เมนู

[40] อุภโตภาควิมุตตบุคคล บุคคลชื่อว่า อุภโตภาควิมุต
เป็นไฉน ?

บุคคลบางคนในโลกนี้ ถูกต้องวิโมกข์ 8 ด้วยกาย แล้วสำเร็จอิริยาบถ
อยู่ ทั้งอาสวะของผู้นั้นก็สิ้นไปแล้ว เพราะเห็นด้วยปัญญา บุคคลนี้เรียกว่า
อุภโตภาควิมุต.

อรรถกถาอุภโตภาควิมุตตบุคคล


วินิจฉัยในนิเทศแห่ง อุภโตถาควิมุตตบุคคล. คำว่า "อฏฺฐ
วิโมกฺเข กาเยน วิหรติ"
ความว่า ได้สมาบัติ 8 ด้วยสหชาตนามกายแล้วอยู่.
คำว่า "ปญฺญาย จสฺส ทิสฺวา" ความว่า อาสวะทั้ง 4 สิ้นแล้ว เพราะ
เห็นความเป็นไปแห่งสังขารด้วยวิปัสสนาปัญญา เห็นสัจธรรมทั้ง 4 ด้วย
มรรคปัญญา. คำว่า "อยํ วุจฺจติ" ความว่า บุคคลนี้ คือ ผู้เห็นปานนี้ ท่าน
เรียกว่า อุภโตภาควิมุตตบุคคล. ก็บุคคลนี้ พ้นวิเศษแล้ว จากส่วนทั้ง 2 สิ้น
2 ครั้ง เพราะฉะนั้นจึงเรียกว่า อุภโตภาควิมุต แปลว่า ผู้พ้นวิเศษแล้ว
จากส่วนทั้ง 2 สิ้น 2 ครั้ง.
ข้อนี้ เถรวาทกล่าวไว้เป็นอุทาหรณ์ ดังต่อไปนี้
พระจุลนาคเถระ ผู้ทรงพระไตรปิฎก กล่าวไว้ก่อนว่า บุคคลใด
พ้นแล้วด้วยวิกขัมภนวิโมกขสมาบัติ และพ้นแล้วด้วยสมุจเฉทวิโมกขมรรค
เพราะฉะนั้นจึงเรียกว่า อุภโตกาควิมุตตบุคคล.
พระมหาธรรมรักขิตตเถระ ผู้ทรงพระไตรปิฎกกล่าวไว้ว่า บุคคล
ผู้นี้ อาศัยนาม แล้วกล่าวว่า "พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อน อุปสีวะ
เปลวไฟ ถูกกำลังลมพัดแล้ว ย่อมดับไป ไม่เข้าถึงการนับได้ ฉันใด มุนี

ผู้หลุดพ้นวิเศษแล้วจากนามกายย่อมดับไป คือ ย่อมอุปาทาปรินิพพาน ย่อม
ไม่เข้าถึงซึ่งการนับว่า เป็นคนเป็นสัตว์ได้ ฉันนั้น" ครั้นนำพระสูตร เรื่อง
อุปสีวมาณวปัญหาที่ 6 ในโสฬสปัญหา มาแล้ว จึงกล่าวว่า ชื่อว่า อุภโตภาค-
วิมุตตบุคคล เพราะหลุดพ้นวิเศษแล้วจานามกายและรูปกาย.
ส่วนพระจูฬภยเถระ ผู้ทรงพระไตรปิฎก กล่าวไว้ว่า บุคคลผู้
พ้นวิเศษแล้วด้วยวิกขัมภนวิโมกขสมาบัติสิ้นวาระหนึ่ง พ้นเศษแล้วด้วย
สมุจเฉทวิโมกขมรรคสิ้นวาระหนึ่ง จึงเรียกว่า อุภโตภาควิมุตตบุคคล.
ก็พระเถระทั้ง 3 รูปนี้ เป็นบัณฑิต ท่านตั้งวาทะไว้ให้เป็นแบบด้วยการใคร่
ครวญว่า "เหตุในวาทะทั้ง 3 ย่อมเห็นได้" ก็เมื่อกล่าวโดยสังเขป บุคคลใด
พ้นวิเศษแล้วจากรูปกาย ด้วยอรูปสมาบัติ พ้นวิเศษแล้วจากนามกาย ด้วย
มรรค เพราะเหตุนั้น บุคคลนั้น จึงชื่อว่า อุภโตภาควิมุตตบุคคล เพราะ
หลุดพ้นวิเศษแล้วจากส่วนทั้งสอง. บุคคลที่ชื่อว่า อุภโตภาควิมุต นั้นมี 5
จำพวก คือ บุคคลผู้ใดอรูปสมาบัติ 4 ออกจากรูปสมาบัติแล้วพิจารณาสังขาร
ทั้งหลายแล้วจึงบรรลุพระอรหัต เป็น 4 จำพวก และพระอนาคามีผู้ออกจาก
นิโรธสมาบัติแล้วบรรลุพระอรหัต 1.่ บรรดาพระอริยะทั้ง 5 นั้น 4 พวก
แรก ท่านไม่เข้านิโรธ อันมีสมาบัติเป็นประธาน เพราะฉะนั้นจึงชื่อว่า
อุภโตภาควิมุตโดยปริยาย ท่านพระอนาคามีผู้ได้สมาบัตินั้นแล้ว เมื่อออกจาก
สมาบัติก็เจริญวิปัสสนา บรรลุพระอรหัต เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า อุภโต-
ภาควิมุตตเสฏฐบูคคล โดยนิปปริยาย.
ถามว่า อรูปาวจรฌานก็ดี รูปาวจรจตุตถฌานก็ดี มีองค์ 2 คือ
อุเบกขาและเอกัคคตา เพราะเหตุนั้น บุคคลกระทำรูปาวจรจตุตถฌาน ซึ่งมี
องค์ 2 นั้นให้เป็นปทัฏฐานแล้วบรรลุพระอรหัต ก็พึงเป็นผู้ชื่อว่า อุภโต-
ภาควิมุต
มิใช่หรือ ?

ตอบว่า ไม่พึงเป็นเช่นนั้น.
ถามว่า เพราะเหตุไร ?
ตอบว่า เพราะความที่ผู้นั้นยังไม่พ้นแล้วจากรูปกาย. ด้วยว่า รูปาว-
จรจตุตถฌานนั้น พ้นจากกิเลสกายเท่านั้น หาได้พ้นจากรูปกายไม่ ฉะนั้น. ผู้
ออกจากสมาบัตินั้นแล้วบรรลุพระอรหัต จึงไม่ชื่อว่า อุภโตภาควิมุต ส่วน
อรูปาวจรฌานพ้นแล้วจากนามกายด้วย จากรูปกายด้วย ฉะนั้น ผู้กระทำ
อรูปาวจรฌานนั้นให้เป็นบาทแล้วบรรลุพระอรหัต พึงทราบว่า ชื่อว่า อภโต-
ภาควิมุตตบุคคล
ดังนี้.
จบอรรถถาอุภโตภาควิมุตตบุคคล

[41] ปัญญาวิมุตตบุคคล บุคคลชื่อว่าปัญญาวิมุตเป็นไฉน ?
บุคคลบางคนในโลกนี้ มิได้ถูกต้องวิโมกข์ 8 ด้วยกาย สำเร็จอิริยาบถ
อยู่ แต่อาสวะของผู้นั้นสิ้นไปแล้ว เพราะเห็นด้วยปัญญา บุคคลนี้เรียกว่า
ปัญญาวิมุต.

อรรถกถาปัญญาวิมุตตบุคคล


วินิจฉัยในนิเทศแห่ง ปัญญาวิมุตตบุคคล. ผู้ใดหลุดพ้นวิเศษ
แล้วด้วยปัญญา ฉะนั้น จึงชื่อว่า ปัญญาวิมุตตบุคคล. ปัญญาวิมุตตบุคคลนั้น
มี 5 จำพวก คือ พระอรหัตสุกขวิปัสสก 1 บุคคลผู้ออกจากฌานทั้ง 4 แล้ว
บรรลุพระอรหัต อีก 4 จำพวก. ก็บรรดาพระอรหันต์เหล่านั้น แม้องค์หนึ่งที่
ได้วิโมกข์ 8 หามีไม่. ด้วยเหตุนั้นนั่นแหละ ท่านจึงกล่าวคำเป็นต้นว่า "น