เมนู

ตอบว่า ไม่พึงเป็นเช่นนั้น.
ถามว่า เพราะเหตุไร ?
ตอบว่า เพราะความที่ผู้นั้นยังไม่พ้นแล้วจากรูปกาย. ด้วยว่า รูปาว-
จรจตุตถฌานนั้น พ้นจากกิเลสกายเท่านั้น หาได้พ้นจากรูปกายไม่ ฉะนั้น. ผู้
ออกจากสมาบัตินั้นแล้วบรรลุพระอรหัต จึงไม่ชื่อว่า อุภโตภาควิมุต ส่วน
อรูปาวจรฌานพ้นแล้วจากนามกายด้วย จากรูปกายด้วย ฉะนั้น ผู้กระทำ
อรูปาวจรฌานนั้นให้เป็นบาทแล้วบรรลุพระอรหัต พึงทราบว่า ชื่อว่า อภโต-
ภาควิมุตตบุคคล
ดังนี้.
จบอรรถถาอุภโตภาควิมุตตบุคคล

[41] ปัญญาวิมุตตบุคคล บุคคลชื่อว่าปัญญาวิมุตเป็นไฉน ?
บุคคลบางคนในโลกนี้ มิได้ถูกต้องวิโมกข์ 8 ด้วยกาย สำเร็จอิริยาบถ
อยู่ แต่อาสวะของผู้นั้นสิ้นไปแล้ว เพราะเห็นด้วยปัญญา บุคคลนี้เรียกว่า
ปัญญาวิมุต.

อรรถกถาปัญญาวิมุตตบุคคล


วินิจฉัยในนิเทศแห่ง ปัญญาวิมุตตบุคคล. ผู้ใดหลุดพ้นวิเศษ
แล้วด้วยปัญญา ฉะนั้น จึงชื่อว่า ปัญญาวิมุตตบุคคล. ปัญญาวิมุตตบุคคลนั้น
มี 5 จำพวก คือ พระอรหัตสุกขวิปัสสก 1 บุคคลผู้ออกจากฌานทั้ง 4 แล้ว
บรรลุพระอรหัต อีก 4 จำพวก. ก็บรรดาพระอรหันต์เหล่านั้น แม้องค์หนึ่งที่
ได้วิโมกข์ 8 หามีไม่. ด้วยเหตุนั้นนั่นแหละ ท่านจึงกล่าวคำเป็นต้นว่า "น

เทว โข อฏฺฐวิโมกฺเข" ดังนี้ แต่บรรดาอรูปาวจรฌานทั้งหลาย เมื่อมีอยู่
สักหนึ่งฌาน ก็ชื่อว่า อุภโตภาควิมุตตบุคคล ได้เหมือนกัน.
จบอรรถกถาปัญญาวิมุตตบุคคล

[42] กายสักขีบุคคล บุคคลชื่อว่า กายสักขี เป็นไฉน ?
บุคคลบางคนในโลกนี้ ถูกต้องวิโมกข์ 8 ด้วยกาย แล้วสำเร็จอิริยาบถ
อยู่ ทั้งอาสวะบางอย่างของผู้นั้น ก็สิ้นไปแล้วเพราะเห็นด้วยปัญญา บุคคลนี้
เรียกว่า กายสักขี.

อรรถกถากายสักขีบุคคล


วินิจฉัยในนิเทศแห่ง กายสักขีบุคคล. คำว่า "เอกจฺเจ อาสวา"
ได้แก่ อาสวะบางอย่าง ที่ประหานด้วยมรรค 3 เบื้องต่ำ. คำว่า "อยํ
วฺจติ"
ได้แก่ บุคคลนี้ คือ ผู้เห็นปานนี้ ท่านเรียกว่ากายสักขี. ก็บุคคลนั้น
ชื่อว่า กายสักขี ก็เพราะกระทำให้แจ้งซึ่งวิโมกข์อันคนถูกต้องแล้ว. บุคคลใด
ถูกต้องผลอันเกิดจากฌานก่อนแล้ว กระทำนิโรธคือนิพพานให้แจ้งในภายหลัง
บุคคลแม้นี้ก็ชื่อว่า กายสักขี. กายสักขีบุคคลนี้มี 6 จำพวก นับตั้งแต่ พระ-
โสดาปัตติผล จนถึงพระอรหัตมรรค ดังนี้.
จบอรรถกถากายสักขีบุคคล