เมนู

[972] ภัย 4 อีกนัยหนึ่ง เป็นไฉน ?
ราชภัย โจรภัย อุทกภัย อัคคีภัย
เหล่านี้เรียกว่า ภัย 4.
[973] ภัย 4 อีกนัยหนึ่ง เป็นไฉน ?
ภัยเกิดแต่คลื่น ภัยเกิดแต่จรเข้ ภัยเกิดแต่วังวน ภัยเกิดแต่ปลาร้าย
เหล่านี้เรียกว่า ภัย 4.
[974] ภัย 4 อีกนัยหนึ่ง เป็นไฉน ?
ภัยเกิดแต่การค่อนขอดตัวเอง ภัยเกิดแต่การค่อนขอดผู้อื่น ภัยเกิด
แต่อาชญา ภัยเกิดแต่อบาย
เหล่านี้เรียกว่า ภัย 4.
[975] ทิฏฐิ 4 เป็นไฉน
ทิฏฐิเกิดขึ้นโดยแน่แท้มั่นคงว่า สุขทุกข์ตนทำเอง ทิฏฐิเกิดขึ้นโดย
แน่แท้มั่นคงว่า สุขทุกข์คนอื่นกระทำให้ ทิฏฐิเกิดขึ้นโดยแน่แท้มั่นคงว่า สุข
ทุกข์ตนทำเองด้วย คนอื่นทำให้ด้วย ทิฏฐิเกิดขึ้นโดยแน่แท้มั่นคงว่า สุขทุกข์
ตนไม่ได้ทำเองด้วย คนอื่นไม่ได้ทำให้ด้วย แต่เกิดขึ้นเองโดยเฉพาะ
เหล่านี้เรียกว่า ทิฏฐิ 4.

ปัญจกนิทเทส


[976] ในปัญจกมาติกาเหล่านั้น โอรัมภาคิยสัญโญชน์ 5 เป็น
ไฉน ?
โอรัมภาคิยสัญโญชน์ 5 คือ
1. สักกายทิฏฐิ
2. วิจิกิจฉา

3. สีลัพพตปรามาส
4. กามฉันทะ
5. พยาบาท

เหล่านี้เรียกว่า โอรัมภาคิยสัญโญชน์ 5.
[977] อุทธัมภาคิยสัญโญชน์ 5 เป็นไฉน ?
อุทธัมภาคิยสัญโญชน์ 5 คือ
1. รูปราคะ
2. อรูปราคะ
3. มานะ
4. อุทธัจจะ
5. อวิชชา

เหล่านี้เรียกว่า อุทธัมภาคิยสัญโญชน์ 5.
[978] มัจฉริยะ 5 เป็นไฉน ?
มัจฉริยะ 5 คือ
1. อาวาสมิจฉริยะ ความตระหนี่ที่อยู่.
2. กุลมัจฉริยะ ความตระหนี่ตระกูล
3. ลาภมัจฉริยะ ความตระหนี่ลาภ
4. วัณณมัจฉริยะ ความตระหนี่วรรณะ
5. ธัมมมัจฉริยะ ความตระหนี่ธรรม
เหล่านี้เรียกว่า มัจฉริยะ 5.

[979] สังคะ 5 เป็นไฉน ?
สังคะ 5 คือ
1. ราคสังคะ เครื่องข้องคือราคะ
2. โทสสังคะ เครื่องข้องคือโทสะ
3. โมหสังคะ เครื่องข้องคือโมหะ
4. มานสังคะ เครื่องข้องคือมานะ
5. ทิฏฐิสังคะ เครื่องข้องคือทิฏฐิ
เหล่านี้เรียกว่า สังคะ 5.
[980] สัลละ 5 เป็นไฉน ?
สัลละ 5 คือ
1. ราคสัลละ ลูกศรคือราคะ
2. โทสสัลละ ลูกศรคือโทสะ
3. โมหสัลละ ลูกศรคือโมหะ
4. มานสัลละ ลูกศรคือมานะ
5. ทิฏฐิสัลละ ลูกศรคือทิฏฐิ
เหล่านี้เรียกว่า สัลละ 5.
[981] เจโตขีละ 5 เป็นไฉน ?
เจโตขีละ 5 คือ
1. บุคคลย่อมเคลือบแคลง สงสัย ไม่ปลงใจเชื่อ ไม่เลื่อมใสใน
พระพุทธเจ้า
2. ย่อมเคลือบแคลง สงสัย ไม่ปลงใจเชื่อ ไม่เลื่อมใสในพระธรรม
3. ย่อมเคลือบแคลง สงสัย ไม่ปลงใจเชื่อ ไม่เลื่อมใสในพระสงฆ์

4. ย่อมเคลือบแคลง สงสัย ไม่ปลงใจเชื่อ ไม่เลื่อมใสในสิกขา
5. เป็นผู้มีจิตขุ่นเคือง ไม่ชอบใจ มีจิตกระทบกระทั่ง กระด้าง
กระเดื่องในเพื่อนพรหมจารีบุคคลทั้งหลาย
เหล่านี้เรียกว่า เจโตขีละ 5.
[982] เจโตวินิพันธะ 5 เป็นไฉน ?
เจโตวินิพันธะ 5 คือ
1. บุคคลเป็นผู้ยังไม่ปราศจากความกำหนัด ยังไม่ปราศจากความ
พอใจ ยังไม่ปราศจากความรักใคร่ ยังไม่ปราศจากความกระหาย ยังไม่ปราศ-
จากความเร่าร้อน ยังไม่ปราศจากความอยากในกาม
2. เป็นผู้ยังไม่ปราศจากความกำหนัด ยังไม่ปราศจากความพอใจ
ยังไม่ปราศจากความรักใคร่ ยังไม่ปราศจากความกระหาย ยังไม่ปราศจาก
ความเร่าร้อน ยังไม่ปราศจากความอยากในกาย
3. เป็นผู้ยังไม่ปราศจากความกำหนัด ยังไม่ปราศจากความพอใจ
ยังไม่ปราศจากความรักใคร่ ยังไม่ปราศจากความกระหาย ยังไม่ปราศจาก
ความเร่าร้อน ยังไม่ปราศจากความอยากในรูป
4. บริโภคอาหารเต็มท้องตามความต้องการแล้ว หาความสุขในการ
นอน หาความสุขในการพลิกไปมา หาความสุขในการหลับอยู่
5. ปรารถนาเป็นเทวดาตนใดตนหนึ่ง แล้วประพฤติพรหมจรรย์
ด้วยผูกใจว่า เราจักเป็นเทวดาผู้มีศักดิ์ใหญ่ หรือเทวดาผู้มีศักดิ์น้อยตนใดตน
หนึ่งด้วยศีลนี้ หรือด้วยตบะนี้ หรือด้วยพรหมจรรย์นี้
เหล่านี้เรียกว่า เจโตวินิพันธะ 5.

[983] นิวรณ์ 5 เป็นไฉน ?
นิวรณ์ 5 คือ
1. กามฉันทนิวรณ์ ธรรมอันห้ามกุศลธรรมไม่ให้เกิดขึ้น คือ
กามฉันทะ
2. พยาปาทนิวรณ์ ธรรมอันห้ามกุศลธรรมไม่ให้เกิดขึ้น คือ
พยาบาท
3. ถีนมิทธนิวรณ์ ธรรมอันห้ามกุศลธรรมไม่ให้เกิดขึ้น คือ
ถีนมิทธะ
4. อุทธัจจกุกกุจจนิวรณ์ ธรรมอันห้ามกุศลธรรมไม่ให้เกิดขึ้น
คืออุทธัจจกุกกุจจะ
5. วิจิกิจฉานิวรณ์ ธรรมอันห้ามกุศลธรรมไม่ให้เกิดขึ้น คือ
วิจิกิจฉา
เหล่านี้เรียกว่า นิวรณ์ 5.
[984] อนันตริยกรรม 5 เป็นไฉน ?
อนันตริยกรรม 5 คือ
1. มาตุฆาต ฆ่ามารดา
2. ปิตุฆาต ฆ่าบิดา
3. อรหันตฆาต ฆ่าพระอรหันต์
4. โลหิตุปบาท ทำร้ายพระพุทธเจ้าจนถึงยังพระโลหิต
ให้ห้อขึ้น
5. สังฆเภท ยังสงฆ์ให้แตกจากกัน
เหล่านั้นเรียกว่า อนันตริยกรรม 5.

[985] ทิฏฐิ 5 เป็นไฉน ?
ทิฏฐิ 5 คือ
1. สมณะหรือพราหมณ์พวกหนึ่ง กล่าวยืนยันดังนี้ว่า อัตตามีสัญญา
เบื้องหน้าแต่ตายไม่แปรผัน
2. สมณะหรือพราหมณ์พวกหนึ่ง กล่าวยืนยันดังนี้ว่า อัตตาไม่มี
สัญญา เบื้องหน้าแต่ตายไม่แปรผัน
3. สมณะหรือพราหมณ์พวกหนึ่งกล่าวยืนยันดังนี้ว่า อัตตามีสัญญา
ก็ไม่ใช่ ไม่มีสัญญาก็ไม่ใช่ เบื้องหน้าแต่ตายไม่แปรผัน
4. ก็หรือว่า สมณะหรือพราหมณ์พวกหนึ่ง ย่อมบัญญัติความขาด
สูญ ความพินาศ ความไม่มี ของสัตว์ซึ่งปรากฏมีอยู่
5. ก็หรือว่า สมณะหรือพราหมณ์พวกหนึ่ง กล่าวยืนยันทิฏฐธัมม-
นิพพาน
เหล่านี้เรียกว่า ทิฏฐิ 5.
[986] เวร 5 เป็นไฉน ?
เวร 5 คือ
1. ปาณาติบาต ฆ่าสัตว์
2. อทินนาทาน ลักทรัพย์
3. กาเมสุมิจฉาจาร ประพฤติผิดในกาม
4. มุสาวาท พูดเท็จ
5. สุราเมรยมัชชปมาทัฏฐาน ดื่มน้ำเมาคือสุราและ
เมรัยอันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท
เหล่านี้เรียกว่า เวร 5.

[987] พยสนะ 5 เป็นไฉน ?
พยสนะ 5 คือ
1. ญาติพยสนะ ความพินาศแห่งชาติ
2. โภคพยสนะ ความพินาศแห่งทรัพย์
3. โรคพยสนะ ความพินาศเพราะโรค
4. สีลพยสนะ ความพินาศแห่งศีล
5. ทิฏฐิพยสนะ ความพินาศแห่งทิฏฐิ
เหล่านี้เรียกว่า พยสนะ 5.
[988] โทษแห่งความไม่อดทน 5 เป็นไฉน ?
โทษแห่งความไม่อดทน 5 คือ
1. ไม่เป็นที่รักไม่เป็นที่ชอบใจของชนมาก
2. มีเวรมาก
3. มีโทษมาก
4. ตายโดยความหลงลืม
5. เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก ย่อมเข้าถึงอบาย ทุคติ
วินิบาต นรก
เหล่านี้เรียกว่า โทษแห่งความไม่อดทน 5.
[989] ภัย 5 เป็นไฉน ?
ภัย 5 คือ
1. ภัยเกิดแต่การเลี้ยงชีพ
2. ภัยเกิดแต่การติเตียน
3. ภัยคือความขลาดกลัว เมื่อเข้าสู่ที่ประชุม

4. ภัยเกิดแต่มรณะ
5. ภัยเกิดแต่อบาย
เหล่านี้เรียกว่า ภัย 5.
[990] ทิฏฐธัมมนิพพานวาทะ 5 เป็นไฉน ?
ทิฏฐธัมมนิพพานวาทะ 5 คือ
1. สมณะหรือพราหมณ์บางคนในโลกนี้ มีวาทะอย่างนี้ มีทิฏฐิอย่าง
นี้ว่า ท่านผู้เจริญ เมื่อใดแล อัตตานี้เพียบพร้อม พรั่งพร้อม บำรุงบำเรอ
ด้วยกามคุณ 5 อยู่ ท่านผู้เจริญ ด้วยเหตุเพียงเท่านี้แล อัตตานี้จึงชื่อว่า ได้
บรรลุทิฏฐธัมมนิพพานอันยอดเยี่ยม สมณะหรือพราหมณ์พวกหนึ่ง ย่อม
บัญญัติทิฏฐธัมมนิพพานอันยอดเยี่ยมของสัตว์ผู้ปรากฏมีอยู่. ด้วยประการอย่างนี้
2. สมณะหรือพราหมณ์อื่น กล่าวกะสมณะหรือพราหมณ์นั้นว่า
ท่านผู้เจริญ ท่านกล่าวอัตตาใด อัตตานี้มีอยู่แล เราจะได้กล่าวว่า อัตตานั้น
ไม่มีก็หามิได้ ท่านผู้เจริญ แต่อัตตานี้จะชื่อว่าได้บรรลุทิฏฐธัมมนิพพานอัน
ยอดเยี่ยม ด้วยเหตุเพียงเท่านี้ก็หามิได้ ข้อนั้นมีอะไรเป็นเหตุ ท่านผู้เจริญ
เพราะกามทั้งหลายไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนไปเป็นธรรมดา ความ
เศร้าโศก ความร่ำไห้ ความทุกข์ ความโทมนัส ความคับแค้นใจ ย่อมเกิด
ขึ้น เพราะกามเหล่านั้นแปรปรวนเป็นอย่างอื่น ท่านผู้เจริญ เมื่อใดแล อัตตา
นี้สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรมแล้ว บรรลุปฐมฌาน ฯลฯ อยู่ ท่านผู้
เจริญ ด้วยเหตุเพียงเท่านี้แล อัตตานี้จึงชื่อว่า ได้บรรลุทิฏฐธัมมนิพพานอัน
ยอดเยี่ยม สมณะหรือพราหมณ์พวกหนึ่ง ย่อมบัญญัติทิฏฐธัมมนิพพานอันยอด
เยี่ยมของสัตว์ผู้ปรากฏมีอยู่ ด้วยประการอย่างนี้

3. สมณะหรือพราหมณ์อื่น กล่าวกะสมณะหรือพราหมณ์นั้นว่า ท่าน
ผู้เจริญ ท่านกล่าวอัตตาใด อัตตานี้มีอยู่ เราจะได้กล่าวว่า อัตตานั้นไม่มีก็หานิ
ได้ ท่านผู้เจริญ แต่อัตตานี้จะชื่อว่าได้บรรลุทิฏฐธัมมนิพพานอันยอดเยี่ยม
ด้วยเหตุเพียงเท่านี้ก็หามิได้ ข้อนั้นมีอะไรเป็นเหตุ วิตก วิจารใด มีอยู่ใน
ปฐมฌานนั้น ปฐมฌานนี้ย่อมปรากฏเป็นของหยาบเพราะวิตกและวิจารนั้น
ท่านผู้เจริญ เมื่อใดแล อัตตานี้บรรลุทุติยฌาน อันเป็นธรรมชาติผ่องใส
เพราะวิตกวิจารสงบ ฯลฯ อยู่ ด้วยเหตุเพียงเท่านี้แล อัตตานี้จึงชื่อว่า ได้
บรรลุทิฏฐธัมมนิพพานอันยอดเยี่ยม สมณะหรือพราหมณ์พวกหนึ่ง ย่อม
บัญญัติทิฏฐธัมมนิพพานอันยอดเยี่ยม ของสัตว์ผู้ปรากฏมีอยู่ ด้วยประการอย่าง
นี้
4. สมณะหรือพราหมณ์อื่น กล่าวกะสมณะหรือพราหมณ์นั้นว่า ท่าน
ผู้เจริญ ท่านกล่าวอัตตาใด อัตตานี้มีอยู่แล เราจะได้กล่าวว่า อัตตานั้นไม่มี
ก็หามิได้ ท่านผู้เจริญ แต่อัตตานี้จะว่าได้บรรลุทิฏฐธัมมนิพพานอันยอดเยี่ยม
ด้วยเหตุเพียงเท่านี้ก็หามิได้ ข้อนั้นมีอะไรเป็นเหตุ ปีติ ความลำพองใจใด มี
อยู่ในทุติยฌานนั้น ทุติยฌานนี้ย่อมปรากฏเป็นของหยาบเพราะปีติและความ
ลำพองใจนั้น ท่านผู้เจริญ เมื่อใดแล เพราะคลายปีติได้อีกด้วย อัตตานี้บรรลุ-
ตติยฌาน ฯลฯ อยู่ ด้วยเหตุเพียงเท่านี้แล อัตตานี้จึงชื่อว่าได้บรรลุทิฏฐธัมม-
นิพพานอันยอดเยี่ยม สมณะหรือพราหมณ์พวกหนึ่ง ย่อมบัญญัติทิฏฐธัมม-
นิพพานอันยอดเยี่ยมของสัตว์ผู้ปรากฏมีอยู่ ด้วยประการอย่างนี้
5. สมณะหรือพราหมณ์อื่น กล่าวกะสมณะหรือพราหมณ์นั้นว่า ท่าน
ผู้เจริญ ท่านกล่าวอัตตาใด อัตตานี้มีอยู่แล เราจะได้กล่าวว่า อัตตานั้นไม่มีก็
มิได้ ท่านผู้เจริญ แต่อัตตานี้ชื่อว่าได้บรรลุทิฏฐธัมมนิพพานอันยอดเยี่ยม ด้วย

เหตุเพียงเท่านี้ก็หามิได้ ข้อนี้มีอะไรเป็นเหตุ สุขและความนึกคิดทางใจใด มี
อยู่ในตติยฌานนั้น ตติยฌานนี้ ย่อมปรากฏเป็นของหยาบเพราะสุขและความ
นึกคิดทางใจนั้น เมื่อใดแล อัตตานี้บรรลุจตุตถฌาน อันไม่มีทุกข์ ไม่มีสุข
เพราะละสุขและทุกข์ได้ ฯลฯ อยู่ ด้วยเหตุเพียงเท่านี้แล อัตตานี้จึงชื่อว่าได้
บรรลุทิฏฐธัมมนิพพานอันยอดเยี่ยม สมณะหรือพราหมณ์พวกหนึ่ง ย่อม
บัญญัติทิฏฐธัมมนิพพานอันยอดเยี่ยมของสัตว์ผู้ปรากฏมีอยู่ ด้วยประการอย่างนี้
เหล่านี้เรียกว่า ทิฏฐธัมมนิพพานวาทะ 5.

ฉักกนิทเทส


[991] ในฉักกมาติกาเหล่านั้น วิวาทมูล 6 เป็นไฉน ?
ความโกรธ ความลบหลู่คุณท่าน ความริษยา ความโอ้อวด ความ
ปรารถนาลามก ความยึดถือแต่ความเห็นของตน
เหล่านี้เรียกว่า วิวาทมูล 6.
[992] ฉันทราคเคหสิตธรรม 6 เป็นไฉน ?
ความกำหนัด ความกำหนัดนัก ฯลฯ ความกำหนัดนักแห่งจิต อัน
อิงอาศัยกามคุณ ในรูปที่น่าชอบใจ ฯลฯ ในเสียงที่น่าชอบใจ ฯลฯ ในกลิ่น
ที่น่าชอบใจ ฯลฯ ในรสที่น่าชอบใจ ฯลฯ ในโผฏฐัพพะที่น่าชอบใจ ความ
กำหนัด ความกำหนัดนัก ฯลฯ ความกำหนัดนักแห่งจิตอันอิงอาศัยกามคุณ
ในธรรมารมณ์ที่น่าชอบใจ
เหล่านี้เรียกว่า ฉันทราคเคหสิตธรรม 6.
[993] วิโรธวัตถุ 6 เป็นไฉน ?
ความอาฆาต ความกระทบกระทั่งแห่งจิต ฯลฯ ความดุร้าย ความ
ปากร้าย ความไม่แช่มชื่นแห่งจิต ในรูปที่ไม่น่าชอบใจ ฯลฯ ในเสียงที่ไม่