เทียวว่า
" อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา เอเกน ขนฺเธน " เป็นต้น. ในคำเหล่านั้น คำว่า
" สงฺขารปจฺจยา วิญฺญาณํ " อธิบายว่า เมื่อปฏิสนธิเป็นไปแล้ว วิปากวิญญาณ
แม้ทั้งปวงก็เป็นไป. ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคจึงตรัสว่า " สตฺตหิ ธาตูหิ
สงฺคหิตํ "
แม้ในนามรูป ก็พึงทราบด้วยสามารถแห่งความเป็นไปของปฏิสนธิ
นั่นแหละ. ด้วยเหตุนั้น พระองค์ทรงรวบรวมแม้ซึ่งสัททายตนะ แล้วแสดง
การนับสงเคราะห์ไว้ด้วยอายตนะ 11 ในปฏิจจสมุปปาทนิทเทสนี้.
พึงทราบขันธเภทะ (คือ การแยกขันธ์) ในธรรมทั้งหลาย มีผัสสะ
เป็นต้น.
จริงอยู่ ผัสสะ นับสงเคราะห์ได้ด้วยขันธ์อย่างหนึ่ง เวทนาขันธ์ก็
นับสงเคราะห์ได้ด้วยขันธ์อย่างหนึ่ง. สำหรับตัณหา อุปาทาน กรรมภพ นับ
สงเคราะห์ได้ด้วยสังขารขันธ์เท่านั้น. อนึ่ง บทแห่งภพ ทรงจำแนก 11 อย่าง
ด้วยสามารถแห่งกัมมภพเป็นต้นไว้ในนิทเทสนี้. บรรดาภพเหล่านั้น กรรมภพ
ทรงแสดงรวมกับภพเหล่านั้น เพราะความเป็นคำวิสัชนาเช่นกับผัสสะเป็นต้น.
อุปปัตติภพ กามภพ สัญญาภพ ปัญจโวการภพทั้งหลาย ทรงแสดงรวมกัน
เพราะความเป็นคำวิสัชนาเช่นกับเป็นของกันและกัน. แต่เพราะสภาวธรรมอัน
กรรมเข้าไปยึดถือไว้โดยความเป็นผลเทียม ฉะนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า
" เอกาทสหายตเนหิ สตฺตรสหิ ธาตูหิ " จริงอยู่ สัททายตนะ อันกรรม

1. บาลีข้อ 57-68