เมนู

อตฺริจฺฉํ อติโลเภน อติโลภมเทน จ
เอวํ โส หายติตฺตานํ จนฺทํว อสิธาภุยา

แปลว่า
พระองค์นั้น ทรงปรารถนานาง
จันทกินนรีอยู่ ทรงละทิ้งพระราชบิดา
อสิตาภูเสื่อมแล้ว ฉันใด พระองค์ย่อมยัง
พระสรีระให้เสื่อมโทรมไป เพราะความ
โลภมากและเพราะความมัวเมาในความ
โลภเกินไปฉันนั้น ดังนี้.

เทวดา ได้ทำการเยาะเย้ยพระราชาว่า พระองค์ เมื่อปรารถนา
นางจันทกินนรี ทรงละทิ้งพระราชธิดาอสิตาภู จึงเสื่อมจากนางทั้งสอง เมื่อ
โลภเกินไปอย่างนี้ ย่อมทำตนให้เสื่อมไป ดังนี้.

เรื่องบุตรเศรษฐี


แม้ในกาลแห่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่ากัสสป บุตรเศรษฐี
คนหนึ่งชื่อว่า มิตตวินทุกะ ไม่มีศรัทธา ไม่เลื่อมใสในพระพุทธศาสนา ผู้
อันมารดาอ้อนวอนอยู่ว่า พ่อ เจ้าจงรักษาอุโบสถศีล จงฟังธรรมในวันนี้ตลอด
ราตรีในวิหารแล้ว แม่จักให้ทรัพย์แก่เจ้าพันหนึ่ง ดังนี้ เพราะความโลภใน
ทรัพย์ จึงไปสู่วิหารสมาทานองค์แห่งอุโบสถศีล ครั้นแล้วก็กำหนดสถานที่
ว่า ที่นี้ไม่มีภัย (คือ ไม่มีใครเห็น) แล้วนอนภายในธรรมาสน์ ครั้นนอน
ตลอดคืนแล้ว ก็ลุกขึ้นไปบ้าน. มารดาของเขาหุงข้าวยาคูส่งให้แต่เช้าตรู่. นาย
มิตตวินทุกะนั้น ขอรับทรัพย์พันหนึ่งก่อนนั่นแหละ แล้วจึงดื่มข้าวยาคู.

ลำดับนั้น เขาได้มีปริวิตกว่า เราจะรวบรวมทรัพย์ให้มาก ด้วยทุน
ทรัพย์นี้ ดังนี้ จึงปรารถนาจะขึ้นเรือไปสู่สมุทรเพื่อไปค้าขาย. ทีนั้นมารดา
ของเขาได้กล่าวห้ามว่า พ่อ ในตระกูลของเรามีทรัพย์อยู่ 40 โกฏิ เจ้าอย่าไป
เลย ดังนี้ เขาไม่เชื่อฟังถ้อยคำของมารดา เดินไปอยู่นั่นแหละ. มารดาจึงไป
ยืนขวางข้างหน้า ในขณะนั้นแหละ เขาโกรธแล้ว จึงใช้เท้าประหารมารดา
ให้ล้มลง ด้วยคิดว่า หญิงนี้ มายืนขวางหน้าเรา ดังนี้ ได้ทำมารดาให้อยู่
ในระหว่าง (ข้ามไป) ไปแล้ว มารดาลุกขึ้นแล้ว กล่าวว่า พ่อเจ้าอย่าได้
สำคัญอย่างนี้ว่า เมื่อเราทำกรรมเห็นปานนี้ในมารดาผู้เช่นกับด้วยเรา ไปแล้ว
จักมีความสุข ดังนี้.
เมื่อนายมิตตวินทุกะนั้น ก้าวขึ้นเรือไปอยู่ เรือแล่นไปถึงวันที่ 7 ก็
หยุด. ลำดับนั้น มนุษย์ทั้งหลายเหล่านั้น กล่าวว่า บุรุษผู้ลามกต้องมีอยู่ใน
เรือนี้แน่แท้ ท่านทั้งหลายจงจับสลากกัน ดังนี้ สลากที่พวกเขาให้จับอยู่ ก็
ตกแก่นายมิตตวินทุกะนั้นนั่นแหละถึง 3 ครั้ง. มนุษย์เหล่านั้นจึงจับนาย
มิตตวินทุกะนั้นลอยแพ แล้วจึงแล่นเรือไปในสมุทร. แพของนายมิตตวินทุกะ
นั้นลอยไปถึงเกาะหนึ่ง เขาเสวยสมบัติอยู่กับด้วยนางเวมานิกเปรตทั้งหลาย แม้
ผู้อันนางเวมานิกเปรตทั้งหลายกล่าวอ้อนวอนว่า ขอท่านอย่าไป ดังนี้ เมื่อ
เขาไปอยู่เห็นสมบัติสองเท่าของสมบัตินั้นก็เสวยอยู่ ๆ เป็นไปโดยลำดับในที่สุด
ได้เห็นบุรุษคนหนึ่งมีกงจักรคมกล้าหมุนอยู่ที่ศีรษะ จักรนั้นปรากฏราวกะว่า
ดอกปทุม. นายมิตตวินทุกะนั้น จึงกล่าวกะบุรุษผู้นั้นว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ
ขอท่านจงให้ดอกปทุมที่ท่านประดับไว้นี้แก่ข้าพเจ้า ดังนี้. บุรุษนั้นกล่าวว่า
ข้าแต่นาย นี้มิใช่ดอกปทุม นี้เป็นกงจักรอันคมกล้า ดังนี้. นายมิตตวินทุกะ
กล่าวว่า ขอท่านอย่าได้ลวงข้าพเจ้า ดอกปทุมเป็นอย่างไร ข้าพเจ้ามิเคยเห็น

หรือ ดังนี้ แล้วกล่าวว่า ก็ท่านฉาบทาด้วยจันทน์แดง จึงไม่ต้องการให้ดอก
ปทุมอันเป็นเครื่องประดับนั้นแก่เรา ดังนี้. บุรุษนั้น คิดว่า แม้ชนนี้ จัก
เป็นผู้ทำกรรมเช่นเรานั่นแหละ จึงใคร่จะเสวยผลของกรรมนั้น ดังนี้ ลำดับ
นั้น บุรุษผู้มีกงจักรอันพัดผันอยู่ที่ศีรษะนั้น จึงกล่าวว่า เอาเถิด เราจักให้
ดังนี้แล้วเอากงจักรใส่ให้บนศีรษะของนายมิตตวินทุกะแล้วไป.
พระศาสดาทรงทราบเนื้อความนั้นแล้ว จึงตรัสพระคาถานี้ ว่า
จตฺพภิ อฏฺฐชฺฌคมา อฏฺฐาภิปิ จ โสฬส
โสฬสาภิ จ พาตฺตึส อตฺริจฺฉํ จกฺกมาสโท
อิจฺฉาหตสฺส โปสสฺส จกฺกํ ภมติ มตฺถเก

แปลว่า
บุรุษนั้น (นายมิตตวินทุกะ) ละจาก
นางเวมานิกเปรต 4 นาง เสวยสมบัติกับ
นางเวมานิกเปรต 8 นาง ละจากนางเวมานิก
เปรต 8 นาง เสวยสมบัติอยู่กับนางเวมานิก
เปรต 16 นาง ละจากนางเวมานิกเปรต 16
นางแล้วเสวยสมบัติอยู่กับนางเวมานิกเปรต 32
นาง เป็นผู้มีความอยากเกินประมาณเข้าถึงจักร
อยู่ จักรนั้นย่อมหมุนไปบนศีรษะของบุรุษผู้อัน
ความอยากนำมาแล้ว
ดังนี้.

เรื่องอำมาตย์


อำมาตย์คนหนึ่ง มีความอยากเกินประมาณแม้อื่นอีก ก้าวล่วงเขตแดน
ของตนเข้าไปสู่แดนของผู้อื่น ถูกโบยตีแล้วในที่นั้น จึงหนีไปสู่ที่เป็นที่อยู่