เมนู

สาตัจจะ เพราะยังความเพียรนั้นให้เป็นไปทั่ว และยังปัญญากล่าวคือ เนปักกะ
(ปัญญาเป็นเครื่องรักษา) อันถึงความแก่รอบ ให้เป็นไปอยู่นั้นแหละ จึง
ชื่อว่า ประกอบเนือง ๆ ในชาคริยานุโยค อยู่. ก็ในที่นี้ พระผู้มีพระภาคเจ้า
ตรัสความเพียรเจือด้วยโลกิยะและโลกุตตระ. แม้ปัญญา ก็มีคติเช่นวิริยะนั่น-
แหละ. คือ เมื่อตรัสเรื่องวิริยะในโลกิยะ วิริยะนั้นก็เป็นโลกิยะ ตรัสวิริยะ
ในโลกุตตระ ก็เป็นโลกุตตระ.
คำว่า โพธิปกฺขิยานํ ธมฺมานํ ได้แก่ ธรรมทั้งหลาย อันเป็นไป
ในฝ่ายแห่งมรรคญาณ กล่าวคือ ปัญญาเป็นเครื่องตรัสรู้สัจจะทั้ง 4. อธิบาย
ว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงรวมโพธิปักขิยธรรมทั้งหมดไว้มีประมาณ 37 เมื่อ
จะทรงแสดงองค์เเห่งการตรัสรู้นั่นแหละ อันสามารถเป็นไปโดยความเป็นอัน
เดียวกันในอารมณ์หนึ่งแห่งภาวนาแม้เป็นโลกีย์ จึงตรัสคำว่า สตฺต โพชฺฌงฺคา
เป็นอาทิ. โพธิปักขิยธรรมเหล่านั้น บัณฑิตพึงทราบว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า
ตรัสเป็นมิสสกะ คือ เจือด้วยโลกิยะและโลกุตตระ. คำที่เหลือในที่นี้ มีอรรถ
ตื้นทั้งนั้น เพราะมีนัยเหมือนที่ข้าพเจ้ากล่าวแล้วในหนหลัง แล.

อธิบายอิริยาบถ


พึงทราบวินิจฉัยในนิทเทสแห่งคำว่า อภิกฺกนฺเต เป็นต้น การก้าว
ไปข้างหน้า พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสเรียกว่า อภิกกันตะ ก่อน ในคำว่า
อภิกฺกนฺเต ปฏิกฺกนฺเต นี้. การถอยกลับมาข้างหลัง เรียกว่า ปฏิกกันตะ.
อภิกกันตะ แสะปฏิกกันตะ แม้ทั้งสองนี้ ย่อมได้ในอิริยาบถทั้ง 4 คือ
ในอิริยาบถเดินก่อน เมื่อน้อมกายเดินไปข้างหน้า ชื่อว่า อภิกกันตะ.
เมื่อถอยกลับมา ชื่อว่า ปฏิกกันตะ. แม้ในอิริยาบถยืน ยังยืนอยู่นั่นแหละ

เมื่อน้อมกายไปข้างหน้า ชื่อว่า อภิกกันตะ เมื่อน้อมกายมาข้างหลัง ชื่อว่า
ปฏิกกันตะ. แม้ในอิริยาบถนั่ง ยังนั่งอยู่นั่นแหละ มีหน้าเฉพาะต่อส่วน
ข้างหน้าแห่งอาสนะ และน้อมกายไปอยู่ ชื่อว่า อภิกกันตะ น้อมกายไปสู่
ประเทศส่วนเบื้องหลัง ชื่อว่า ปฏิกกันตะ. แม้ในอิริยาบถนอน ก็นัยนี้
นั่นแหละ.
คำว่า สมฺปชานการี โหติ ได้แก่ เป็นผู้มีปกติทำกิจทั้งปวง
ด้วยสัมปชัญญะ หรือเป็นผู้มีปกติทำซึ่งสัมปชัญญะ. จริงอยู่ ภิกษุนั้น ย่อม
ทำซึ่งสัมปชัญญะนั่นแหละ ในอิริยาบถทั้งหลาย มีการก้าวไปข้างหน้าเป็นต้น
คือว่า ย่อมเป็นผู้ไม่เว้นจากสัมปชัญญะในอิริยาบถไหน ๆ เลย. ก็เพราะ
สัมปชัญญะนั้น สัมปยุตด้วยสตินั่นแหละ ฉะนั้น ในนิทเทสแห่งฌานวิภังค์นี้
จึงตรัสว่า สโต สมฺปชาโน อภิกฺกมติ สโต สมฺปชาโน ปฏิกฺกมติ
ดังนี้. จริงอยู่ ภิกษุนี้ ก้าวไปข้างหน้าหรือถอยมาข้างหลัง ชื่อว่า เป็นผู้ ไม่
หลงลืมสติ มีสัมปชัญญะ. คือว่า ภิกษุประกอบด้วยสติ มีความรู้สึกตัวทั่ว
พร้อมด้วยปัญญานั่นเเหละ ย่อมก้าวไปข้างหน้าด้วย ย่อมถอยกลับมาข้างหลัง
ด้วย. เธอย่อมยังสัมปชัญญะ 4 อย่าง ให้หยั่งลงในอิริยาบถทั้งปวงมีการก้าว
ไปข้างหน้า เป็นต้น. จริงอยู่ สัมปชัญญะนี้ มี 4 อย่าง คือ.
1. สาตถกสัมปชัญญะ
2. สัปปายสัมปชัญญะ
3. โคจรสัมปชัญญะ
4. อสัมโมหสัมปชัญญะ
บรรดาสัมปชัญญะเหล่านั้น เมื่อจิตในการก้าวไปข้างหน้าเกิดขึ้นแล้ว
กำหนดสิ่งที่เป็นประโยชน์และไม่เป็นประโยชน์ ถือเอาแต่ประโยชน์โดยใคร่

ครวญว่า อะไรหนอแล เป็นประโยชน์ในการไป หรือการไม่ไปในที่นี้ ดังนี้
ชื่อว่า สาตถกสัมปชัญญะ.
ก็ในคำเหล่านั้น คำว่า ประโยชน์ ได้แก่ ความเจริญโดยธรรม
ด้วยสามารถแห่งการเห็นเจดีย์ การเห็นต้นโพธิ์ การเห็นพระสงฆ์ การเห็น
พระเถระ การเห็นอสุภะ เป็นต้น. จริงอยู่ ภิกษุแม้เห็นเจดีย์ หรือต้นโพธิ์
ยังปีติมีพระพุทธคุณเป็นอารมณ์ หรือยังปีติมีพระสงฆ์เป็นอารมณ์ ด้วย
สามารถแห่งการเห็นพระสงฆ์ ให้เกิดขึ้นแล้ว พิจารณาอยู่ซึ่งสิ่งนั้นนั่นแหละ
โดยความเสื่อมสิ้นไป ย่อมบรรลุพระอรหัตได้.
บุคคลเห็นพระเถระทั้งหลาย อาศัยโอวาทของท่านเหล่านั้น หรือเห็น
อสุภะแล้วยังปฐมฌานในอสุภะนั้นให้เกิดขึ้นแล้ว พิจารณาสิ่งนั้นนั่นแหละ โดย
ความเสื่อมสิ้นไปก็ย่อมบรรลุพระอรหัตได้. เพราะฉะนั้น การเห็นสิ่งเหล่านั้น
จึงชื่อว่า สาตฺถํ คือ มีประโยชน์. ..
อนึ่งอาจารย์บางพวก กล่าวว่า การเจริญแม้ด้วยอามิส ก็ชื่อว่า เป็น
ประโยชน์เหมือนกัน ก็เพราะความที่ตนอาศัยสิ่งนั้นแล้วปฏิบัติเพื่อเอาพรหม-
จรรย์ ดังนี้.
การที่ภิกษุกำหนดสัปปายะ และอสัปปายะ ในการเดินไปแล้วกำหนด
เอาแต่สัปปายะ ชื่อว่า สัปปายสัมปชัญญะ. คืออย่างไร คือว่า การเห็นพระ-
เจดีย์อันเป็นไปกับด้วยประโยชน์ก่อน ก็ถ้าว่า บริษัทประชุมกันในระหว่าง
ทางสิบสองโยชน์ เพื่อทำการบูชาใหญ่พระเจดีย์. ทั้งหญิงทั้งชายย่อมมีรูป
สวยงามเป็นราวกะจิตรกรรม ประดับประดาตกแต่งตามความเหมาะสมกับ
สมบัติของตน ๆ พากันเที่ยวไป. ก็ในสถานที่เช่นนี้ ความโลภ ของบุคคล

นั้น ๆ ย่อมเกิดในเพราะอารมณ์อันชอบใจ ปฏิฆะ ย่อมเกิดในเพราะอารมณ์
อันไม่ชอบใจ โมหะ ย่อมเกิดในเพราะความไม่เพ่งพิจารณา.
อีกอย่างหนึ่ง ภิกษุนั้น ย่อมต้องอาบัติกายสังสัคคะ (การสัมผัสทาง
กาย). หรือว่า มีอันตรายแห่งชีวิตพรหมจรรย์. การยืนในที่เช่นนั้น ย่อมเป็น
อสัปปายะ. เป็นสัปปายะ ในเพราะไม่มีอันตรายมีประการตามที่กล่าวแล้ว.
แม้ในการดูต้นโพธิ์ก็นัยนี้เหมือนกัน.
แม้ในการดูพระสงฆ์ ก็เป็นไปกับด้วยประโยชน์ คือ ถ้าว่า เมื่อพวก
มนุษย์ทำปะรำใหญ่ในระหว่างบ้าน แล้วฟังธรรมตลอดคืน การประชุมของชน
โดยมีประการตามที่กล่าวแล้วนั้นแหละ และทั้งอันตรายก็ย่อมมีด้วย. การยืน
ในที่เช่นนั้น โดยอาการที่กล่าวมาแล้วนี้ เป็นอสัปปายะ. เป็นสัปปายะ เพราะ
ความไม่มีอันตราย. แม้ในการเห็นพระเถระทั้งหลาย ผู้มีบริษัทบริวารมาก
ก็นัยนี้นั่นแหละ.
แม้การเห็นอสุภะ ก็เป็นไปกับด้วยประโยชน์. เพื่อแสดงประโยชน์
ในอสุภะนั้น มีเรื่องดังต่อไปนี้ เป็นอุทาหรณ์.
ได้ยินว่า ภิกษุหนุ่มรูปหนึ่ง พาสามเณรเดินทางไป เพื่อต้องการ
ไม้ชำระฟัน. สามเณรเดินไปข้างหน้าของภิกษุ เมื่อเธอก้าวลงจากทางไป ก็
เห็นอสุภะ จึงเพ่งดูแล้วยังปฐมฌานให้เกิดขึ้น ทำฌานนั้นนั่นแหละให้เป็น
บาทแห่งวิปัสสนา พิจารณาอยู่ซึ่งสังขารทั้งหลาย กระทำผลทั้งสามให้แจ้ง
แล้วก็กำหนดตั้งกรรมฐาน เพื่อต้องการมรรคเบื้องบน. ฝ่ายภิกษุหนุ่ม เมื่อ
ไม่เห็นสามเณรนั้น จึงร้องเรียกว่า สามเณร. สามเณรนั้น คิดว่า จำเดิม
แต่วันที่เราบวชแล้ว ขึ้นชื่อว่า การเรียก 2 ครั้งของภิกษุนี้มิได้มีแก่เรา ใน
วันอื่นเถิดเราจักยังคุณวิเศษเบื้องบนให้เกิดขึ้น ดังนี้ จึงขานรับว่า อะไรขอรับ

ดังนี้ ภิกษุหนุ่มจึงกล่าวว่า เธอมานี่ สามเณรนั้นมาแล้วด้วยคำเพียงคำเดียว
เท่านั้น แล้วจึงเรียนว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ขอท่านจงไปยืนดูข้างหน้า ในที่ๆ
กระผมยืนอยู่โดยทางนี้ก่อนสักครู่ขอรับ. ภิกษุนั้นกระทำอย่างนั้นแล้วก็บรรลุ
คุณวิเศษอันสามเณรนั้นบรรลุแล้วนั่นแหละ. อสุภะหนึ่ง เกิดขึ้นเพื่อประโยชน์
แก่ชนทั้งสองด้วยอาการอย่างนี้.
อนึ่ง อสุภะของมาตุคาม ถึงจะเป็นไปกับด้วยประโยชน์ แต่ก็ย่อม
เป็นอสัปปายะแก่บุรุษ และ อสุภะของบุรุษเหล่านั้น ก็เป็นอสัปปายะแก่มาตุคาม
เช่นกัน. การกำหนดสัปปายะว่า นี้เป็นสัปปายะ เป็นสภาคะ ดังที่พรรณนา
มาฉะนี้ ชื่อว่า สัปปายสัมปชัญญะ.
อนึ่ง การที่ภิกษุเรียนเอาโคจร กล่าวคือ กรรมฐานอันชอบใจแก่
จริตของตนในกรรมฐาน 38 อย่าง เพื่อสัปปายะอันเป็นไปกับด้วยประโยชน์
ที่กำหนดแล้วอย่างนี้ แล้วถือเอากรรมฐานนั้นในเวลาโคจรเพื่อภิกขาจาร ชื่อว่า
โคจรสัมปชัญญะ.
บัณฑิตพึงทราบหมวด 4 เพื่อความแจ่มแจ้งแห่งวรรณนานั้น ดัง
ต่อไปนี้
.
1. ภิกษุบางรูปในพระศาสนานี้ ย่อมนำกรรมฐานไป แต่
ไม่นำกลับมา

2. บางรูป ย่อมนำกลับมา แต่ไม่นำไป
3. บางรูป ทั้งไม่นำไป ทั้งไม่นำกลับมา
4. บางรูป ย่อมนำไปด้วย ย่อมนำกลับมาด้วย
บรรดาภิกษุเหล่านั้น ภิกษุรูปใด ชำระจิตให้หมดจดจากธรรมทั้งหลาย
อันเป็นเครื่องกั้นตลอดวัน ด้วยการเดิน การนั่ง ในปฐมยามแห่งราตรี ก็

อย่างนั้น ในมัชฌิมยามเธอสำเร็จการนอน แม้ในปัจฉิมยาม เธอก็ยังกาลให้
ล่วงไปด้วยการนั่ง การเดิน การทำวัตรคือ กวาดลานพระเจดีย์ ลานมหาโพธิ์
ก่อน แล้วรดน้ำต้นมหาโพธิ์ เข้าไปตั้งน้ำฉันน้ำใช้ แล้วสมาทานประพฤติวัตร
ทั้งปวงเล็ก ๆ น้อย ๆ มีอาจริยวัตร อุปัชฌายวัตร เป็นต้น. เมื่อเธอตกแต่งร่าง
กายแล้วก็เข้าไปสู่เสนาสนะ ผลัดเปลี่ยนอิริยาบถ 2-3 ท่าที่บัลลังก์ ให้ไออุ่น
เกิดขึ้นแล้วประกอบกรรมฐานเนือง ๆ ลุกขึ้นในเวลาเป็นที่เที่ยวไปเพื่อภิกษา
ถือเอาบาตรและจีวร กับกรรมฐานอันเป็นสีสะนั่นแหละ (กรรมฐานที่เป็น
ประธาน) ออกไปจากเสนาสนะก็มนสิการกรรมฐานอยู่อย่างนั้น ไปสู่ลาน
แห่งพระเจดีย์ ถ้า (กรรมฐานเดิมเป็นพุทธานุสติ) พุทธานุสติกรรมฐานยังมี
อยู่ไซร้ ไม่ต้องสละกรรมฐานนั้นเลย เข้าไปสู่ลานพระเจดีย์. ถ้าหาก (ใน
ขณะนั้น) มีกรรมฐานอื่นอยู่ พักกรรมฐานนั้นไว้ที่เชิงบันได เปรียบเหมือน
บุคคลถือสิ่งของมา แล้ววางของนั้นไว้ ครั้นพักกรรมฐานอื่นนั้นแล้ว ก็พึง
ถือเอาปีติอันมีพุทธคุณเป็นอารมณ์ก้าวขึ้นสู่ลานพระเจดีย์ ทำประทักษิณเจดีย์
ใหญ่สิ้นสามครั้ง แล้วพึงไหว้ในที่ทั้ง 4. พึงทำประทักษิณเจดีย์น้อย ในที่นั้น
นั่นแหละ แล้วพึงไหว้ในที่ทั้ง 8. อันภิกษุผู้ถึงลานพระเจดีย์ครั้นไหว้พระ-
เจดีย์แล้ว ก็พึงแสดงความนอบน้อมต่อพระพุทธเจ้า ดุจการอยู่ต่อหน้าพระ-
ผู้มีพระภาคเจ้า แล้วไหว้ต้นมหาโพธิ์. ภิกษุนั้นไหว้พระเจดีย์และต้นมหาโพธิ์
แล้ว ก็กลับไปสู่ที่ ๆ ตนเก็บกรรมฐานถือเอากรรมฐานที่ตนวางไว้แล้ว เหมือน
บุคคลถือเอาสิ่งของที่ตนวางไว้ไปฉะนั้น ห่มจีวรด้วยกรรมฐานสีสะนั่นแหละ
ในที่ใกล้บ้าน แล้วจึงเข้าไปสู่บ้านเพื่อบิณฑะ. ในกาลนั้นพวกมนุษย์เห็นภิกษุ
นั้นแล้ว ก็พากันลุกขึ้นต้อนรับ โดยคิดว่า พระผู้เป็นเจ้าของพวกเรามาแล้ว

ดังนี้ รับบาตร นิมนต์ให้นั่งที่โรงฉัน หรือที่บ้าน ถวายข้าวยาคู ตราบเท่าที่
ภัตยังไม่เสร็จ ก็ล้างเท้าทาด้วยน้ำมัน นั่งข้างหน้าถามปัญหาบ้าง ใคร่จะเป็นผู้
ฟังธรรมบ้าง.
พระอรรถกถาจารย์ทั้งหลาย กล่าวว่า แม้ถ้าว่า พวกมนุษย์ไม่ต้อง
การให้ภิกษุกล่าวธรรม ธรรดาว่า ธรรมกถา (การแสดงธรรม) เพื่อการ
สงเคราะห์ประชุมชน ภิกษุนั้นพึงกระทำทีเดียว. จริงอยู่ ธรรมดาว่า ธรรมกถา
ที่จะพ้นไปจากกรรมฐานย่อมไม่มี. เพราะฉะนั้น ภิกษุฉันอาหารด้วยกรรม-
ฐานสีสะนั่นแหละ เสร็จแล้วกล่าวอนุโมทนา ภิกษุนั้นผู้อันมนุษย์ทั้งหลายตาม
ไปส่งอยู่ ออกไปจากหมู่บ้านแล้ว ควรให้มนุษย์เหล่านั้นกลับแล้วก็เดินไป
ตามทาง. ลำดับนั้น สามเณรและภิกษุหนุ่มทั้งหลายผู้ออกไปสู่บ้านก่อนกว่า
มีภัตกิจอันกระทำแล้วภายนอกบ้านเทียว เห็นภิกษุนั้น ซึ่งกำลังเดินมา ก็
พากันไปต้อนรับ รับบาตรและจีวรของท่าน.
ได้ยินว่า ภิกษุในปางก่อนทั้งหลาย มิได้เลือกว่า ผู้นี้เป็นพระ-
อุปัชฌายะของเรา ผู้นี้เป็นอาจารย์ของเรา (หรือไม่) แล้วการทำวัตร คือ
ย่อมกระทำการกำหนดถึงภิกษุทั้งหลายผู้มาแล้วเท่านั้น.
สามเณรและภิกษุหนุ่มเหล่านั้น ถามภิกษุนั้นว่า ท่านขอรับ พวก
มนุษย์เหล่านั้นเป็นอะไรกับท่าน เป็นผู้เกี่ยวดองทางโยมมารดา หรือทางบิดา.
ภิกษุนั้นตอบว่า พวกเธอเห็นอะไร จึงถาม.
พวกสามเณรและภิกษุหนุ่มเหล่านั้น ตอบว่า พวกกระผมเห็นความรัก
ของชนเหล่านั้นมีมากมายในท่าน.
ภิกษุนั้นกล่าวว่า ดูก่อนผู้มีอายุทั้งหลาย กรรมใดแม้มารดาบิดาของ
เรากระทำได้ยาก แต่มนุษย์พวกนี้กระทำได้ แม้บาตรและจีวรอันเป็นของใช้อยู่

ของพวกเรา ด้วยอานุภาพแห่งชนเหล่านั้น พวกเราย่อมไม่รู้ถึงภัยในเวลามีภัย
ไม่รู้ถึงความอดอยากในเวลาข้าวยากหมากแพง ชนทั้งหลายผู้เช่นกับมนุษย์ผู้มี
อุปการะเหล่านี้ ของพวกเราย่อมไม่มี ดังนี้ เมื่อกล่าวชมเชยคุณของมนุษย์
เหล่านั้น เดินไปอยู่.
ภิกษุนี้ ท่านเรียกว่า ย่อมนำกรรมฐานไป แต่ไม่นำกลับมา.
อนึ่ง เมื่อภิกษุใดทำวัตรปฏิบัติมีประการตามที่กล่าวแล้วแต่เช้า ความ
ร้อนเกิดแต่กรรม (กมฺมชฺชเตโช) ของท่านย่อมโพลง ปล่อยซึ่งอนุปาทินนกรูป
แล้วถือเอาอุปาทินนกรูป เหงื่อทั้งหลายย่อมไหลออกจากสรีระ ย่อมไม่สามารถ
ก้าวขึ้นสู่วิถีแห่งกรรมฐานได้. ภิกษุนั้นถือเอาบาตรและจีวรแต่เช้า ไหว้พระ-
เจดีย์โดยรวดเร็ว ออกไปสู่บ้านในเวลาเป็นที่ออกไปแห่งฝูงโคนั่นแหละ ได้
ข้าวยาคูแล้วนำไปสู่อาสนศาลา ดื่มอยู่. ลำดับนั้น เตโชธาตุอันเกิดจากกรรม
ก็ปล่อยวางอุปาทินนกรูป ถือเอาอนุปาทินนกรูป. ภิกษุนั้นถึงความดับความ
เร่าร้อนอันเกิดจากเตโชธาตุเสียได้ เหมือนอาบน้ำตั้งร้อยหม้อ ฉันข้าวยาคูด้วย
กรรมฐานสีสะ ล้างบาตรและปากเสร็จแล้ว ก็มนสิการกรรมฐานในระหว่าง
เวลาแห่งภัต เที่ยวไปเพื่อบิณฑะในสถานที่เหลือ ฉันอาหารด้วยกรรมฐานสีสะ
จำเดิมแต่กาลนั้นมา ก็ถือปฏิบัติกรรมฐาน อันเธอถูกต้อง เอาใจใส่อยู่นั่น-
แหละกลับมาอยู่.
ภิกษุนี้ ท่านเรียกว่า ย่อมนำกรรมฐานกลับมา แต่ไม่นำไป.
ก็ภิกษุผู้เช่นนี้ ดื่มข้าวยาคูแล้วปรารภวิปัสสนา บรรลุพระอรหัตใน
พุทธศาสนาเหลือที่จะนับ. ในทวีปสีหฬนั่นแหละในอาสน ศาลาแห่งหมู่บ้าน
นั้น ๆ พวกภิกษุที่ดื่มข้าวยาคูในที่นั้นแล้ว ไม่บรรลุพระอรหัต มิได้มี.
ก็ภิกษุใด เป็นผู้มีปกติอยู่ด้วยความประมาท มีธุระอันทอดทิ้งเสียแล้ว
ทำลายวัตรทั้งปวงแล้ว มีจิตพัวพันด้วยเครื่องผูกจิต 5 อย่าง (นิวรณ์ 5) อยู่

ไม่มีสัญญาในกรรมฐาน แม้เรียนมาแล้ว เข้าไปสู่บ้านเพื่อบิณฑะ เป็นผู้
คลุกคลีแล้ว โดยการคลุกคลีอันเป็นของคฤหัสถ์ อันไม่สมควร เที่ยวไปด้วย
ฉันอาหารด้วย (ทั้งเที่ยวทั้งกิน) ไร้ประโยชน์ก้าวไป ๆ (ทั้งไปทั้งกลับ).
ภิกษุเช่นนี้ ท่านเรียกว่า ย่อมไม่นำกรรมฐานไป ย่อมไม่
นำกรรมฐานกลับมา.

ส่วนภิกษุใด ที่ท่านกล่าวไว้ว่า ภิกษุนี้ ย่อมนำกรรมฐานไปด้วย
ย่อมนำกับมาด้วย
ดังนี้ บัณฑิตพึงทราบภิกษุนั้น ด้วยสามารถแห่งวัตร
ของภิกษุผู้นำไปและนำกลับมา ซึ่งเป็นนัยตรงกันข้ามกับที่กล่าวแล้ว.
จริงอยู่ กุลบุตรทั้งหลาย ผู้ใคร่ประโยชน์บวชในพระพุทธศาสนาแล้ว
อยู่ร่วมกัน 10 ปีบ้าง 20ปีบ้าง 30 ปีบ้าง 40 ปีบ้าง 50 ปีบ้าง 100 ปีบ้าง
ย่อมกระทำกติกวัตรว่า ผู้มีอายุทั้งหลาย พวกท่านมิได้บวชหนีหนี้ มิได้
บวชหนีภัย มิได้บวชเพื่อเลี้ยงชีพ แต่พวกท่านเป็นผู้ใคร่เพื่อจะพ้น
จากทุกข์ จึงบวชในพระพุทธศาสนานี้ เพราะฉะนั้น ถ้ากิเลสเกิด
ขึ้นในเวลาเดิน พวกท่านจงข่มกิเลสในขณะเดินนั้นนั่นแหละ กิเลส
เกิดขึ้นในเวลายืน นั่ง นอน ก็จงข่มกิเลสในเวลายืน นั่ง นอน
นั้นนั่นแหละ
ดังนี้.
ภิกษุเหล่านั้น ครั้นทำกติกวัตรอย่างนี้แล้ว เมื่อไปภิกขาจาร ย่อม
มนสิการกรรมฐานด้วยสัญญาแห่งแผ่นหินที่มีอนยู่ในระหว่างกึ่งอุสุภะบ้าง หนึ่ง
อุสุภะบ้าง กึ่งคาวุตบ้าง หนึ่งคาวุตบ้าง. ถ้ากิเลสของใคร ๆ เกิดขึ้นในขณะ
เดินไซร้ ผู้นั้นย่อมข่มกิเลสนั้นในที่นั้นนั่นแหละ แล้วจึงไป. เมื่อไม่อาจข่ม
ได้ เธอก็จะหยุดอยู่ เมื่อเป็นเช่นนั้น แม้ภิกษุผู้มาข้างหลังของเธอก็ต้องหยุด
ด้วย. ภิกษุ (ผู้หยุดก่อน) คิดว่า ภิกษุนี้ ย่อมรู้วิตกของเราที่เกิดขึ้น ข้อ

นี้ไม่สมควรเลย ติเตียนตนเองเช่นนี้แล้ว ยังวิปัสสนาให้เจริญก้าวลงสู่อริยภูมิ.
เมื่อกิเลสเกิดขึ้นเวลานั่ง เธอก็จะนั่งอยู่นั่นแหละ แม้ภิกษุผู้มาทีหลังของเธอก็
ย่อมนั่งด้วย . . . .เช่นนั้นนั่นแหละ. เมื่อเธอไม่สามารถก้าวลงสู่อริยภูมิ ก็จะ
มนสิการกรรมฐานข่มกิเลสนั้นแล้ว จึงลุกไป. ภิกษุนั้น ย่อมไม่ยกเท้าขึ้นด้วย
จิตปราศจากกรรมฐาน. ถ้ายกเท้าขึ้นด้วยจิตปราศจากกรรมฐานไซร้ ท่านก็จะ
กลับไปเดินตั้งต้นมาใหม่ในสัญญาแห่งเท้าก้าวแรกทีเดียว เหมือนพระเถระชื่อ
ว่า มหาปุสสเทวะ ผู้อยู่ที่อาลินทกประเทศ.
ได้ยินว่า พระเถระนั้น บำเพ็ญคตปัจจาคตวัตรนั่นแหละถึง 19 พรรษา.
นัยว่า แม้พวกมนุษย์ผู้ไถนา หว่านข้าว นวดข้าว กระทำการงานต่าง ๆ
ในระหว่างทาง เห็นพระเถระผู้ไปอยู่เช่นนั้น ก็สนทนากันอย่างสนุกว่า พระ-
เถระนี้ กลับไปกลับมา ท่านคงจะหลงทาง หรือท่านลืมอะไร ดังนี้.
พระเถระไม่อนาทรถ้อยคำนั้น กระทำสมณธรรมอยู่ด้วยจิตอันประกอบ
ด้วยกรรมฐานนั่นแหละ บรรลุพระอรหัตแล้วในระหว่างแห่งพรรษา 20 นั้น
แล. ก็ในวันที่ท่านบรรลุพระอรหัต เทวดาผู้สิงอยู่ในที่สุดแห่งที่เป็นที่จงกรม
ของท่าน ได้ยืนยังประทีปให้โชติช่วงด้วยนิ้วมือทั้งหลาย แม้ท้าวมหาราชทั้ง
4 ท้าวสักกะผู้เป็นจอมเทพ และท้าวสหัมบดีพรหม ก็ได้ไปสู่ที่บำรุง.
พระเถระชื่อว่า มหาติสสะ ผู้มีปกติอยู่ในป่า เห็นโอภาสนั้น จึงถาม
ท่านในวันที่สองว่า ในเวลาราตรี โอภาสได้มีในสำนักของท่านผู้มีอายุ นั่น
เป็นโอภาสอะไร.
พระเถระนั้น ไม่ประสงค์จะบอก จึงกล่าวว่า ขึ้นชื่อว่า โอภาส
ย่อมเป็นโอภาสแห่งประทีปก็มี เป็นโอภาสแห่งแก้วมณีก็มี เป็นต้น ต่อจากนั้น

ท่านถูกรบเร้าว่า ขอท่านจงบอกโอภาสนั้น ดังนี้ ท่านจึงรับคำว่า ครับ จะบอก
แล้วท่านจึงบอกเนื้อความนั้นแล้ว.
ก็เรื่องของพระเถระผู้ปฏิบัติกรรมฐานเช่นนี้ เหมือนกับเรื่องของ
พระเถระชื่อว่า มหานาค ผู้มีปกติอยู่ในมณฑป ชื่อว่า กาลวัลลิ.

ได้ยินว่า พระมหานาคเถระรูปนั้น บำเพ็ญคตปัจจาคตวัตร ได้
อธิษฐานอิริยาบถเพียงการยืน และการจงกรมเท่านั้น ตลอด 7 ปี โดยคิดว่า
เบื้องต้น เราจักบูชามหาปธาน (คือความเพียรใหญ่) ของพระผู้มีพระภาคเจ้า
ก่อน ดังนี้ ต่อมาท่านก็บำเพ็ญคตปัจจาคตวัตรอีกตลอด 16 ปี จึงบรรลุพระ-
อรหัต.
ก็ท่านพระมหานาคนั้น ยกเท้าขึ้นด้วยจิตอันประกอบด้วยกรรมฐาน
นั่นแหละ ครั้นเมื่อยกขึ้นปราศจากกรรมฐาน ก็จะหวนกลับไปสู่ที่ใกล้บ้าน
ยืนอยู่ในประเทศอันเป็นที่สงสัยว่า นั่นเป็นแม่โคหรือหนอ หรือว่าเป็นบรรพ-
ชิต ห่มจีวร ล้างบาตรด้วยน้ำจากคนโทที่หนีบรักแร้มา แล้วอมน้ำคำหนึ่ง.
ถามว่า เพราะเหตุไร.
ตอบว่า เมื่อมนุษย์ทั้งหลายมาอยู่เพื่อถวายภิกษาหรือเพื่อจะไหว้ ความ
ส่ายไปแห่งกรรมฐานอย่าได้มี แม้ด้วยสักแต่คำว่า ขอพวกท่าน จงเป็นผู้มี
อายุยืน ดังนี้.
ก็ภิกษุนั้นถูกมนุษย์ทั้งหลาย ถามถึงการนับวันว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ
วันนี้เป็นวันอะไร หรือถามจำนวนภิกษุ หรือถามปัญหา จึงกลืนน้ำแล้วบอก.
ถ้าผู้ถามถึงวันเป็นต้นไม่มี ภิกษุนั้นก็จะบ้วนน้ำทิ้งที่ประตูแห่งบ้านนั่นแหละ
ในเวลาเป็นที่จากไป แล้วจึงไป. อนึ่ง เรื่องนี้เหมือนภิกษุ 50 รูป ผู้อยู่
จำพรรษาในวิหาร ชื่อว่า คลัมพุติตถะ.

ได้ยินว่า ภิกษุเหล่านั้น ได้ทำกติกวัตรในวันเพ็ญอาสาฬหะว่า พวก
เรายังไม่บรรลุพระอรหัต จักไม่สนทนากะกันและกัน ดังนี้. อนึ่ง ภิกษุ
เหล่านั้น เมื่อจะเข้าไปสู่บ้านเพื่อบิณฑะ กระทำการอมน้ำอมหนึ่งแล้วจึงเข้า
ไป เมื่อถูกถามถึงวันเป็นต้น ก็ปฏิบัติแล้วโดยนัยที่กล่าวแล้ว. พวกมนุษย์
เห็นที่เป็นที่บ้วนน้ำทิ้งในที่นั้นก็จะทราบว่า วันนี้ พระผู้เป็นเจ้าของเรามาองค์
เดียว หรือสององค์ ดังนี้. ก็มนุษย์เหล่านั้นคิดว่า พระผู้เป็นเจ้าเหล่านี้
ย่อมไม่สนทนากับพวกเราเท่านั้นหรือหนอ หรือไม่สนทนากะกันและกัน ดังนี้
ถ้าว่าพวกท่านไม่สนทนากะกันและกันไซร้ ท่านจักต้องวิวาทกันแน่ พวกเรา
จงมา เราจักให้ภิกษุเหล่านั้นอดโทษกะกันและกัน ดังนี้. พวกมนุษย์ทั้งหมด
พากันไปสู่วิหาร ก็บรรดาภิกษุ 50 รูป ภิกษุแม้สองรูปอยู่ในโอกาสเดียวกัน
มิได้มี ในมนุษย์เหล่านั้นคนที่มีปัญญา กล่าวในเวลานั้นว่า ดูก่อนท่านผู้เจริญ
ทั้งหลาย โอกาสอันเป็นที่อยู่อาศัยของผู้ทะเลาะกันไม่เป็นเช่นนี้ ลานพระเจดีย์
ลานพระมหาโพธิ์ อันพระผู้เป็นเจ้าเหล่านี้ปัดกวาดดีแล้ว ไม่กวาดทั้งหลาย
ท่านก็เก็บไว้เรียบร้อย ทั้งน้ำฉันน้ำใช้ท่านก็จัดตั้งไว้อย่างดี ดังนี้ พวกมนุษย์
เหล่านั้น จึงพากันกลับไปจากที่นั้นทีเดียว.
ภิกษุเหล่านั้น บรรลุพระอรหัตภายใน 3 เดือนนั่นแหละ ปวารณา
แล้วซึ่งสุทธิปวารณา ในวันมหาปวารณา.
ภิกษุเหล่านั้น ยกเท้าขึ้นด้วยจิตอันประกอบด้วยกรรมฐานนั่นแหละ
เหมือนพระมหานาคเถระผู้อาศัยอยู่ที่กาลวัลลิมณฑป และเหมือนภิกษุ 50รูป
ผู้จำพรรษาในคลัมพุติตถวิหาร อย่างนี้คือ ภิกษุผู้ปฏิบัตินั้นไปสู่ที่ใกล้บ้าน
แล้วจึงทำการอมน้ำอมหนึ่ง แล้วก็กำหนดทางทั้งหลาย จะดำเนินไปสู่วิถีที่
พวกชนไม่ทะเลาะกัน ไม่มีนักเลงสุราเป็นต้น หรือช้างร้ายม้าร้ายไม่มีอยู่ในที่

นั้น เมื่อเธอเที่ยวไปในบ้านเพื่อบิณฑะ ไม่ควรไปโดยกระตือรือร้น เหมือน
ชนทีมีธุระด่วน เพราะว่า ชื่อว่า ปิณฑปาติกธุดงค์ (องค์คุณเครื่องกำจัด
กิเลสของภิกษุผู้ถือการฉันอาหารจากการบิณฑบาตเป็นวัตร)ไรๆ เช่นนั้นไม่มี.
ย่อมเป็นผู้ไม่หวั่นไหวดำเนินไป เหมือนเกวียนบรรทุกน้ำถึงที่ไม่เสมอกัน ไป
อยู่. อันภิกษุผู้เข้าไปสู่ระหว่างบ้าน ควรรอคอยเวลาอันสมควรแก่ภัตนั้น เพื่อ
กำหนดถึงผู้ประสงค์จะถวาย หรือไม่ถวาย ถ้ารับภิกษาได้แล้วจะเป็นภายในบ้าน
หรือภายนอกบ้านก็ตาม แล้วก็จะมาสู่วิหารนั่นแหละ นั่งในโอกาสอันเหมาะสม
ตามความผาสุก มนสิการกรรมฐานอยู่ ยังปฏิกูลสัญญาในอาหารให้เกิดขึ้น
ย่อมพิจารณาอาหารนั้น ด้วยสามารถแห่งการเปรียบเทียบกับน้ำมันหยอดเพลา-
รถ เปรียบเทียบกับผ้าพันแผล และเปรียบกับเนื้อบุตร แล้วจึงฉันอาหาร
ประกอบด้วยองค์ 8 เป็นผู้มีปกติฉันอาหารโดยมนสิการว่า เนว ทฺวาย น
มทาย ฯลฯ ผาสุวิหาโร จ
ดังนี้.
เนว ทวาย มิใช่เพื่อเล่น
น มทาย มิใช่เพื่อมัวเมา
น มณฺฑนาย มิใช่เพื่อประดับ
น วิภูสนาย มิใช่เพื่อตกแต่ง
ยารเทว อิมสฺส กายสฺส เพียงเพื่อให้กายนี้ตั้งอยู่เป็นไป
ฐิติยา ยาปนาย วิหึสุปรติยา เพื่อระงับเสียซึ่งความเบียดเบียน
พฺรหฺมจริยานุคฺคหาย เพื่ออนุเคราะห์พรหมจรรย์
อิติ ปุราณญฺจ เวทนํ
ปฏิหงฺขามิ จะกำจัดเวทนาเก่า
นวญฺจ เวทนํ

น อุปฺปาเทสฺสามิ จักมิให้เวทนาใหม่เกิดขึ้น
ยาตฺรา จ เม ภวิสฺสติ ความเป็นไป ความไม่มีโทษ
อนวชฺชตา จ ผาสุ วิหาโร จ และการอยู่ผาสุก จักมีแก่เรา.
ครั้นทำกิจด้วยน้ำเสร็จแล้ว ก็สงบจิตพิจารณาถึงความลำบากในการ
แสวหาภัต สักครู่หนึ่ง ในเวลาปุเรภัต พิจารณาอย่างไร ในปัจฉา-
ภัตก็อย่างนั้น
มนสิการอยู่ ซึ่งกรรมฐานนั่นแหละตลอดปุริมยาม และ
ปัจฉิมยาม.
ภิกษุนี้ ท่านเรียกว่า ย่อมนำกรรมฐานไป และย่อมนำกรรมฐาน
กลับ แล.

ก็ภิกษุผู้บำเพ็ญคตปัจจาคตวัตร กล่าวคือ การนำกรรมฐานไปและนำ
กรรมฐานกลับนี้ ถ้าเธอมีอุปนิสสัยอันถึงพร้อมแล้ว ย่อมบรรลุพระอรหัต
ในปฐมวัยนั่นแหละ ถ้าไม่บรรลุในปฐมวัยก็จะบรรลุในมัชฌิมวัย ถ้าไม่บรรลุ
ในมัชฌิมวัยก็จะบรรลุในปัจฉิมวัย ถ้าในปัจฉิมวัยไม่บรรลุ ก็จะบรรลุใน
มรณสมัย (เวลาใกล้ตาย) ถ้าไม่บรรลุในมรณสมัย เกิดเป็นเทพบุตรแล้ว
ย่อมบรรลุ ถ้าเป็นเทพบุตรแล้วไม่บรรลุ เมื่อพระพุทธเจ้ายังมิได้ทรงอุบัติขึ้น
เธอเกิดขึ้นแล้วย่อมกระทำให้แจ้งซึ่งปัจเจกโพธิ ถ้าไม่ทำให้แจ้งซึ่งปัจเจกโพธิ
ย่อมจะเป็นผู้ตรัสรู้เร็วพลันเสมอต่อพระสาวกทั้งหลายผู้ตรัสรู้แล้ว เหมือน
พระพาหิยทารุจิริยเถระ. หรือเป็นผู้มีปัญญามากเหมือนพระสารีบุตร หรือเป็น
ผู้มีฤทธิ์มากเหมือนพระมหาโมคคัลลานะ หรือเป็นผู้ทรงธุดงค์คุณเหมือน
พระมหากัสสปเถระ หรือเป็นผู้มีทิพยจักษุ เหมือนพระอนุรุทธเถระ หรือ
เป็นผู้ทรงพระวินัยเหมือนพระอุบาลีเถระ หรือเป็นพระธัมมกถึกเหมือนพระ-
ปุณณมันตานีบุตร หรือเป็นผู้อยู่ป่าเป็นวัตรเหมือนพระเรวตเถระ หรือจะเป็น

พหูสูตเหมือนพระอานนทเถระ หรือเป็นผู้ใคร่ต่อการศึกษาเหมือนพระราหุล-
พุทธบุตร. ในกรรมฐานอันประกอบด้วยหมวด 4 นี้ ภิกษุใด ย่อมนำ
กรรมฐานไปด้วย ย่อมนำกรรมฐานกลับมาด้วย โคจรสัมปชัญญะของเธอ
ชื่อว่า ถึงสุดยอด แล.
ก็การไม่หลงลืมในอิริยาบถทั้งหลาย มีการก้าวไปข้างหน้าเป็นต้น
ชื่อว่า อสัมโมหสัมปชัญญะ บัณฑิตพึงทราบข้อนั้น ดังต่อไปนี้
ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เมื่อก้าวไปข้างหน้า หรือถอยมาข้างหลัง ไม่
หลงใหลอยู่ เหมือนปุถุชนผู้อันธพาลหลงใหลอยู่ว่า อัตตา ย่อมก้าวไปใน
อิริยาบถทั้งหลายมีการก้าวไปข้างหน้าเป็นต้น การก้าวไปสำเร็จได้
ด้วยอัตตา
หรือว่า เราย่อมก้าวไป การก้าวไปสำเร็จได้ด้วยเรา ดังนี้
อันที่จริงครั้นเมื่อจิตเกิดขึ้นว่า เราจักก้าวไป ดังนี้. วาโยธาตุอันมีจิตเป็น
สมุฏฐานเกิดขึ้น กับด้วยจิตนั้นนั่นแหละ ยังการเคลื่อนไหวให้เกิดขึ้นอยู่.
ด้วยอาการอย่างนี้ โครงกระดูกอันสมมติว่ากายนี้ ย่อมก้าวไป ด้วยสามารถ
แห่งการแผ่ไปของวาโยธาตุ อันเกิดจากการทำของจิต. เมื่อการยกเท้าขึ้นข้าง
หนึ่ง อยู่อย่างนี้ ธาตุทั้งสอง คือ ปฐวีธาตุ อาโปธาตุ มีประมาณต่ำ มีกำลัง
น้อย ธาตุทั้งสอง นอกจากนี้ (คือ วาโยธาตุ เตโชธาตุ) มีปริมาณมาก มี
กำลังมาก. การยกเท้าไป หรือไปแล้ว ก็เหมือนกัน. ในการลดเท้าลง ธาตุ
ทั้งสอง คือ เตโชธาตุ วาโยธาตุ มีประมาณต่ำ มีกำลังน้อย ส่วนธาตุทั้งสอง
นอกนี้ มีประมาณมาก มีกำลังมาก. ในการวางเท้าลง และการยับยั้งเท้าไว้
ก็เหมือนกัน. ในการเป็นไปนี้ รูปธรรมและอรูปธรรมทั้งหลายซึ่งเป็นไปใน
การยกเท้าขึ้นนั้น (เกิดดับไปแล้ว) ย่อมไม่ถึงการนำเท้าไป. รูปธรรมและ
อรูปธรรมทั้งหลายที่เป็นไปในขณะนำเท้าไปนั้น ย่อมไม่ถึงการนำเท้าไปแล้ว.

รูปธรรมและอรูปธรรมทั้งหลายในขณะก้าวเท้าไปแล้ว ย่อมไม่ถึงการลดเท้าลง.
รูปธรรมและอรูปธรรมทั้งหลายที่เป็นไปในขณะลดเท้าลง ย่อมไม่ถึงการวาง
เท้าลง. รูปธรรมและอรูปธรรมทั้งหลายในขณะวางเท้าลง ย่อมไม่ถึงการยับยั้ง
เท้าไว้. รูปธรรมและอรูปธรรมทั้งหลาย ในที่นั้น ๆ นั่นแหละ เป็นส่วน
หนึ่ง ๆ เป็นสนธิหนึ่ง ๆ เป็นเขตหนึ่ง ๆ ย่อมแตกทำลายไป ราวกะเมล็ด
งาที่เขาใส่ในกระเบื้องร้อน ส่งเสียงดัง ตะตะ ฉะนั้น. ในการเป็นไปเช่นนี้
มีใครหรือที่ก้าวไป หรือว่า เป็นการก้าวไปของใคร.
อันที่จริง เมื่อ
ว่าโดยปรมัตถ์แล้ว เป็นการไปของธาตุทั้งหลายเท่านั้น เป็นการยืนของธาตุ
ทั้งหลาย เป็นการนั่งของธาตุทั้งหลาย เป็นการนอนของธาตุทั้งหลาย (หมาย
ความว่า เป็นอาการของธาตุทั้งหลายเท่านั้น). ด้วยว่าในโกฏฐาสนั้น ๆ จิต
ดวงหนึ่งเกิดขึ้นกับด้วยรูปทั้งหลาย จิตดวงหนึ่งย่อมดับไป คุจกระแสน้ำซึ่ง
เกี่ยวเนื่องตามกันไปไม่ขาดสายเป็นไปอยู่ ฉะนั้น. การไม่หลงใหลในอิริยาบถ
ทั้งหลาย มีการก้าวไปข้างหน้า เป็นต้น ด้วยอาการอย่างนี้ ชื่อว่า อสัมโมห-
สัมปชัญญะ
ฉะนี้แล.
จบเนื้อความแห่งบทว่า อภิกฺกนฺเต ปฏิกฺกนฺเต สมฺปชานการี
โหติ
เพียงนี้.
อธิบาย อาโลกิเต (การแลไปข้างหน้า) วิโลกิเต (การแลดู
ข้าง ๆ)

ในคำว่า อาโลกิเต วิโลกิเต นี้ การเพ่งดูข้างหน้า ชื่อว่า อาโลกิตะ.
การเพ่งดูทิศน้อยทั้งหลาย ชื่อว่า วิโลกิตะ. แม้การเพ่งดูทิศอื่น ๆ ด้วยสามารถ
แห่งการเพ่งดูข้างล่าง ข้างบน ข้างหลัง ก็ชื่อว่า โอโลกิตะ (ดูข้างล่าง) อุล-
โลกิตะ
(ดูข้างบน) อปโลกิตะ (ดูข้างหลัง). การแลดู 3 อย่างนั้น ท่านมิ

ได้ถือเอา ในคำว่า อาโลกิเต วิโลกิเต นี้ ด้วยว่า การแลดูสองอย่างนี้
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงถือเอาแล้วด้วยสามารถแห่งความเหมาะสม. อีกอย่าง
หนึ่ง เมื่อว่าโดยหัวข้อที่เป็นประธานแล้ว การแลดูเหล่านั้น แม้ทั้งหมดก็รวม
อยู่ในคำว่า อาโลกิเต วิโลกิเต นี้แหละ.
ในบรรดาการแลดูเหล่านั้น เมื่อจิตเกิดขึ้นว่า เราจักแลดูข้างหน้า
ดังนี้ มิได้แลดูด้วยสามารถสักแต่จิตเท่านั้น ต้องกำหนดถือเอาประโยชน์ด้วย
จึงชื่อว่า สาตถกสัมปชัญญะ.
สาตถกสัมปชัญญะนั้น บัณฑิตพึงทราบโดยทำท่านพระนันทะให้
เป็นองค์พยานดังนี้.

พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสไว้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ถ้าพระนันทะ
จะพึงแลดูทิศเบื้องหน้าไซร้ พระนันทะก็จะพิจารณาธรรมทั้งปวงแล้วแลดูทิศ
ข้างหน้า เพราะว่าเมื่อแลดูทิศข้างหน้าอยู่อย่างนี้ ธรรมทั้งหลายอันเป็นอกุศล
อันลามก คืออภิชฌาและโทมนัส จักไม่ไหลไปตาม ด้วยอาการอย่างนี้แล
ชื่อว่า เป็นผู้มีความรู้สึกตัวทั่วพร้อมในธรรมอันเป็นไปกับด้วยประโยชน์ (หรือ
ชื่อว่า สาตถกสัมปชานะ).
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ถ้าพระนันทะ จะพึงแลดูทิศเบื้องหลัง (ตะวันตก)
ไซร้. จะพึงแลดูทิศเหนือ. จะพึงแลดูทิศใต้. จะพึงแลดูเบื้องล่าง. เบื้องบน.
จะพึงแลดูทิศน้อย นันทะก็จะพิจารณาธรรมทั้งปวงแล้ว จึงแลดูทิศน้อยอยู่
เพราะว่า เมื่อแลดูทิศน้อยอยู่อย่างนี้..... ย่อมเป็นผู้ชื่อว่า มีสัมปชานะ (คือ
มีความรู้สึกตัวทั่วพร้อมในประโยชน์) ดังนี้.
อีกอย่างหนึ่ง แม้ในคำว่า อาโลกิเต วิโลกิเต นี้ บัณฑิตพึงทราบ
โดยความเป็นไปกับด้วยประโยชน์ และความเป็นไปแห่งสัปปายะ ด้วยสามารถ

แห่งการเห็นพระเจดีย์เป็นต้น ตามที่กล่าวไว้ในก่อนนั่นแหละ. ก็โคจรสัมป-
ชัญญะ มิได้เว้นจากกรรมฐาน. เพราะฉะนั้น บัณฑิตพึงทำการแลดูข้างหน้า
การแลดูข้าง ๆ ด้วยกรรมฐานสีสะนั่นแหละ โดยความสามารถแห่งกรรมฐาน
อันเป็นของตน มีขันธ์ ธาตุ อายตนะ เป็นที่ตั้ง. ก็ภายในแห่งร่างกายนี้
ชื่อว่า อัตตา เป็นผู้แลดูข้างหน้า หรือแลดูข้างหลัง มิได้มีเลย. ก็แต่ว่า
เมื่อจิตเกิดขึ้นว่า จักแลดูข้างหน้า ดังนี้ วาโยธาตุ อันมีจิตเป็นสมุฏฐาน
กับด้วยจิตนั้นนั่นแหละ ยังความเคลื่อนไหว (วิญญัติรูป) แห่งรูปให้เกิดขึ้น
ทันทีนั้นเอง หนังตาอันเป็นส่วนเบื้องล่าง ก็จมลงข้างล่าง หนังตาอันเป็นส่วน
เบื้องบน ก็จะเลิกขึ้นไปเบื้องบน ด้วยอำนาจแห่งการแผ่ขยายไปของวาโยธาตุ
อันเป็นการกระทำของจิต. ใคร ๆ ชื่อว่า เปิด (ตา) อยู่ด้วยเครื่องยนต์ มิได้
มี. ในลำดับนั้น จักขุวิญญาณ ก็เกิดขึ้นยังทัสสนกิจให้สำเร็จอยู่ การรู้อย่าง
นี้ ชื่อว่า อสัมโมหสัมปชัญญะ ในข้อว่า อาโลกิเต วิโลกิเต นี้.
ก็อีกอย่างหนึ่ง พึงทราบ อสัมโมหสัมปชัญญะในที่นี้ ด้วยสามารถ
แห่งความเป็น มูลปริญญา อาคันตุกะ และตาวกาลิกะ ต่อไป.
ว่าโดยมูลปริญญา (ความรอบรู้ถึงมูล) ก่อน
ภวงฺคมาวชฺชนญฺเจว ทสฺสนํ สมฺปฏิจฺฉนํ
สนฺตีรณํ โวฏฺฐพฺพนํ ชวนํ ภวติ สตฺตมํ.

แปลว่า ภวังคจิต อาวัชชนจิต จักขุวิญญาณจิต สัมปฏิจฉนจิต
สันตีรณจิต โวฏฐัพพนจิต จากนั้นชวนจิต ย่อมเกิด 7 ครั้ง.
บรรดาจิตเหล่านั้น ภวังคจิต ย่อมยังกิจอันเป็นส่วนแห่งอุปปัตติภพ
ให้สำเร็จเป็นไป เพราะการดับไปซึ่งภวังค์นั้น กิริยามโนธาตุ จึงยังอาวัชชน-
กิจให้สำเร็จเป็นไป. เพราะการดับไปแห่งกิริยามโนธาตุนั้น จักขุวิญญาณจิต

จึงยังทัสสนกิจให้สำเร็จเป็นไป. เพราะการดับไปแห่งจักขุวิญญาณจิต วิปาก-
มโนธาตุ จึงยังสัมปฏิจฉนกิจให้สำเร็จเป็นไป. เพราะการดับไปแห่งวิปากมโน-
ธาตุนั้น วิปากมโนวิญญาณธาตุ จึงยังสันตีรณกิจให้สำเร็จเป็นไป เพราะ
การดับไปแห่งวิปากมโนวิญญาณธาตุนั้น กิริยามโนวิญญาณธาตุ จึงยังโวฏ-
ฐัพพนกิจให้สำเร็จเป็นไป. เพราะการดับไปแห่งกิริยามโนวิญญาณธาตุนั้น
ชวนจิต จึงแล่นไป 7 ครั้ง.
ในชวนจิตเหล่านั้น การแลดูข้างหน้า ๆ หรือแลดูข้าง ๆ ว่า นี้เป็น
หญิง นี้เป็นชาย ด้วยสามารณแห่งความยินดี ยินร้าย และความหลงใหล
ย่อมไม่มีแม้ในชวนจิตดวงที่หนึ่ง. แม้ในชวนจิตที่ 2 ฯลฯ แม้ในชวนจิตที่
7. ก็ครั้นเมื่อชวนจิตเหล่านั้นแตกทำลายไป ด้วยสามารถแห่งการแตกดับตั้ง
แต่ต้นจนสุดท้าย ราวกะว่าทหารในสนามรบถูกทำลายไปอยู่ การแลดูข้างหน้า
หรือการแลดูข้าง ๆ ว่า นี้เป็นหญิง นี้เป็นชาย ด้วยสามารถแห่งความยินดี
เป็นต้น จึงมี.
บัณฑิตพึงทราบอสัมโมหสัปชัญญะในที่นี้ ด้วยสามารถแห่งมูลปริญญา
ด้วยประการฉะนี้ก่อน.
ว่าด้วยความเป็นแห่งอาคันตุกะ (ด้วยสามารถแห่งความเป็นดัง
แขกผู้มาหา)
ก็ในจักขุทวาร ครั้นเมื่อรูปมาสู่คลองแล้ว โดยการเคลื่อนไปแห่ง
ภวังค์ในเบื้องบน บรรดาจิตทั้งหลาย มีอาวัชชนจิตเป็นต้น เกิดขึ้น ด้วย
สามารถแห่งการยังกิจของตน ๆ ให้สำเร็จแล้วก็ดับไป ในที่สุดชวนจิตก็เกิดขึ้น.
วนจิตนั้น ย่อมเกิดในจักขุทวารอันเป็นเรือน ของอาวัชชนจิตเป็นต้น ซึ่ง
เกิดขึ้นก่อน เหมือนบุรุษผู้เป็นแขก (ผู้จรมา). เมื่อบุรุษผู้เป็นแขกนั้นเข้าไป

เพื่อจะขออะไร ๆ ในบ้านของผู้อื่น ไม่ควรทำร้ายแม้ในเจ้าของแห่งบ้าน ผู้
นั่งนิ่งเฉยอยู่ ฉันใด แม้เมื่ออาวัชชนจิตเป็นต้น อันไม่ยินดี ไม่ยินร้าย และ
ไม่หลง ในจักขุทวารอันเป็นเรือนของอาวัชชนจิตเป็นต้น ความยินดี ความ
ยินร้าย ความหลงใหล ก็ไม่ควรมี ฉันนั้น. พึงทราบอสัมโมหสัมปชัญญะ
ด้วยสามารถแห่งความเป็นอาคันตุกะ ดังพรรณนามาฉะนี้.
ว่าด้วยความเป็นตาวกาลิกะ (คือเป็นธรรมชั่วขณะหนึ่ง)
ก็จิตทั้งหลาย มีโวฏฐัพพนจิตเป็นปริโยสานเหล่าใดนั้น ย่อมเกิดขึ้น
ในจักขุทวาร จิตเหล่านั้นกับสัมปยุตธรรมทั้งหลาย ย่อมแตกดับไปในที่นั้นๆ
นั่นแหละ ย่อมไม่เห็นซึ่งกันและกัน เพราะฉะนั้น จิตอันใดอันหนึ่งเหล่านี้
จึงชื่อว่า เป็นตาวกาลิกะ คือ เป็นธรรมชั่วขณะหนึ่ง บัณฑิตพึงทราบ
วินิจฉัยในข้อนั้น ดังต่อไปนี้.
เมื่อหมู่มนุษย์ทั้งปวงในบ้านหลังหนึ่งตายแล้ว เวลา (อายุ) ของชน
คนเดียวที่ยังเหลืออยู่ ซึ่งก็จะมีความตายเป็นธรรมดา เขาชื่อว่า ย่อมยินดียิ่ง
ในการฟ้อนรำขับร้องเป็นต้น เป็นสิ่งไม่ควรมี ฉันใด ในทวารหนึ่ง ก็ฉัน
นั้นนั่นแหละ เมื่ออาวัชชนจิตเป็นต้นพร้อมด้วยสัมปยุตตธรรม ตายไปแล้วใน
ที่นั้น ๆนั่นแหละ ในขณะของจิตที่ยังเหลืออยู่นั้น ซึ่งก็มีความตายเป็นธรรมดา
ชื่อว่า ย่อมยินดียิ่ง ด้วยสามารถแห่งความยินดียินร้ายและความหลงใหล แม้
ของชวนจิตก็หาควรจะมีไม่. พึงทราบ อสัมโมหสัมปชัญญะ ด้วยสามารถแห่ง
ความเป็นธรรมชั่วขณะหนึ่ง ดังพรรณนามาฉะนี้.
อีกอย่างหนึ่ง พึงทราบ อสัมโมหสัมปชัญญะนั้น ด้วย
สามารถแห่งการพิจารณาโดยความเป็นขันธ์ อายตนะ ธาตุและปัจจัย.
จริงอยู่ในการพิจารณาโดยความเป็นขันธ์นั้น ดังนี้.

จักษุ และรูปทั้งหลาย เป็น รูปขันธ์
จักขุวิญญาณที่ทำทัสสนกิจ เป็น วิญญาณขันธ์
เวทนาอันสัมปยุตด้วยจักขุวิญญาณนั้น เป็น เวทนาขันธ์
สัญญา เป็น สัญญาขันธ์
ผัสสะ เป็นต้น เป็น สังขารขันธ์
ด้วยประการฉะนี้ การแลดูไปข้างหน้าและการแลดูข้าง ๆ
เป็นเพราะการประชุมกันแห่งขันธ์ 5 เหล่านี้ จึงปรากฏเกิดขึ้นได้.
ในที่นี้ มีใครสักคนหนึ่งหรือ ที่แลดูไปข้างหน้า หรือย่อมแลดูข้าง ๆ.
โดยทำนองเดียวกัน ย่อมพิจารณาโดยความเป็นอายตนะ คือ

จักษุ เป็น จักขวายตนะ
รูป เป็น รูปายตนะ
จักขุวิญญาณที่ทำทัสสนกิจ เป็น มนายตนะ
ธรรมที่สัมปยุตด้วยจักขุวิญญาณ
มีเวทนาเป็นต้นนั้น เป็น ธัมมายตนะ
โดยประการฉะนี้ การแลดูไปข้างหน้าและการแลดูข้าง ๆ
ย่อมปรากฏเกิดขึ้นได้เพราะการประชุมกันแห่งอายตนะ 4 เหล่านั้น.
ในที่นี้ จะมีใครสักคนหรือที่แลดูข้างหน้า หรือแลดูข้าง ๆ. โดย
ความเป็นธาตุก็เหมือนกันนั่นแหละ คือ

จักษุ เป็น จักขุธาตุ
รูป เป็น รูปธาตุ
จักขุวิญญาณ เป็น จักขุวิญญาณธาตุ
ธรรมที่สัมปยุตด้วยจักขุวิญญาณมีเวทนาเป็นต้นนั้น เป็น ธัมมธาตุ.

ด้วยอาการอย่างนี้ การแลดูข้างหน้า การแลดูข้าง ๆ ในเพราะการ
ประชุมกัน แห่งธาตุ 4 เหล่านั้น จึงปรากฏขึ้น ในที่นี้ ใครเล่าที่แลดูข้างหน้า
หรือแลดูข้าง ๆ. ว่าโดยความเป็นปัจจัย ก็เช่นเดียวกัน คือ
จักษุ เป็น นิสสยปัจจัย
รูป เป็น อารัมมณปัจจัย
อาวัชชนจิต เป็น อนันตระ สมนันตระอนันตรูปนิสสยะนัตถิวิคตปัจจัย
อาโลกะ (แสงสว่าง) เป็น อุปนิสสยปัจจัย
เวทนา เป็นต้น เป็น สหชาตปัจจัย เป็นต้น
ด้วยประการฉะนี้ จึงปรากฏเป็นการแลดูข้างหน้า แลดูข้างๆ
ในเพราะการประชุมกันแห่งปัจจัยทั้งหลายเหล่านี้. ในที่นี้ มีใคร
เล่าสักคนหนึ่งหรือที่แลดูข้างหน้า แลดูข้าง ๆ ดังนี้. พึงทราบ
อสัมโมหสัมปชัญญะ ในคำว่าอาโลกิเต วิโลกิเต นี้ แม้ด้วยความ
สามารถแห่งการพิจารณาเป็นขันธ์ อายตนะ ธาตุ และความเป็น
ปัจจัย ดังพรรณนามาฉะนี้ แล.

อธิบาย สมฺมิญฺชิเต ปสาริเต สมฺปชานการี โหติ
(แปลว่า เป็นผู้รู้ชัดอยู่โดยปกติ ในการคู้อวัยวะเข้า และเหยียด
อวัยวะออก)
คำว่า สมฺมิญฺชิเต ปสาริเต ได้แก่ การคู้อวัยวะเข้า และการ
เหยียดอวัยวะออก แห่งข้อต่อทั้งหลาย. ในที่นี้ ภิกษุไม่ได้ทำการคู้และการ
เหยียดอวัยวะด้วยสามารถแห่งจิตเท่านั้น ต้องกำหนดถึงประโยชน์และสิ่งมิใช่
ประโยชน์ในเพราะการคู้และการเหยียดแห่งข้อมือข้อเท้าเป็นปัจจัย แล้วกำหนด
ถือเอาแต่ประโยชน์ในการคู้เข้าเหยียดออกนั้นได้ ชื่อว่า สาตถกสัมปชัญญะ.

พึงทราบวินิจฉัย ในข้อนี้ต่อไป.
เมื่อภิกษุนั้น คู้อวัยวะแห่งข้อมือและข้อเท้านานเกินไป หรือว่าเหยียด
ออกนานเกินไป ทุกขเวทนา ย่อมเกิดขึ้นทุก ๆ ขณะ จิตย่อมไม่ได้เอกัคคตา
กรรมฐานก็ย่อมตกไป ย่อมไม่บรรลุคุณวิเศษ.
ก็ถ้าเมื่อภิกษุนั้น คู้อวัยวะเข้าในเวลาอันควร เมื่อเหยียดอวัยวะออก
ในเวลาอันควร ทุกขเวทนาย่อมไม่เกิด จิตย่อมเป็นธรรมชาติสงบ กรรมฐาน
ย่อมถึงการแผ่ไป ย่อมบรรลุคุณวิเศษ พึงทราบกำหนดประโยชน์และสิ่ง
ที่มิใช่ประโยชน์อย่างนี้ ด้วยประการฉะนี้. ก็ครั้นเมื่อประโยชน์แม้มีอยู่ การ
กำหนดสัปปายะ แล้วถือเอาแต่สัปปายะ ชื่อว่า สัปปายสัมปชัญญะ.
ในการคู้อวัยวะเข้าและการเหยียดอวัยวะออกนั้น มีนัยดังนี้.
ได้ยินว่า ภิกษุหนุ่มทั้งหลาย สาธยายพุทธพจน์อยู่ที่ลานพระมหา-
เจดีย์ ภิกษุณีทั้งหลาย กำลังฟังธรรมอยู่ข้างหลังภิกษุหนุ่มนั้น. บรรดาภิกษุ
เหล่านั้น ภิกษุหนุ่มรูปหนึ่ง เหยียดมือออกไปถูกต้องกายนางภิกษุณีสาวแล้ว
จึงเป็นเหตุให้เธอต้องลาสิกขาไปเป็นคฤหัสถ์. อีกรูปหนึ่ง เมื่อเหยียดเท้าออก
ไป ก็เหยียดไปที่กองไฟ ไฟไหม้เท้าของเธอจนจดกระดูก. อีกรูปหนึ่งเหยียด
ไปที่จอมปลวก เธอได้ถูกอสรพิษกัดเอาแล้ว. อีกรูปหนึ่ง เหยียดออกไปที่
ราวจีวร ก็ถูกงูเขียวกัดแล้ว. เพราะฉะนั้น ภิกษุไม่พึงเหยียดมือเหยียดเท้าใน
อสัปปายะเห็นปานนี้ ควรเหยียดออกไปในสัปปายะ. นี้ชื่อว่า สัปปาย-
สัมปชัญญะ
ในข้อนี้ แล.
ว่าด้วยโคจรสัมปชัญญะ
ก็โคจรสัมปชัญญะ บัณฑิตพึงแสดงด้วยเรื่องของพระมหาเถระ
ดังนี้.

ได้ยินว่า พระมหาเถระ นั่งพักในที่พักในเวลากลางวัน สนทนา
กันอยู่กับอันเตวาสิกทั้งหลาย เผลอเหยียดมือออกไปโดยเร็ว แล้วก็ชักมือกลับ
มาวางไว้ที่เดิมแล้วก็ค่อย ๆ เหยียดออกไป. พวกอันเตวาสิก ถามท่านว่า
เพราะอะไรขอรับ ท่านเหยียดมือออกไปโดยเร็ว แล้วชักมือมาวางไว้ที่เดิมอีก
แล้วค่อย ๆ เหยียดออกไป. ท่านตอบว่า ดูก่อนท่านผู้มีอายุทั้งหลาย จำเดิม
แต่เราเริ่มเพื่อมนสิการกรรมฐาน เราไม่เคยเหยียดมือออกไปพ้นจากกรรมฐาน
แต่บัดนี้ เรากำลังสนทนากับพวกเธออยู่ปล่อยกรรมฐานเหยียดมืออกไปแล้ว
เพราะฉะนั้นจึงชักมือกลับมาวางไว้ตามเดิมแล้วจึงเหยียดไปอีก. พวกอันเตวาสิก
เหล่านั้น พากันสาธุการว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ดีแล้ว ธรรมดาภิกษุพึงเป็น
เช่นนี้.
แม้ในคำว่า สมฺมิญฺชิเต ปสาริเต นี้ พึงทราบว่าเป็นสภาวะไม่
เว้นจากกรรมฐานนั่นแหละ ด้วยอาการอย่างนี้ คือ
ธรรมดาว่า อัตตาอะไร ๆ ในภายใน คู้อวัยวะเข้า หรือเหยียดอวัยวะ
ออก มิได้มี ก็การกำหนดว่า การคู้อวัยวะเข้า การเหยียดอวัยวะออก
ย่อมมีได้ ด้วยการแผ่ไปของวาโยธาตุ อันเป็นการกระทำของจิตมี
ประการตามที่กล่าวแล้ว เป็นเหมือนหุ่นยนต์เคลื่อนไหวเท้าและมือ
ได้ ด้วยสามารถแห่งการดึงเส้นด้าย
ฉะนั้น ในลักษณะอย่างนี้ จึงชื่อว่า
อสัมโมหสัมปชัญญะ.
ในข้อว่า สงฺฆาฏิปตฺตจีวรธารเณ นี้ (แปลว่า เป็นผู้รู้ชัดอยู่โดยปกติ
ในการทรงผ้าสังฆาฏิ บาตร และจีวร) การใช้สอยสังฆาฏิและจีวรด้วยสามารถ
แห่งการนุ่งห่ม และการใช้บาตรด้วยสามารถแห่งการรับภิกษา ชื่อว่าการทรงไว้.
บัณฑิตพึงทราบการทรงผ้าสังฆาฏิและจีวรในข้อว่า สงฺฆาฏิปตฺตจีวรธารเณ
นี้ก่อน.

พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสประโยชน์ในการทรงผ้าไว้มีประการต่างๆโดย
นัยเป็นต้นว่า การได้อามิสของภิกษุผู้นุ่งห่มแล้วเที่ยวไปเพื่อบิณฑะ เพื่อ
ป้องกันความหนาว เป็นต้นอย่างนี้ ชื่อว่าประโยชน์ และพึงทราบว่า เป็น
สาตถกสัปชัญญะ ด้วยสามารถแห่งประโยชน์นั้น.
อนึ่ง จีวรเนื้อละเอียด เป็นสัปปายะแก่ภิกษุผู้มีปกติร้อน มีกำลัง
ทราม. จีวรเนื้อหนาผ้าสองชั้น เป็นสัปปายะแก่ผู้มีปกติหนาว. นอกนี้เป็น
อสัปปายะ. ผู้มีจีวรเก่าคร่ำคร่า ก็เป็นอสัปปายะเช่นกัน. เพราะว่า จีวรเก่า
ผืนนั้น ย่อมกระทำปลิโพธิให้แก่เธอโดยต้องดามไว้เป็นต้น. โดยทำนองเดียว
กัน จีวรอันเป็นที่ยินดีพอใจของโจรทั้งหลาย มีผ้าทุกูล (ผ้าชนิดดี ) ซึ่งทํา
ด้วยไหม และขนสัตว์เป็นต้น ก็เป็นอสัปปายะ. จริงอยู่ ผ้าเช่นนั้น ย่อม
กระทำอันตรายแก่ภิกษุผู้นุ่งห่มคนเดียวอยู่ในป่าหรือย่อมทำอันตรายต่อชีวิตของ
เธอก็ได้. อนึ่ง เมื่อว่าโดยนิปปริยายแล้ว จีวรใด เกิดขึ้นด้วยสามารถแห่ง
มิจฉาชีวะ มีการทายนิมิตเป็นต้น และจีวรใด เมื่อเธอเสพอยู่ อกุศลธรรม
ทั้งหลายย่อมเจริญ กุศลธรรมทั้งหลายย่อมเสื่อมไป จีวรนั้น ๆ เป็น อสัปปายะ.
นอกจากนี้เป็น สัปปายะ.
ในข้อว่า สงฺฆาฏิปตฺตจีวรธารเณ นี้ ชื่อว่า เป็นสัปปายสัมปชัญญะ
ด้วยสามารถแห่งการทรงผ้าสังฆาฏิและจีวรอันเป็นสัปปายะนั้น. ทั้งโคจรสัมป-
ชัญญะ ก็พึงทราบว่าไม่เว้นจากกรรมฐานเหมือนกัน คือ
ชื่อว่า อัตตา คือ ตัวตนอะไร ๆ ในภายในทำการห่มอยู่ซึ่ง
จีวร มิได้มี.
ก็แต่ว่า การห่มจีวรย่อมมีด้วยสามารถแห่งการแผ่ไปแห่ง
วาโยธาตุ อันเป็นการกระทำของจิต มีประการตามที่กล่าวแล้วนั่นแหละ. ในการ
ทรงจีวรนั้น แม้จีวรก็ไม่มีเจตนา แม้กายก็ไม่มีเจตนา. ทั้งจีวรก็ไม่รู้ว่า เรา

ห่มกายไว้ แม้กายเล่า ก็ย่อมไม่รู้ว่า เราถูกจีวรห่มไว้ ดังนี้. ว่าโดย
สภาวะ ธาตุทั้งหลายเหล่านั้น ย่อมปกปิดซึ่งหมู่แห่งธาตุด้วยกัน
เหมือนการห่อหนังสือ ด้วยท่อนผ้าเก่า ๆ
เพราะฉะนั้น การที่ภิกษุได้
จีวรชนิดดีมา ก็ไม่พึงโสมนัส ได้จีวรชนิดไม่ดีมา ก็ไม่พึงโทมนัส. เหมือน
อย่างว่า ในสถานที่ทั้งหลายมีจอมปลวก และต้นไม้ใหญ่เป็นต้น ใคร ๆ ย่อม
ทำสักการะที่นั้น ๆ ด้วยวัตถุทั้งหลายมีเครื่องประดับด้วยดอกไม้และของหอม
เป็นต้นก็ดี ไม่ทำสักการะโดยขว้างปาด้วยคูถ มูตร เปือกตม หรือประหารด้วย
ท่อนไม้และศัสตราเป็นต้นก็ดี จอมปลวกและต้นไม้เป็นต้นเหล่านั้น ย่อมไม่
โสมนัส ด้วยสิ่งนั้น ๆ ฉันใด ภิกษุก็ฉันนั้นนั่นแหละ ได้จีวรอย่างดีก็ไม่
ทำความพอใจ ได้จีวรไม่ดีก็ไม่ทำความเสียใจ. บัณฑิตพึงทราบว่า เป็น
อสัมโมหสัมปชัญญะในการนุ่งห่มจีวรในที่นี้ ด้วยสามารถแห่งการพิจารณา
ความเป็นไป ดังพรรณามาฉะนี้.
แม้ในการทรงบาตร ภิกษุก็ไม่ถือบาตรโดยเร็วเกินไป เมื่อถือเอา
บาตรเที่ยวไปเพื่อบิณฑะ โดยหวังว่า เราจักได้ภิกษา ดังนี้ เพราะการถือเอา
บาตรอย่างนี้ ดังพรรณนามาฉะนี้ พึงทราบว่าเป็น สาตถกสัมปชัญญะ ด้วย
อำนาจประโยชน์อันตนควรได้. บาตรหนัก เป็นอสัปปายะแก่ภิกษุผู้มีร่างกาย
ผอม ไม่มีกำลัง. บาตรที่ทำความสะอาดไม่ดี มีตุ่มสนิมขึ้น 4- 5 ตุ่ม เป็น
อสัปปายะ เพราะว่าบาตรที่ภิกษุทำความสะอาดไม่ดี ไม่สมควรแก่ภิกษุ เพราะ
ว่าปลิโพธิ (ความกังวล) ย่อมมีแก่เธอผู้ชำระบาตรนั้นอยู่ทีเดียว. อนึ่ง บาตร
มีสีเหมือนแก้วมณี อันเป็นที่ตั้งแห่งโลภะ เป็นอสัปปายะ เหมือนนัยที่กล่าว
ไว้ในเรื่องของจีวรนั้นแหละ. ก็บาตรที่ได้มาด้วยสามารถแห่งการทายนิมิต
(หมอดู) เป็นต้นก็ดี เมื่อเธอเสพบาตรใด อกุศลธรรมทั้งหลายย่อมเจริญ

กุศลธรรมทั้งหลายย่อมเสื่อมก็ดี บาตรนี้ เป็นอสัปปายะโดยส่วนเดียว. บาตร
นอกจากนี้ เป็นสัปปายะ.
ในการทรงบาตรนี้ ชื่อว่า เป็นสัปปายสัมปชัญญะ ด้วยสามารถแห่ง
สัปปายะนั้น ๆ. และพึงทราบว่า เป็นโคจรสัมปชัญญะ โดยไม่เว้นจากกรรม-
ฐานเหมือนกันคือ
ขึ้นชื่อว่า ตัวตน (อัตตา) อะไรในภายใน ถืออยู่ซึ่งบาตร หามีไม่.
ด้วยว่า การถือบาตรย่อมมีได้ด้วยสามารถแห่งการแผ่ไปแห่งวาโยธาตุ อันเป็น
การกระทำของจิต มีประการตามที่กล่าวแล้วนั่นแหละ.
ในฐานะเช่นนี้ แม้บาตรก็ไม่มีเจตนา แม้มือก็ไม่มีเจตนา. บาตรย่อม
ไม่รู้ว่า เราถูกมือถือเอาไว้แล้ว แม้มือเล่า ก็ย่อมไม่รู้ว่า บาตรอันเราถือไว้
แล้ว ดังนี้ (เมื่อมีผู้ถามแทรกมาว่า เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ใครเล่าเป็นผู้ถือ และ
ถืออะไร) ก็ธาตุทั้งหลายนั่นแหละ ย่อมถือหมู่ธาตุด้วยกัน ดุจการใช้คีมเหล็ก
คีบบาตรที่ลนไฟ. พึงทราบอสัมโมหสัมปชัญญะ ในข้อว่า การทรงบาตร นี้
ด้วยสามารถแห่งการพิจารณาความเป็นไป ดังพรรณนามาฉะนี้.
อีกอย่างหนึ่ง บุรุษผู้เปี่ยมด้วยความกรุณา เห็นคนอนาถา มีมือ
และเท้าอันขาดแล้ว มีน้ำเลือดน้ำหนองไหลออกมากับหมู่หนอน ที่ศาลาคน
อนาถา อันเกลื่อนกล่นแล้วด้วยแมลงวันหัวเขียว จึงน้อมไป (ส่ง) ซึ่งวัตถุ
ทั้งหลาย มีผ้าสำหรับพันแผล และยาสำหรับรักษา ด้วยกระเบื้อง (ภาชนะ
ใส่ของ) เพื่อชนอนาถาเหล่านั้น ในสิ่งของเหล่านั้น บางคนย่อมได้ผ้าพันแผล
เนื้อละเอียด บางคนได้เนื้อหยาบ แม้กระเบื้องใส่เภสัชก็เหมือนกัน บางคน
ได้ของดี บางคนได้ของเลว เขาเหล่านั้น ย่อมไม่ดีใจ ไม่เสียใจ ด้วยว่า
ความต้องการของเขาด้วยผ้าเพียงปกปิดแผลเท่านั้น และด้วยกระเบื้องก็เพียง

เป็นเครื่องรองรับเภสัชนั่นแหละ ฉันใด ข้อนี้ก็ฉันนั้นนั่นแหละ ภิกษุใด
ย่อมกำหนด (พิจารณา) จีวร ดุจผ้าพันแผล และกำหนดพิจารณาบาตร ดุจ
กระเบื้องเพื่อใส่เภสัช และกำหนดพิจารณาภิกษาอันได้แล้วในบาตร ดุจเภสัช
ในกระเบื้อง. ภิกษุนี้ บัณฑิตพึงทราบว่า เป็นผู้มีปกติทำสัมปชัญญะอันอุดม
ด้วยอสัมโมหสัมปชัญญะในการทรงผ้าสังฆาฏิ บาตร และจีวร แล.
พึงทราบวินิจฉัย ในคำว่า อสิเต เป็นอาทิ.
คำว่า อสิเต ได้แก่ ในการกินอาหาร คือก้อนข้าวที่ตกไปในบาตร
เป็นต้น (อาหารบิณฑบาต).
คำว่า ปีเต ได้แก่ การดื่ม มีข้าวยาคูเป็นต้น.
คำว่า ขายิเต ได้แก่ การกัดเคี้ยวอาหารแข็งอันทำด้วยแป้งเป็นต้น.
คำว่า สายิเต ได้แก่ การเลียลิ้มรสน้ำผึ้งน้ำอ้อยเป็นต้น.
ในการกินอาหารเป็นต้นนั้น ประโยชน์แม้ทั้ง 8 อย่าง ที่พระผู้มี-
พระภาคเจ้าตรัสไว้โดยนัยว่า เราจักไม่กินเพื่อเล่น เป็นต้น ชื่อว่า ประ-
โยชน์. และพึงทราบสาตถกสัมปชัญญะ ด้วยสามารถแห่งการกินอันเป็น
ประโยชน์นั้น.
ก็บรรดาอาหารทั้งหลาย อันเลว อันประณีต มีรสขม รสหวาน
เป็นต้น ภิกษุใด ไม่มีความผาสุก ด้วยอาหารชนิดใด อาหารนั้นจัดเป็น
อสัปปายะแก่เธอ. อนึ่ง อาหารใด ที่เธอได้มาด้วยสามารถแห่การทายนิมิต
(หมอดู) เป็นต้นก็ดี ภิกษุฉันอาหารใดอยู่ อกุศลธรรมทั้งหลายย่อมเกิด
กุศลธรรมทั้งหลายย่อมเสื่อมไปก็ดี อาหารนั้น ๆ เป็น อสัปปายะโดยแท้ ๆ
อาหารตรงกันข้ามกับที่กล่าวมา เป็น สัปปายะ. ในที่นี้ พึงทราบว่า เป็น
สัปปายสัมปชัญญะ ด้วยสามารถแห่งการกินอาหารอันเป็นสัปปายะนั้น ๆ และ

พึงทราบว่าเป็น โคจรสัมปชัญญะ ด้วยสามารถแห่งการไม่เว้นจากกรรมฐาน
คือ
ชื่อว่า ตัวตนอะไร ๆ (อัตตา) ภายในบริโภคอาหารอยู่หามีไม่ ด้วย
ว่า ชื่อว่า การจับบาตรย่อมมีเพราะการแผ่ไปแห่งวาโยธาตุอันเป็นการกระทำ
ของจิต. ชื่อว่า การหยั่งมือลงในบาตร ย่อมมี เพราะการแผ่ไปของวาโยธาตุ
อันเป็นการกระทำของจิตนั่นแหละ. การทำคำข้าว การยกคำข้าวเข้าปาก การ
เปิดปาก ก็ย่อมมีเพราะการแผ่ไปของวาโยธาตุอันเป็นการกระทำของจิต.
มิได้มีใครเปิดขากรรไกรด้วยกุญแจ หรือด้วยเครื่องยนต์อะไร ๆ เพราะการ
แผ่ไปของวาโยธาตุอันมีจิตเป็นสมุฏฐานนั่นแหละ จึงวางคำข้าวในปากได้ จาก
นั้น ฟันเบื้องบนก็ทำหน้าที่ให้สำเร็จดุจสาก ฟันเบื้องล่างก็ยังหน้าที่ให้สำเร็จ
ดุจครก ทั้งลิ้นก็ทำหน้าที่ให้สำเร็จได้ดังมือ. น้ำลายใสที่ปลายลิ้นน้ำลายข้นที่
โคนลิ้น ย่อมคลุกเคล้ากับอาหารในที่นั้น ๆ ด้วยประการฉะนี้ คำข้าวนั้นจึง
เป็นไปในครก คือ ฟันเบื้องล่าง เปียกชุ่มด้วยน้ำลาย แหลกละเอียดแล้วด้วย
สากคือ ฟันเบื้องบน ชื่อว่า ใคร ๆ ใส่คำข้าวไปภายในด้วยช้อน หรือทัพพี
หามีไม่. วาโยธาตุเท่านั้น ย่อมให้อาหารเข้าไปภายใน ชื่อว่า ใครๆให้
คำข้าวที่เข้าไปแล้ว ๆ ให้ทรงอยู่ กระทำให้เคลื่อนไปสู่ความเป็นกาก ก็ไม่มี
คำข้าวนั้นย่อมตั้งอยู่ได้ ด้วยสามารถแห่งวาโยธาตุเท่านั้น ใคร ๆ ชื่อว่า
เตาก่อไฟหุงข้าวอยู่อย่างนั้นก็ไม่มี เตโชธาตุนั่นแหละย่อมยังอาหารนั้น ๆ ให้.
สุกอยู่. ชื่อว่า ใคร ๆ นำอาหารที่สุกแล้ว ๆ ออกไปด้วยท่อนไม้ หรือปลาย
ไม้เท้าก็ไม่มี. วาโยธาตุนั้นแหละ ย่อมนำออกไป ด้วยประการฉะนี้ จึงกล่าว
ได้ว่า

วาโยธาตุ ย่อมนำอาหารนั้นให้เข้าไปภายใน ทั้งไม่ให้เข้าไปก็ได้
ย่อมทรงอาหารนั้นไว้ ย่อมให้เคลื่อนไหว ย่อมขยี้ ย่อมให้แห้ง และย่อม
นำออกไปภายนอก.
ปฐวีธาตุ ย่อมช่วยให้อาหารทรงอยู่ ย่อมให้เปลี่ยนแปลง ย่อมให้
แหลก ย่อมให้แห้ง ย่อมนำออก.
อาโปธาตุ ย่อมทำอาหารให้เป็นยาง ย่อมทำให้เปียกชุ่ม ย่อมรักษา
อาหารนั้น.
เตโชธาตุ ย่อมให้อาหารที่เข้าไปภายในสุก.
อากาศธาตุ ย่อมเป็นทางแห่งอาหารลงไป.
วิญญาณธาตุ อาศัยประกอบความเพียรโดยชอบในที่นั้นๆ แล้วบริ-
โภคอาหารดังนี้.
ในข้อว่า การกิน เป็นต้นนี้ พึงทราบว่า ชื่อว่า อสัมโมหสัมป-
ชัญญะ ด้วยสามารถแห่งการพิจารณาความเป็นไปอย่างนี้.
อีกอย่างหนึ่ง ในที่นี้ พึงทราบว่า ชื่อว่า อสัมโมหสัมปชัญญะ แม้
โดยความพิจารณาความเป็นของปฏิกูล 10 อย่าง คือ
1. โดยการเดินไป
2. โดยการแสวงหา
3. โดยการบริโภค
4 โดยการที่อาศัย (อาหารที่เข้าไปในนั้นย่อมเปื้อนด้วยของ 4
อย่าง อย่างใดอย่างหนึ่ง คือ เปื้อนด้วยน้ำดีบ้าง ด้วยเสมหะบ้าง ด้วยน้ำเหลือง
บ้าง ด้วยเลือดบ้าง มิได้เว้นใครเลยสักคนเดียว)

5. โดยความสั่งสม (กระเพาะอาหาร คือ เมื่อเปื้อนด้วยของ 4
อย่างแล้วก็ลงไปพักอยู่ที่กระเพาะอาหาร อันเป็นดุจหลุมมูตร คูถ)
6. โดยความเป็นของยังไม่ย่อย
7. โดยความเป็นของที่ย่อยแล้ว
8. โดยความเป็นผล (หมายถึงอาหารที่ย่อยแล้ว ก็ผลิผลไปเป็น
ผม ขน เป็นต้น ส่วนที่ย่อยไม่ดีก็ก่อให้เกิดโรคนับด้วยร้อยชนิด)
9. โดยความไหลออก
10. โดยความเปรอะเปื้อน.
ส่วนถ้อยคำพิสดารในที่นี้ บัณฑิตพึงทราบและศึกษาในคัมภีร์วิสุทธิ-
มรรค ซึ่งว่าโดยนิทเทสแห่งอาหารปฏิกูลสัญญา เถิด.
พึงทราบวินิจฉัยใน อุจฺจารปสฺสาวกมฺเม ต่อไป
คำว่า อุจฺจารปสฺสาวกมฺเม ได้แก่ในการถ่ายอุจจาระและปัสสาวะ.
ในที่นี้ เมื่อบุคคลใดไม่ทำการถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ. ในเวลาที่ควร
แล้ว เหงื่อทั้งหลายย่อมไหลออกจากสรีระ ตาทั้งสองย่อมมืดมัว จิตย่อมไม่
ตั้งมั่น โรคต่าง ๆ ย่อมเกิดขึ้น. แต่เมื่อทำการถ่ายตามปกติแล้ว เหตุทั้งปวง
นั้น ย่อมไม่เกิดขึ้น ดังนี้. นี้ชื่อว่า เป็นประโยชน์ ในการถ่ายอุจจาระปัสสาวะ.
พึงทราบว่า ชื่อว่า เป็นสาตถกสัมปชัญญะ ด้วยสามารถแห่งการถ่ายอุจจาระ
ปัสสาวะนั้น.
อนึ่ง เมื่อทำการถ่ายอุจจาระปัสสาวะในที่อันไม่ควร ย่อมต้องโทษ
ทางพระวินัย ย่อมเลื่อมจากยศ (คือ ชื่อเสียง) ย่อมเป็นอันตรายต่อชีวิตก็ได้.
เมื่อทำการถ่ายในที่อันควร เหตุทั้งหมดเหล่านั้น ย่อมไม่เกิดขึ้น เพราะฉะนั้น
ข้อนี้ จึงชื่อว่า เป็นสัปปายะ. ในข้อว่า อุจฺจารปสฺสาวกมฺเม นี้ ชื่อว่า

เป็นสัปปายสัมปชัญญะ ด้วยสามารถแห่งสัปปายะนั้น. พึงทราบว่า เป็นโคจร
สัมปชัญญะ ด้วยสามารถแห่งการไม่เว้นจากกรรมฐานนั้นแหละ คือ
ชื่อว่า อัตตาไร ๆ ในภายในการทำการถ่ายอุจจาระปัสสสาวะอยู่หามี
ไม่. ก็เพราะการแผ่ไปแห่งวาโยธาตุอันมีจิตเป็นสมุฏฐานนั่นแหละ การถ่าย
อุจจาระปัสสาวะ จึงมีได้. เหมือนอย่างว่า ครั้นเมื่อหัวฝีสุกงอมแล้ว เพราะ
การตกไปแห่งหัวฝีนั้น หนองและเลือดจึงไหลออก โดยที่มิต้องประสงค์จะให้
มันออก มันก็ออก ฉันใด หรือเหมือนอย่างว่า น้ำย่อมไหลออกจากภาชนะ
ของน้ำอันบุคคลเทให้ล้นแล้ว โดยมิประสงค์จะให้น้ำนั้นออกฉันใด
อุจจาระในกระเพาะอาหาร หรือปัสสาวะในกระเพาะปัสสาวะ ก็ฉัน
นั้น อุจจาระและปัสสาวะอันสะสมไว้แล้ว ถูกเบียดเบียน ด้วยกำลังแห่งลมใน
กระเพาะ ก็ย่อมออกไป แม้มิพึงประสงค์จะให้ออกก็ตามที มันย่อมออกไป
ด้วยอำนาจของวาโยธาตุ. ก็อุจจาระปัสสาวะนี้นั้น หาใช่เป็นของภิกษุนั้นไม่
ทั้งมิใช่ของใครอื่น. อุจจาระปัสสาวะนั้นเป็นของปฏิกูลที่หลั่งไหลออกจากสรีระ
ตามธรรมดาเท่านั้น. เปรียบเหมือนอะไรเล่า เหมือนบุคคลเทน้ำเก่า
จากหม้อน้ำ น้ำเก่านั้นก็มิใช่เป็นของหม้อน้ำนั้น ทั้งมิใช่เป็นของ
ใครอื่น สักว่าเป็นการดำเนินไปตามเหตุปัจจัย
ฉันใด ในข้อนี้ บัณฑิต
พึงทราบว่า เป็นอสัมโมหสัมปชัญญะ ด้วยสามารถแห่งการใคร่ครวญตามความ
เป็นไปฉันนั้น.
พึงทราบวินิจฉัยในคำว่า คเต เป็นอาทิ.
คำว่า คเต ได้แก่ ในการเดิน.
คำว่า ฐิเต ได้แก่ ในการยืน.
คำว่า นิสินฺเน ได้แก่ ในการนั่ง.

คำว่า สุตฺเต ได้แก่ ในการนอน. (คำว่า สุตฺเต ซึ่งแปลว่าใน
การหลับนี้ ในที่นี้ท่านอธิบายว่า ได้แก่ในการนอน ท่านใช้คำว่า สยเน).
ในการเดินเป็นต้นนั้น บัณฑิตพึงทราบการทำสัมปชัญญะ ด้วยนัยที่
กล่าวไว้ในการก้าวไปข้างหน้า เป็นต้น.
อีกนัยหนึ่ง พึงทราบในการเดินเป็นต้นต่อไป ดังนี้.
ความย่อว่า ภิกษุ 2 รูป รูปหนึ่ง เมื่อเธอเดินไป ก็คิดอย่างอื่น
ตรึกอยู่อย่างอื่น ไปอยู่ โดยทำนองเดียวกัน เมื่อยืนก็ดี เมื่อนั่งก็ดี เมื่อนอน
ก็ดี ก็คิดอย่างอื่น ตรึกถึงอย่างอื่น ย่อมยืนอยู่ นั่งอยู่ นอนอยู่อย่างนั้น.
ส่วนภิกษุอีกรูปหนึ่ง ไม่สละกรรมฐานเลย ทั้งเดิน ทั้งยืน ทั้งนั่ง ทั้งนอน.
แต่อาจารย์บางพวก อธิบายว่า กรรมฐานยังมิได้ปรากฏด้วยการจงกรมมี
ประมาณเพียงเท่านี้.
จริงอยู่ ภิกษุใดก้าวลงสู่ที่จงกรม ก้าวไปจนถึงที่สุดแห่งการจงกรม
ก็กำหนดกรรมฐาน ว่า
รูปธรรมและอรูปธรรมทั้งหลาย อันเป็นไปในที่สุดแห่งการจงกรมทาง
ด้านทิศตะวันออก ย่อมดับไปก่อน ๆ ที่จะถึงที่อันเป็นที่สุดแห่งการจงกรมทิศ
ตะวันตกทีเดียว. รูปธรรมและอรูปธรรมทั้งหลาย แม้เป็นไปในที่สุดแห่งการ
จงกรมด้านทิศตะวันตก ก็ย่อมดับไปก่อน ๆ ที่จะถึงที่สุดแห่งที่เป็นที่จงกรม
ทางด้านทิศตะวันออกนั่นแหละ. รูปธรรมและอรูปธรรมทั้งหลาย อันเป็นไป
ในท่ามกลางอันเป็นไปในท่ามกลางที่อันเป็นที่จงกรม ก็ย่อมดับไปก่อน ไม่ทัน
ถึงที่สุดทั้งสอง (ทั้งข้างหน้าข้างหลัง) ย่อมดับไปในท่ามกลางที่อันเป็นที่จงกรม
นั่นแหละ. รูปธรรมและอรูปธรรมทั้งหลาย อันเป็นไปในการก้าว ย่อมดับไป
ในการก้าวนั่นแหละ ไม่ทันถึงการยืน. รูปธรรมและอรูปธรรมทั้งหลาย อัน

เป็นไปในการยืนเล่า ก็ดับไปในการยืนนั่นแหละไม่ทันถึงการนั่ง ฯลฯ ย่อม
ดับไปในการนั่งนั่นแหละ ไม่ทันถึงการนอน ดังนี้ เมื่อเธอกำหนดอยู่ กำหนด
อยู่ อย่างนี้นั่นแหละ จิตย่อมหยั่งลงสู่ภวังค์. เมื่อให้กรรมฐานตั้งขึ้นแล้ว
ก็ถือเอากรรมฐานนั้นแหละให้ตั้งอยู่ต่อไป.
ภิกษุนี้ ชื่อว่า ผู้มีปกติทำสัมปชัญญะในข้อว่า ในการเดิน เป็นต้น.
ส่วนกรรมฐานในการหลับ มิได้แจ่มแจ้งอย่างนี้ กรรมฐานอันมิแจ่ม
แจ้ง ภิกษุไม่ควรกระทำ. เพราะฉะนั้น ภิกษุใด ย่อมสามารถเพียงใด ก็
กำหนดก้าวไปเพียงนั้น กำหนดยืนอยู่แล้ว นั่งแล้วเพียงนั้น เมื่อนอน กำหนด
อย่างนี้ แล้วจึงนอน คือ
กายก็ไม่มีเจตนา เตียงก็ไม่มีเจตนา กายย่อมไม่รู้ว่า เรานอนบนเตียง.
แม้เตียงเล่า ก็ย่อมไม่รู้ว่า กายอันเรานอนแล้ว ดังนี้ เมื่อกำหนดอย่างนี้ว่า
กายไม่มีเจตนา นอนแล้วบนเตียงอันไม่มีเจตนา ดังนี้ กำหนดอยู่บ่อย ๆ จิต
ย่อมหยั่งลงสู่ภวังค์. เมื่อตื่นก็ถือเอากรรมฐานนั่นแหละ ย่อมตื่นอยู่. ภิกษุนี้
ชื่อว่า มีปกติทำสัมปชัญญะในการนอน (ในการหลับ) ดังนี้.
คำว่า ชาคริเต แปลว่า ในการตื่น. ในข้อนี้ เมื่อภวังคจิต (ใน
การหลับ) ยังเป็นไปอยู่ ชื่อว่าการตื่นย่อมไม่มี ภิกษุกำหนดว่า เมื่อจิตควร
แก่การทำงานเป็นไปอยู่ ชื่อว่า การตื่นย่อมมี ดังนี้ ชื่อว่า มีปกติทำสัมปชัญญะ
ในการตื่น. อีกอย่างหนึ่ง ภิกษุแบ่งกลางคืนและกลางวันออกเป็น 6 ส่วน แม้
เอาใจใส่อยู่ 5 ส่วน ก็ชื่อว่า มีปกติทำสัมปชัญญะในการตื่น.
คำว่า ภาสิเต แปลว่า ในการพูด. ในข้อนี้ เมื่ออุปาทายรูป คือ
สัททายตนะ ไม่มีอยู่ ชื่อว่า การพูดยังไม่มี ภิกษุกำหนด สัททายตนะ

ซึ่งเป็นไปอยู่ ชื่อว่า มีปกติทำสัมปชัญญะในการพูด. ภิกษุแสดงธรรม โดย
วิมุตตายตนสีสะอยู่ก็ดี กล่าวกถาอันอาศัยเรื่อง กถาวัตถุ 10 อย่าง เพื่อละ
ติรัจฉานกถา 32 อย่างก็ดี ชื่อว่า มีปกติทำสัมปชัญญะในการพูด.
คำว่า ตุณฺหีภาเว ได้แก่ การนิ่ง การไม่พูด. ในข้อนี้ เมื่ออุปาทายรูป
คือสัททายตนะยังเป็นไปอยู่ ชื่อว่า ความเป็นผู้นิ่งก็มิได้มี. ภิกษุไม่กำหนด
ความเป็นไปแห่งสัททายตนะนั้น ชื่อว่า มีปกติทำสัมปชัญญะในความเป็นผู้นิ่ง
ในบรรดาอารมณ์กรรมฐาน 38 ประการนั้น (เว้นอากาศและอาโลกกสิณ)
ภิกษุถือเอากรรมฐานตามความพอใจ นั่งอยู่ก็ดี เข้าทุติยฌานก็ดี ชื่อว่า เป็น
ผู้มีปกติทำสัมปชัญญะในความเป็นผู้นิ่ง.
อนึ่ง ในนิทเทสแห่งฌานวิภังค์นี้ อิริยาบถหนึ่ง มาแล้วในฐานทั้งสอง
(ท่านแสดงไว้ 2 อย่าง) คือ
ในข้อว่า อภิกฺกนฺเต (การก้าวไปข้างหน้า) ปฏิกฺกนฺเต (การ
ถอยกลับมาข้างหลัง) ที่กล่าวไว้ก่อนนั้น บัณฑิตพึงทราบว่า ท่านกล่าวหมาย
เอา ภิกษุผู้เดินทางไปสู่บ้านเพื่อภิกขาจาร และทั้งการเดินกลับมา ด้วยสามารถ
แห่งการเดินทางไกล. ส่วนในข้อว่า คเต (ในการเดิน) ฐิเต (ในการยืน)
นิสินฺเน (ในการนั่ง) พึงทราบว่า ท่านกล่าวด้วยสามารถแห่งอิริยาบถ 4
คือ ในการก้าวเท้าไปเล็ก ๆ น้อย ๆ ในวิหาร.
บรรดาคำเหล่านั้น คำว่า กตมา สติ (แปลว่า สติเป็นไฉน) เป็น
ต้น มีเนื้อความตื้นทั้งนั้น.
ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า ย่อมทรงแสดงประโยชน์อะไร ด้วย
คำว่า โส วิวิตฺตํ (เเปลว่า ภิกษุนั้นอาศัยเสนาสนะอันสงัด).

ตอบว่า ย่อมทรงแสดงเสนาสนะอันเป็นสัปปายะ อันเป็นวิถีแห่งการ
ประกอบความเพียร อันเป็นที่เข้าไปนั่งของภิกษุนั้น.
จริงอยู่ คุณทั้งหลายมีประมาณเท่านี้ของภิกษุใดมีอยู่ในภายใน ภิกษุ
นั้นสมควรอยู่ป่า. แต่ถ้าคุณเหล่านั้น ไม่มีแก่ภิกษุใด ภิกษุนั้นก็ไม่ควรอยู่ป่า.
แต่ถ้าคุณเหล่านั้น ไม่มีแก่ภิกษุใด ภิกษุนั้นก็ไม่ควรอยู่ป่า. เพราะว่าการอยู่
ป่าของภิกษุเห็นปานนี้ ย่อมเป็นเช่นกับการอยู่ในดงของสัตว์ร้ายทั้งหลาย มี
ลิงดำ หมี เสือดาว และเสือเหลือง เป็นต้น.
ถามว่า เพราะเหตุไร ?
ตอบว่า เพราะความที่ภิกษุนั้น เข้าไปอาศัยอยู่ตามความปรารถนา
ด้วยว่า ประโยชน์ไร ๆ อันมีการอยู่ป่าเป็นเหตุของภิกษุนั้นไม่มี เธอ
ย่อมประทุษร้ายการอยู่ป่าด้วย และประทุษร้ายป่าทั้งหลายด้วย ทั้งย่อมยังความ
ไม่เลื่อมใสให้เกิดขึ้นแก่พระพุทธศาสนา. ส่วนภิกษุใด มีคุณมีประมาณเท่านี้
ในภายใน ภิกษุนั้นสมควรอยู่ป่า. เพราะว่าภิกษุนั้น อาศัยการอยู่ป่า เริ่มตั้ง
วิปัสสนาแล้วถือเอาพระอรหัต ย่อมปรินิพพาน ชื่อว่า ย่อมทำป่าทั้งสิ้นให้
งาม ย่อมทำศีรษะแห่งป่าทั้งหลายให้สะอาด ย่อมทำคำสั่งสอนของพระชินเจ้า
ทั้งสิ้น ให้แผ่ออกไป. เพราะฉะนั้น พระศาสดา เมื่อทรงแสดงเสนาสนะอันเป็น
สัปปายะ อันเป็นวิถีแห่งความเพียรอันเป็นที่เข้าไปนั่งของภิกษุเห็นปานนี้ จึง
ตรัสคำเป็นต้นว่า โส วิวิตฺตํ เสนาสนํ ภชติ ดังนี้ (แปลว่า ภิกษุนั้น
อาศัยเสนาสนะอันสงัด).
บรรดาคำเหล่านั้น คำว่า วิวิตฺตํ ได้แก่ เป็นเสนาสนะว่างเปล่า
มีเสียงน้อยคือมีเสียงกึกก้องน้อย ก็เพื่อแสดงเนื้อความนั้นนั่นแหละ พระผู้มี-
พระภาคเจ้า จึงตรัสว่า ตญฺจ อนากิณฺณํ เป็นอาทิ. บรรดาคำเหล่านั้น

คำว่า อนากิณฺณํ ได้แก่ ไม่เกลื่อนกล่นแล้ว คือไม่ถูกเบียดเบียน. ในที่นี้
การอาศัยภูเขา อาศัยป่า อาศัยแม่น้ำโดยรอบประมาณคาวุตหนึ่งก็ดี กึ่งโยชน์
ก็ดีแห่งเสนาสนะใด ทั้งใคร ๆ ไม่สามารถเพื่อเข้าไปในเวลาอันไม่สมควร
เสนาสนะนี้ ชื่อว่า ไม่เกลื่อนกล่นแล้วแม้ในที่ใกล้. เสนาสนะใดห่างไกลมี
ประมาณกึ่งโยชน์ หรือประมาณหนึ่งโยชน์ เสนาสนะนี้ ชื่อว่า ไม่เกลื่อน
กล่นแล้วในที่ไกล. .
ภิกษุย่อมนอนและย่อมนั่ง ในที่นี้ เพราะเหตุนั้น ที่นี้ จึงชื่อว่า
เสนาสนะของภิกษุ. เพื่อแสดงประเภทแห่งเสนาสนะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า
จึงตรัสคำว่า มญฺโจ (เตียง) ปีฐํ (ตั่ง) เป็นอาทิ.
บรรดาคำเหล่านั้น คำว่า มญฺโจ ได้แก่ เตียง 4 ชนิด คือ
1. เตียงมีแม่แคร่สอดเข้าในขา
2. เตียงมีแม่แคร่เนื่องเป็นอันเดียวกับขา
3. เตียงมีขาเหมือนก้ามปู
4. เตียงมีขาจดแม่แคร่ซึ่งถอดออกได้
ตั่งก็เหมืนกัน. คำว่า ภิสี ได้แก่ ที่นอน 5 ชนิด คือ
1. ที่นอนทำด้วยขนสัตว์
2. ที่นอนทำด้วยท่อนผ้า
3. ที่นอนทำด้วยเปลือกไม้
4. ที่นอนทำด้วยใบไม้
5. ที่นอนทำด้วยหญ้า
หมอนหนุนศีรษะ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า เสนาสนะ คือ หมอน.
หมอนนั้น ว่าโดยส่วนกว้างมีประมาณหนึ่งคืบสี่นิ้ว สมควร. โดยส่วนยาว

ประมาณสมควรแก่ความกว้างของเตียง. คำว่า วิหาโร (แปลว่า เสนาสนะ
คือ วิหาร) ได้แก่ เสนาสนะที่ท่านแสดงไว้ คือเสนาสนะที่เป็นที่พักในเวลา
กลางวันและที่พักในเวลากลางคืน อันเป็นสถานที่รอบ ๆ บริเวณ. คำว่า
อฑฺฒโยโค (แปลว่า เสนาสนะ คือ เพิง) ได้แก่ เรือนมีรูปโค้งดังครุฑ.
คำว่า ปาสาโท (แปลว่า เสนาสนะ คือ ปราสาท) ได้แก่ ปราสาทยาว ที่เขา
ทำเป็น 2 ยอด (หรือ 2 ช่อฟ้า). คำว่า อฏฺโฏ (เสนาสนะ คือ ป้อม) ได้
แก่ ที่พักอยู่พิเศษ มี 4-5 ชั้น มีฝาหนาที่เขาก่อด้วยอิฐ เพื่อป้องกันศัตรูมี
พระราชาผู้เป็นปรปักษ์กันเป็นต้น. คำว่า มาโฬ (เสนาสนะ คือ โรง) ได้
แก่ โรงมีรูปกลม เช่นกับโรงฉันอาหาร. ในอรรถกถาพระวินัย ท่านกล่าวว่า
เป็นปราสาทสี่เหลี่ยม สงเคราะห์เข้าในปราสาทมียอดเดียว คำว่า เลนํ
(เสนาสนะ คือ ที่เร้น) ได้แก่ เสนาสนะที่เขาขุดภูเขากระทำ หรือเสนาสนะ
ที่ทำกระท่อมในที่บางส่วนแห่งเงื้อมเขา. คำว่า คูหา (เสนาสนะ คือ ถ้ำ) ได้
แก่ในรอยแยกแห่งแผ่นดิน หรือในที่ใด สมควรตามประทีปไว้ทั้งกลางคืนและ
กลางวัน ในที่นั้น ชื่อว่า ถ้ำแห่งภูเขา หรือถ้ำแห่งแผ่นดิน. คำว่า รุกฺขมูลํ
(เสนาสนะคือโคนไม้) ได้แก่ ภายใต้ต้นไม้ ที่เขาล้อมรั้ว. คำว่า เวฬุคุมฺโพ
(เสนาสนะคือพุ่มไม้) ได้แก่ กอไม้ไผ่. ก็หรือว่า เตียงเป็นต้นที่ตั้งไว้โดยหวัง
ว่าภิกษุจะมา หรือในที่ใดพวกภิกษุย่อมประชุมกัน หรือที่ใดเป็นที่ควรประชุม
ของภิกษุเหล่านั้น ที่ทั้งหมดนั้น ก็จัดเป็นเสนาสนะ.
คำว่า ภชติ ได้แก่ เข้าถึงอยู่. ในข้อว่า สมฺภชติ นั้น ได้แก่ เป็น
ผู้ไม่เดือดร้อนด้วยอำนาจแห่งความยินดียิ่ง จึงชื่อว่า เข้าถึงอยู่ด้วยดี. บทว่า
เสวติ ได้แก่ ย่อมเสพด้วยสามารถแห่งการอยู่อาศัย. บทว่า นิเสวติ ได้แก่

ไม่เป็นผู้เดือนร้อน เข้าอาศัยอยู่แล้ว ชื่อว่า เสพอยู่. บทว่า สํเสวติ ได้แก่
เมื่อยังเสนาสนวัตรให้ถึงพร้อม ชื่อว่า เสพอยู่โดยชอบ.
บัดนี้ เพื่อแสดงประเภทแห่งบทว่า วิวิตฺตํ นั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า
จึงเริ่มคำว่า อรญฺญรุกฺขมูเล เป็นอาทิ.
พึงทราบวินิจฉัยในคำว่า อรญฺญํ ดังต่อไปนี้.
ว่าโดยปริยายแห่งพระวินัยก่อน คำว่า ป่า ท่านหมายเอาสถานที่เว้น
จากบ้านและอุปจาระแห่งบ้าน ที่เหลือ เรียกว่า ป่า. โดยปริยายแห่งพระสูตร
คำว่า ป่า ได้แก่ ป่าที่ภิกษุอาศัยอยู่ คือ เป็นเสนาสนะ. อันอยู่ห่างจากบ้าน
ประมาณ 500 ธนู ชื่อว่า ป่า. ก็พระวินัย และพระสูตรแม้ทั้งสอง ชื่อว่า
ปริยายเทศนา (คือป่าที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงโดยอ้อม). ส่วนพระอภิ-
ธรรม ชื่อว่า นิปปริยายเทสนา (คือป่าที่ทรงแสดงโดยตรง). เพื่อแสดงป่าโดย
ปริยายแห่งพระอภิธรรม พระผู้มีพระภาคเจ้า จึงตรัสคำว่า นิกฺขมิตฺวา พหิ
อินฺทขีลํ
ดังนี้. อธิบายว่า บริเวณนอกจากเสาเขื่อน ชื่อว่า ป่า.
อนึ่ง บรรดาเสนาสนะทั้งหลายมีโคนไม้เป็นต้น ชื่อว่าโคนไม้ เพราะ
เป็นสิ่งที่บุคคลรู้ได้โดยง่ายตามธรรมดา (ด้วยเหตุนั้น) จึงตรัสว่า รุกฺขมูลํ
เป็นอาทิ. คำว่า ปพฺพตํ คือ ภูเขา. จริงอยู่ ในข้อนี้ เมื่อภิกษุทำกิจด้วย
น้ำในสระตระพังหินเสร็จแล้ว นั่งพักอยู่ที่เงาไม้อันเย็น กระทบลมเย็นซึ่งพัด
มาจากทิศต่าง ๆ อยู่ จิตของเธอย่อมสงบ. วินิจฉัยในคำว่า กนฺทรํ น้ำ
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเรียกว่า กํ. ถามว่า ประเทศแห่งภูเขานั้น แยกออกไป
ด้วยอะไร ตอบว่า แยกออกไปด้วยน้ำ. อาจารย์บางพวก ย่อมกล่าวว่า ที่
นั้นเป็นที่ลาดบ้าง ว่าเป็นแอ่งน้ำบ้าง. จริงอยู่ ในที่นั้นมีเมล็ดทรายเช่น
กับแผ่นเงิน ป่าชัฏนั้นเป็นเช่นกับเพดานอันสำเร็จแล้วด้วยแก้วมณี. ภิกษุ

ก้าวลงสู่รอยแยกเห็นปานนี้ ดื่มน้ำที่ควรดื่ม ทำตัวให้เย็นสบาย ทำกองทราย
ให้สูงขึ้น จัดแจงผ้าบังสุกุลจีวรแล้วนั่งทำสมณธรรมอยู่ จิตของเธอย่อมสงบ.
คำว่า คิริคุหํ (แปลว่า ถ้ำในระหว่างภูเขา) คือ ถ้ำในระหว่าง
แห่งภูเขาทั้งสอง หรือว่าในภูเขาหนึ่งมีช่องใหญ่เช่นกับอุโมงค์. ลักษณะแห่ง
สุสาน ข้าพเจ้ากล่าวไว้แล้วในปกรณ์ชื่อ วิสุทธิมรรค.
คำว่า วนปตฺถํ (ดง) ได้แก่ สถานที่นอกจากหมู่บ้าน มิใช่ที่ใกล้
เคียงของพวกมนุษย์ คือ ในที่ ไม่มีการไถ การหว่าน. ด้วยเหตุนั้นนั่นแหละ
พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสเรียกชื่อเสนาสนะอันไกลนี้ว่า วนปตฺถํ เป็นต้น.
อีกอย่างหนึ่ง เพราะเสนาสนะมีโคนไม้เป็นต้น พระองค์ทรงแยกแสดงเสนาสนะ
อันไม่มีเสียงรบกวนนี้ไว้ต่างหาก ฉะนั้น บัณฑิตพึงทราบว่า พระผู้มีพระ-
ภาคเจ้ามิได้ทรงอธิบายคำนั้นตามลำดับแห่งบทที่พระองค์ทรงตั้งไว้ แต่ทรง
อธิบายไว้ในภายหลังแห่งคำทั้งปวง ดังนี้.
คำว่า อพโภกาสํ (แปลว่า ที่แจ้ง) คือสถานที่ไม่มีที่กำบัง. ก็ภิกษุ
ประสงค์ในที่เช่นนี้ ต้องทำให้เป็นเพิง ด้วยจีวรแล้วอยู่.
คำว่า ปลาลปุญฺชํ ได้แก่ กองฟาง. จริงอยู่ ภิกษุดึงฟางออก
จากกองฟางใหญ่แล้วทำให้เป็นที่อยู่ เช่นกับเงื้อมเขาและถ้ำ. แม้ภิกษุจะเอา
ฟางใส่ไว้บนพุ่มไม้เป็นต้นแล้วนั่งกายใต้กระทำสมณธรรมก็ได้. คำนี้ ท่าน
หมายเอาเสนาสนะ คือกองฟางนั้นแล.
ในวนปัตถนิทเทส (ในนิทเทสว่าด้วยดง) คำว่า สโลมหํสานํ ได้
แก่ ในที่ใด เมื่อเข้าไปแล้ว ขนพองสยองเกล้าย่อมเกิดขึ้น ที่เห็นปานนี้ ชื่อว่า
เสนาสนะประกอบด้วยความน่ากลัว.

คำว่า ปริยนฺตานํ ได้แก่ ชื่อว่า เสนาสนะ อันตั้งอยู่ปลายแดน
เพราะเป็นเสนาสนะไกล.
คำว่า น มนุสฺสุปจารานํ ได้แก่ เสนาสนะตั้งอยู่เลยป่าไป คือ ไม่มี
พวกมนุษย์ทำการไถและหว่าน.
คำว่า ทุรภิสมฺภวานํ ได้แก่ เสนาสนะที่บุคคลไม่อาจเพื่ออยู่อาศัย
โดยความยินดีชอบใจในวิเวกได้.
ในนิทเทสแห่งอัปปสัททะเป็นต้น. คำว่า อปฺปสทฺทํ ได้แก่ มีเสียง
น้อย (สถานที่ไม่มีเสียงรบกวน) โดยหมายถึงเสียงของคำพูด.
คำว่า อปฺปนิคฺโฆสํ ได้แก่ มีเสียงกึกก้องน้อย (ไม่มีเสียงอื้ออึง)
โดยหมายถึงเสียงกึกก้องของชาวพระนคร. ก็เพราะศัพท์ทั้งสองแม้นี้ เป็น
อย่างเดียวกันโดยอรรถแห่งศัพท์ ฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า จึงตรัสว่า
ยเทว ตํ อปฺปสทฺทํ ตเทว ตํ อปฺปนิคฺโฆสํ ดังนี้.
คำว่า วิชนวาตํ ได้แก่ เว้นจากลมแห่งสรีระแห่งชนผู้สัญจรมาใน
ภายหลัง. พระบาลีว่า วิชนวาทํ ดังนี้ ก็มี. อธิบายว่า เว้นแล้วจากการ
กล่าวของชนผู้อยู่ภายใน. ก็เพราะ เสนาสนะนั้นมีเสียงกึกก้องน้อย อันใด
เสนาสนะนั้นนั่นแหละ เว้นแล้วจากการสัญจรของชน และจากวาทะของชน
ฉะนั้นในนิทเทสของพระบาลีนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า ยเทว ตํ
อปฺปนิคฺโฆสํ ตเทว ตํ วิชนวาตํ
ดังนี้.
คำว่า มนุสฺสราหเสยฺยกํ ได้แก่ เป็นที่ตั้งแห่งการทำความลับของ
พวกมนุษย์. ก็เพราะเหตุที่เสนาสนะนั้นเว้นจากการสัญจรของประชุมชน ด้วย
เหตุนั้น ในนิทเทสแห่งพระบาลีนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้า จึงตรัสว่า ยเทว ตํ
วิชนวาตํ ตเทว ตํ มนุสฺสราหเสยฺยกํ
ดังนี้.

คำว่า ปฏิสลฺลานสารูปํ ได้แก่ เป็นเสนาสนะสมควรแก่วิเวก.
เพราะเสนาสนะนั้น เป็นที่อาศัยทำความลับของพวกมนุษย์ โดยนิยมนั่นแหละมี
อยู่ เพราะเหตุนั้น ในนิทเทสแห่งพระบาลีนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้า จึงตรัสว่า
ยเทว ตํ มนุสฺสราหเสยฺยกํ ตเทว ตํ ปฏิสลฺลานสารูปํ ดังนี้.
เสนาสนะ คือ ป่า ข้าพเจ้ากล่าวแล้วในนิทเทสแห่งคำว่า อรญฺญคตา
เป็นต้นนั่นแหละ. เสนาสนะ คือ โคนไม้ก็เหมือนกัน. ส่วนเสนาสนะแม้ทั้ง
หมดที่เหลือสงเคราะห์ด้วยสุญญาคาร.
คำว่า ปลฺลงฺกํ อาภุชิตฺวา (แปลว่า นั่งคู้บัลลังก์) ได้แก่ การนั่ง
คู้ขาโดยรอบ.
คำว่า อุชุํ กายํ ปณิธาย ได้แก่ ตั้งสรีระท่อนบนให้ตรง คือ ยัง
ที่ต่อแห่งที่ต่อในกระดูกสันหลัง 18 ข้อ ให้เป็นไปตามลำดับ. จริงอยู่ เมื่อ
ภิกษุนั้นนั่งอย่างนี้ หนัง เนื้อ และเอ็นทั้งหลาย ย่อมไม่โค้งงอ. ทีนั้น
เวทนาอันใดของเธอที่พึงเกิดขึ้น เพราะการน้อมไปแห่งสิ่งเหล่านั้น ย่อมไม่
เกิดขึ้น. เมื่อทุกขเวทนาเหล่านั้นไม่เกิดขึ้น จิตของเธอย่อมเป็นธรรมชาติสงบ
กรรมฐานย่อมไม่ตกไป ย่อมเจริญขึ้น คือ ย่อมเพิ่มขึ้น. ก็แม้คำว่า อุชุโก
โหติ กาโย ฐิโต ปณิหิโต
นี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ตรัสหมายเอาเนื้อความ
นี้เหมือนกัน.
คำว่า ปริมุขํ สตึ อุปฏฺฐเปตฺวา แปลว่า ตั้งสติมุ่งหน้าต่อกรรม-
ฐาน. อีกอย่างหนึ่ง อธิบายว่า กระทำสติในที่ใกล้ปาก ด้วยเหตุนั้นนั่นแหละ
พระผู้มีพระภาคเจ้า จึงตรัสว่า สตินี้ อันภิกษุ เข้าไปตั้งไว้แล้ว ตั้งไว้ดี
แล้วที่ปลายจมูก
หรือว่า ที่นิมิตเหนือปาก. ก็ในคำว่า มุขนิมิตฺตํ นี้
บัณฑิตพึงเห็นซึ่งประเทศในท่ามกลางแห่งริมฝีปากเบื้องบน คือว่า ลมแห่ง

นาสิกย่อมกระทบในที่ใด. อีกอย่างหนึ่ง คำว่า ปริ ได้แก่ มีการกำหนดเป็น
อรรถ. คำว่า มุขํ มีการนำออกไปเป็นอรรถ. คำว่า สติ มีการตั้งมั่นเป็น
อรรถ. ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า จึงตรัสว่า ปริมุขํ สตึ ดังนี้.
บัณฑิตพึงทราบในข้อนี้แม้โดยนัยที่กล่าวแล้วในปฏิสัมภิทา ฉะนั้น. ความ
สังเขป พึงทราบในที่นี้ว่า ภิกษุสมควรกำหนดกระทำสติ.
อภิชฌานิทเทสมีอรรถตื้นทั้งนั้น แล.
พึงทราบการพรรณนาโดยย่อในอภิชฌานิทเทส ดังนี้
ข้อว่า อภิชฺฌํ โลเก ปหาย (แปลว่า ละอภิชฌาในโลก) ได้แก่
โลก ชื่อว่า อุปาทานขันธ์ 5 เพราะอรรถว่า มีการเสื่อมและสลายไปเป็น
ธรรมดา. เพราะฉะนั้น ในข้อนี้ พึงทราบเนื้อความดังนี้ว่า ท่านละราคะ
ข่มกามฉันทะ ในอุปาทานขันธ์ 5 แล้ว. คำว่า วิคตาภิชฺเฌน (แปลว่า
จิตที่ปราศจากอภิชฌา) ได้แก่ ชื่อว่า มีอภิชฌาไปปราศแล้ว เพราะละได้แล้ว
ด้วยวิกขัมภนประหาณ. อธิบายว่ามีอภิชฌาไปปราศแล้ว เช่นกับด้วยจักขุ-
วิญญาณ หามิได้. คำว่า อภิชฺฌาย จิตตํ ปริโสเธติ (แปลว่า ชำระจิต
ให้บริสุทธิ์จากอภิชฌา) ได้แก่ ย่อมเปลื้องจิตจากอภิชฌา. อธิบายว่า อภิชฌา
นั้น ย่อมปล่อยซึ่งจิตนั้น ครั้นปล่อยแล้ว ย่อมไม่ถือเอาซึ่งจิตนั้นอีกโดย
ประการใด ภิกษุนั้น ย่อมกระทำโดยประการนั้น. ในนิทเทสบททั้งหลาย
พึงทราบเนื้อความอย่างนี้ว่า เมื่อเสพ ชื่อว่า ย่อมชำระซึ่งจิตนั้น เมื่อเจริญ
ชื่อว่า ย่อมยังจิตให้หมดจด เมื่อกระทำให้มาก ชื่อว่า ย่อมยังจิตให้บริสุทธิ์
แม้ในคำว่า โมเจติ (แปลว่า ให้พ้น) เป็นต้น ก็นัยนี้เหมือนกัน. บัณฑิต
พึงทราบเนื้อความโดยนัยนี้แหละ แม้แห่งคำทั้งหลาย มีคำว่า พยาปาท-
ปโทสํ ปหาย
(แปลว่า ละพยาบาท และประทุษร้าย) เป็นต้น.

จิต ย่อมพยาบาท ย่อมละปกติภาวะ ด้วยธรรมชาตินี้ เช่นกับขนม
กุมมาสบูดเป็นต้น เหตุนั้นธรรมชาตินี้ จึงชื่อว่า พยาปาทะ.
จิตใด ย่อมทำลาย หรือย่อมทำให้เสียหาย หรือย่อมพินาศไป เพราะ
ถึงการเปลี่ยนแปลง เพราะฉะนั้น จิตนั้นจึงชื่อว่า ปโทสะ (คือประทุษร้าย).
คำทั้งสองนี้ เป็นชื่อของความโกรธโดยแท้. ด้วยเหตุนั้น พระผู้มี-
พระภาคเจ้า จึงตรัสว่า โย พยาปาโท โส ปโทโส โย ปโทโส โส
พยาปาโท
(แปลว่า ความพยาบาทอันนั้น ชื่อว่า ความประทุษร้าย ความ
ประทุษร้ายอันนั้น ชื่อว่า ความพยาบาท) ดังนี้ ก็เพราะศัพท์นี้ ท่านยกขึ้น
แสดงแล้ว ด้วยสามารถแห่งการสงเคราะห์แก่สัตว์ทั้งปวง ฉะนั้น พระองค์
จึงไม่ตรัสว่า สพฺพปาณภูตหิตานุกมฺปี แต่ตรัสว่า อพฺยาปนฺนจิตฺโต
เพียงเท่านี้.
ความป่วยแห่งจิต ชื่อว่า ถีนะ. ความป่วยแห่งเจตสิก ชื่อว่า มิทธะ.
ถีนะด้วย มิทธะด้วย เรียกว่า ถีนมิทธะ.
สองบทว่า สนฺตา โหนฺติ (แปลว่า สงบ) ได้แก่ ธรรมทั้งสอง
คือถีนมิทธะเหล่านั้น ชื่อว่า สงบลงแล้ว เพราะความสงบลงด้วยนิโรธ. ในที่นี้
ท่านทำการแยกถ้อยคำไว้ โดยหมายเอาถีนมิทธะนี้.
คำว่า อาโลกสญฺญี (แปลว่า มีอาโลกสัญญา) ได้แก่ ผู้ประกอบ
ด้วยสัญญาอันบริสุทธิ์ ซึ่งมีนิวรณ์ไปปราศแล้ เพื่อสามารถอันจำอาโลกะ
อันตนเห็นแล้วในเวลาราตรีบ้าง ในเวลากลางวันบ้าง.
คำว่า สโต สมฺปชาโน (แปลว่า มีสติสัมปชัญญะ) ได้แก่ ผู้
ประกอบด้วยสติ และญาณ. ก็คำว่า จตฺตตฺตา (แปลว่า เพราะความที่ถีน-

มิทธะ... อันภิกษุนั้นสละแล้ว) เป็นต้น ในนิทเทสบทแห่งอาโลกสัญญา ซึ่ง
ปราศจากถีนมิทธะนั้น เป็นไวพจน์ของกันและกันทั้งนั้น
ในคำว่า จตฺตตฺตา ได้แก่ เป็นเหตุของผู้สละแล้ว . แม้ในบทที่
เหลือก็นัยนี้เหมือนกัน. อนึ่ง ในคำว่า จตฺตตฺตา นี้ พระผู้มีพระภาคเจ้า
ตรัสด้วยสามารถแห่งการสละโดยภาวะของตน. คำว่า วนฺตตฺตา (แปลว่า
คายแล้ว) นี้ ตรัสด้วยสามารถแห่งการแสดงโดยความเป็นผู้ไม่ยึดถือ. คำว่า
มุตฺตตฺตา (แปลว่า ปล่อยแล้ว) นี้ ตรัสด้วยอำนาจแห่งการหลุดพ้นจากการ
สืบต่อ. คำว่า ปหีนตฺตา (แปลว่า ละแล้ว ) นี้ ตรัสด้วยอำนาจแห่งความ
เป็นผู้ไม่มีที่เป็นที่ตั้งในที่ไหน ๆ ของผู้หลุดพ้นแล้ว. คำว่า ปฏินิสฺสฏฺฐตฺตา
(แปลว่า สละคืนแล้ว) นี้ ตรัสด้วยอำนาจแห่งการแสดงถึงภิกษุผู้สละซึ่งเคย
ยึดถือมาในก่อน. คือ ชื่อว่า ความเป็นผู้สละคืนแล้ว เพราะหลุดพ้น หรือ
เพราะครอบงำด้วยสามารถแห่งภาวนา. คำว่า ปหีนปฏินิสฺสฏฐตฺตา (แปลว่า
ละแล้วสละคืนแล้ว) ได้แก่ การสละด้วยอำนาจแห่งการข่ม คือย่อมไม่ให้
การสืบต่อเกิดขึ้นบ่อย ๆ ฉันใด ชื่อว่า ปฏินิสฺสตฺตา ก็ฉันนั้น. คำว่า
อาโลกา โหติ (แปลว่า สว่าง) ได้แก่ มีรัศมีดี. ชื่อว่า วิวฏา (เปิดเผย)
เพราะอรรถว่าไม่มีเครื่องกั้น. ชื่อว่า บริสุทธิ์ เพราะอรรถว่าไม่มีอุปกิเลส.
ชื่อว่า ผ่องแผ้ว เพราะอรรถว่า ปภัสสร.
อาการอันไม่สงบ ชื่อว่า อุทธัจจะ ในบทว่า อุทฺธจฺจกุกฺกุจฺจํ นี้.
ความประพฤติผิดในเพราะวัตถุ ชื่อว่า กุกกุจจะ เพราะความเป็นผู้ไม่ชี้ขาด
หรือตัดสินในอารมณ์. แม้ใน คำว่า สนฺตา โหนฺติ นี้ บัณฑิตพึงทราบ
ความต่างกันแห่งวาทะโดยนัยก่อนนั่นแหละ.

คำว่า ติณฺณวิจิกิจฺโฉ (แปลว่า เป็นผู้ข้ามได้แล้วซึ่งวิจิกิจฉา) ได้
แก่ ข้ามแล้ว ก้าวล่วงแล้วซึ่งวิจิกิจฉา ดำรงอยู่. คำว่า ติณฺโณ แม้ใน
นิทเทสแห่งคำว่า ติณฺณวิจิกิจฺโฉ นั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า ก็ตรัสด้วย
สามารถแห่งการแสดงถึงความไม่จมลงในวิจิกิจฉา. คําว่า อุตฺติณฺโณ (แปล
ว่า ข้ามพ้นแล้ว ) นี้ ตรัสแล้วด้วยสามารถแห่งการแสดงถึงการก้าวล่วงวิจิกิจฉา
นั้น. คำว่า นิตฺติณฺโณ (แปลว่า ข้ามออกแล้ว) นี้ ตรัสด้วยอำนาจแห่ง
ภาวนา คือด้วยสามารถแห่งการแสดงความที่วิจิกิจฉานั้น อันตนข้ามแล้ว
เพราะครอบงำอุปัททวะทั้งหลายได้แล้ว. คำว่า ปารคโต (แปลว่า ถึงซึ่งฝั่ง)
ได้แก่ ถึงฝั่งวิจิกิจฉา คือความไม่มีวิจิกิจฉา. คำว่า ปารมนุปฺปตฺโต ได้แก่
ถึงฝั่งนั้นนั่นแหละ ด้วยการประกอบความเพียรภาวนาเนือง ๆ. คือ ย่อมแสดง
ซึ่งความปฏิบัติมีผล อย่างนี้แก่ภิกษุ. คำว่า อกถํกถี (แปลว่า ไม่มีความสงสัย
อันเป็นไปทั่วแล้วอย่างนี้ว่า นี้อย่างไร นี้เป็นอย่างไร. คำว่า กุสเลสุ
ธมฺเมสุ
ได้แก่ ธรรมอันไม่มีโทษทั้งหลาย. คำว่า น กงฺขติ ได้แก่ ไม่
ยังความสงสัยให้เกิดขึ้นว่า ธรรมเหล่านี้ เป็นกุศล หรือหนอ. คำว่า
วิจิกิจฺฉติ
(แปลว่า ไม่เคลือบแคลง) ได้แก่ ไม่ยาก ไม่ลำบาก เพื่อวินิจฉัย
ธรรมเหล่านั้น โดยสภาวะ. คำว่า อกถํกถี โหติ (แปลว่า ไม่สงสัย) ได้แก่
เป็นผู้เว้นจากความสงสัยว่า กุศลธรรมเหล่านี้ เป็นอย่างไรหนอ. คำว่า นิกฺ-
กถํกโถ วิคตกถํกโถ
(แปลว่า หมดความสงสัย) เป็นไวพจน์ของคำว่า เป็น
ผู้ไม่มีความสงสัย นั่นแหละ. อนึ่ง บัณฑิตพึงทราบวจนัตถะในพระบาลีนั้น
ดังต่อไปนี้.
ภิกษุใด ออกไปแล้วจากความสงสัย เพราะเหตุนั้น ภิกษุนั้น จึง
ชื่อว่า มีความสงสัยออกแล้ว (คือ ไม่มีความสงสัย).
ความสงสัย ของภิกษุนั้นปราศไปแล้ว เพราะเหตุนั้น ภิกษุนั้น จึง
ชื่อว่า มีความสงสัยไปปราศแล้ว (คือ ปราศจากความสงสัย).

คำว่า อุปกิเลเส ได้แก่ อุปกิเลส. จริงอยู่ อุปกิเลสเหล่านั้นเข้า
ถึงจิตแล้ว จักยังจิตนั้นให้เศร้าหมอง ฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า จึงตรัสว่า
อุปกิเลเส ดังนี้.
คำว่า ปญฺญาย ทุพฺพลีกรเณ (แปลว่า ทำปัญญาให้ทราม) ได้แก่
เพราะนิวรณ์ 5 เหล่านั้น เมื่อเกิดขึ้นแล้ว ย่อมไม่ให้เพื่ออันเกิดขึ้นแห่งปัญญา
อันเป็นโลกิยะและปัญญาอันเป็นโลกุตตระซึ่งยังไม่เกิดขึ้น ทั้งเข้าไปตัดซึ่งสมาบัติ
8 อภิญญา 5 อันเกิดขึ้นแล้วให้ตกไป ฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า จึงตรัส
ว่า อุปกิเลสเหล่านี้ ทำปัญญาให้ทราม ดังนี้. แม้คำว่า อนุปฺปนฺนา
เจว ปญฺญา น อุปฺปชฺชติ อุปฺปนนา จ ปญฺญา นิรุชฺฌติ
นี้ (แปลว่า
ปัญญาอันยังไม่เกิดขึ้น ย่อมไม่เกิดขึ้น และปัญญาอันเกิดขึ้นแล้ว ย่อมดับไป)
พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสหมายเอาเนื้อความที่กล่าวแล้วนี้เหมือนกัน. คำทั้ง
ปวงที่เหลือในที่นี้ มีเนื้อความตื้นทั้งนั้น เพราะมีอรรถดังเช่นที่ข้าพเจ้าประกาศ
แล้วในหนหลัง ในที่นั้น ๆ แล.
คำใดที่ข้าพเจ้าพึงกล่าวในนิทเทสทั้งหลาย แม้มีคำ วิวิจฺเจว กาเมหิ
(แปลว่า สงัดจากกามทั้งหลาย) เป็นต้น คำนั้น ข้าพเจ้าก็กล่าวแล้วในรูปาวจร
นิทเทสในจิตตุปปาทกัณฑ์ในหนหลัง และในที่นั้น ๆ ในนิทเทสนี้. จริงอยู่
แม้ในนิทเทสแห่งทุติยฌาน ตติยฌาน จตุตถฌานทั้งหลายนั้น พระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าตรัสไว้ในหนหลังว่า ฌานประกอบด้วยองค์ 3 ฌานประกอบด้วยองค์ 2
ฉันใด ในนิทเทสนี้ มิได้ตรัสฉันนั้น บัณฑิตพึงทราบความต่างกันอย่างนี้ว่า
ฌานนั้น ๆ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงยกขึ้นแสดงแล้ว โดยนัยมีคำว่า สัมปสาทะ
(แปลว่า ความผ่องใส) ปีติ สุข และเอกัคคตาแห่งจิต ชื่อว่า ฌาน เพราะถือ
เอาองค์ 3 กับสัมปสาทะ เป็นต้น โดยปริยายแห่งพระบาลีว่า อชฺฌตฺตํ
สมฺปสาทํ
(แปลว่า ความผ่องใสเป็นไปในภายใน) เป็นต้น.

ก็ในบทนิทเทสว่า ยนฺตํ อริยา อาจิกฺขนฺติ คำทั้งหมดมี คำว่า
อาจิกฺขนฺติ เทเสนฺติ เป็นต้น เป็นไวพจน์ของกันและกันโดยแท้. แม้เมื่อ
เป็นเช่นนั้นมีอยู่ บัณฑิตก็พึงทราบเนื้อความอย่างนี้ว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า
ย่อมตรัสบอกด้วยสามารถแห่งอุทเทส (คือ หัวข้อที่ยกขึ้นแสดง) มีคำว่า
อุเปกฺขโก สติมา สุขวิหารี (แปลว่า มีจิตเป็นอุเบกขา อยู่เป็นสุข) เป็น
ต้น ย่อมทรงแสดงด้วยสามารถแห่งนิทเทส (คือ ยกขึ้นชี้แจง) ย่อมทรงบัญญัติ
ด้วยสามารถแห่งปฏินิทเทส (คือแสดงอย่างกว้างขวาง) ชื่อว่า ย่อมแต่งตั้ง
เพราะตั้งอรรถไว้โดยประการนั้น ๆ เมื่อแสดงเหตุแห่งอรรถนั้น ๆ ชื่อว่า ย่อม
เปิดเผย เมื่อแสดงซึ่งการจำแนกบทพยัญชนะ ชื่อว่า ย่อมทรงจำแนก เมื่อ
นำมาซึ่งความที่บทแห่งพยัญชนะอันยังไม่เปิดเผย และความที่บทพยัญชนะ
นั้นมีอรรถอันลึกออกแล้ว ยังบทอันเป็นที่พึ่งแก่ญาณแห่งโสตะทั้งหลายให้เกิด
ขึ้นอยู่ ชื่อว่า ย่อมกระทำให้ชัด เมื่อกำจัดความมืดในการไม่รู้ของโสตะ
ทั้งหลายด้วยอาการเหล่านี้แม้ทั้งหมด ชื่อว่า ย่อมทรงประกาศ บัณฑิตพึงทราบ
เนื้อความอย่างนี้ ด้วยประการฉะนี้.
แม้ในนิทเทสแห่ง สมติกกมะ (แปลว่า เพราะการก้าวล่วง) ชื่อว่า
ก้าวล่วงแล้ว เพราะความเป็นผู้ออกแล้วจากธรรมนั้น ๆ (หมายถึง องค์ฌาน
นั้น) ในที่นั้น ๆ ชื่อว่า ข้ามแล้ว เพราะบรรลุภูมิในเบื้องบน ชื่อว่า ข้ามพ้น
แล้ว เพราะความเป็นผู้ไม่เสื่อมจากฌานนั้น บัณฑิตพึงทราบความนี้ ดัง
พรรณนามาฉะนี้.
วรรณนาสุตตันตภาชนีย์ จบ

วรรณนาอภิธรรมภาชนีย์


แบบแผนในอภิธรรมภาชนีย์ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตั้งไว้
โดยนัยอันมาแล้วจิตตุปปาทกัณฑ์ ในหนหลังนั่นแหละ. ฉะนั้น ในอภิธรรม
ภาชนีย์นี้ บัณฑิตพึงทราบเนื้อความแห่งฌานทั้งหลาย แม้ทั้งหมดที่พระผู้มี-
พระภาคเจ้าทรงแสดงแล้ว ด้วยสามารถแห่งธรรมอันเป็นกุศล วิบาก และ
กิริยา โดยนัยที่กล่าวไว้ในจิตตุปปาทกัณฑ์นั่นแหละ เนื้อความทั้งหมด แม้
อันต่างด้วยเนื้อความมีสุทธิกนวกะเป็นต้น ก็เช่นเดียวกับนัยที่กล่าวแล้วใน
จิตตุปปาทกัณฑ์เหมือนกัน แล.
วรรณนาอภิธรรมภาชนีย์ จบ

วรรณนาปัญหาปุจฉกะ


ในปัญหาปุจฉกะ บัณฑิตพึงทราบความที่ฌานทั้งหลายเป็น
กุศลเป็นต้น โดยทำนองแห่งพระบาลีนั่นแหละ ก็แต่ในอารัมมณติกะ (คือ
หมวด 3 แห่งอารมณ์) ฌานเหล่านั้น พึงทราบว่า ไม่พึงกล่าวโดยความเป็น
อารมณ์มีปริตตารมณ์เป็นต้น เพราะความที่ฌานทั้ง 3 มีนิมิตเป็นอารมณ์.
ส่วนในปัญหาปุจฉกะนี้ ฌานเหล่านั้นเป็นโลกุตตระ เป็นอัปปมาณารัมมณะ
พึงมีในเวลาแห่งมรรค หรือในเวลาแห่งผล. ในข้อว่า จตุตฺถํ ฌานํ สิยา
ปริตฺตารมฺมณํ
นี้ (แปลว่า ฌานที่ 4 พึงเป็นปริตตารมณ์)
ว่าโดยกุศลแล้ว จตุตถฌาน มี 13 ประเภท คือ
จตุตถฌาน อันเป็นบาทแห่งฌานทั้งปวง 1
จตุตถฌาน อันเป็นอิทธิวิธิ 1