เมนู

จูฬภาชนีย์มาไว้ข้างหน้า ก็ในอุตตรจูฬภาชนีย์ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า
ฉันทะเท่านั้น ชื่อว่า ฉันทิทธิบาท วิริยะเท่านั้น จิตตะเท่านั้น วีมังสาเท่านั้น
ชื่อว่า วีมังสิทธิบาท ดังนี้ ส่วนอาจารย์บางพวกกล่าวว่าสภาวะที่ยังไม่สำเร็จแล้ว
ชื่อว่า อิทธิ สภาวะที่สำเร็จแล้ว ชื่อว่า อิทธิบาท ดังนี้. ข้าพเจ้าปฏิเสธถ้อยคำ
ของอาจารย์เหล่านั้นแล้ว จึงทำการสันนิษฐานว่า "อิทธิก็ดี อิทธิบาทก็ดี
เป็นภาวะอันกระทบแล้วด้วยไตรลักษณ์" ดังนี้ ในสุตตันตภาชนีย์นี้ พระผู้มี-
พระภาคเจ้าตรัสอิทธิบาททั้งหลายเจือด้วยโลกิยะและโลกุตตระดังพรรณนามา
ฉะนี้ แล.
วรรณนาสุตตันตภาชนีย์ จบ

วรรณนาอภิธรรมภาชนีย์


ในอภิธรรมภาชนีย์ มีอรรถตื้นทั้งนั้น. ก็บัณฑิตพึงนับจำนวน
ในอภิธรรมภาชนีย์นี้ จริงอยู่ ในฐานะที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแล้วว่า
"ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ เจริญอิทธิบาท อันประกอบด้วยฉันท-
สมาธิปธานสังขาร
" ดังนี้ ท่านจำแนกโลกุตตระไว้ 4,000นัย แม้ใน
วิริยสมาธิเป็นต้น ก็นัยนี้เหมือนกัน. โดยทำนองนั้น ในอุตตรจูฬภาชนีย์ ท่าน
จึงจำแนกอิทธิบาทแม้ทั้งหมดไว้ 32,000 นัย ด้วยสามารถแห่งธรรมอันเป็น
หมวด 4 หมวดๆละ 8 นัย คือ ในฉันทิทธิบาท 4,000 นัย ใน วิริยะ จิตตะ
วีมังสา อย่างละ 4,000 นัย (4 * 8 = 32). บัณฑิตพึงทราบคำนี้ว่า ท่านกล่าว
แล้วในอภิธรรมภาชนีย์ อันประดับเฉพาะแล้วด้วยนัย 32,000 นัย ด้วย
สามารถแห่งอิทธิบาททั้งหลาย อันเป็นโลกุตตระที่บังเกิดแล้วนี้นั่นแหละ ดัง
พรรณนามาฉะนี้.
วรรณนาอภิธรรมภาชนีย์ จบ

วรรณนาปัญหาปุจฉกะ


ในปัญหาปุจฉกะ บัณฑิตพึงทราบความที่อิทธิบาททั้งหลายเป็นกุศล
เป็นต้น โดยทำนองแห่งพระบาลีนั่นแหละ. แต่ในอารัมมณติกะทั้งหลาย
อิทธิบาทเหล่านี้แม้ทั้งหมด เป็นอัปปมาณารัมมณะเท่านั้น เพราะปรารภพระ-
นิพพานอันเป็นอัปปมาณธรรมเป็นไปไม่เป็นมัคคารัมมณะ. แต่เป็นมัคคเหตุกะ
ด้วยสามารถแห่งสหชาตเหตุ ไม่เป็นมัคคาธิปติ. เพราะว่า อธิปติ 4 ย่อมไม่
กระทำซึ่งกันและกันให้เป็นใหญ่. ถามว่า เพราะเหตุไร. ตอบว่า เพราะความ
ที่ตนเองเป็นใหญ่ที่สุด.
เหมือนอย่างว่า พระราชบุตร 4 องค์ ผู้มีพระชาติเสมอกัน มีวัย
เสมอกัน มีกำลังเสมอกัน มีศิลปะเสมอกัน ย่อมไม่ให้ความเป็นใหญ่แก่กัน
เพราะความที่พระราชบุตรทั้ง 4 พระองค์เป็นผู้สูงสุด ฉันใด อธิปติทั้ง 4
แม้เหล่านี้ ก็ฉันนั้น ย่อมไม่กระทำซึ่งกันและกันให้เป็นใหญ่ เพราะความที่
ธรรมเหล่านั้น แต่ละข้อต่างก็เป็นใหญ่ที่สุดด้วยกัน เพราะฉะนั้น อธิปติเหล่านั้น
จึงไม่เป็นมัคคาธิปติ โดยส่วนเดียวเท่านั้น. ในอดีตเป็นต้นก็ไม่พึงกล่าวแม้
ในความเป็นเอการัมมณะ. ก็อธิปติเหล่านั้น ชื่อว่าเป็นพหิทธารัมมณะ เพราะ
ความที่พระนิพพานเป็นธรรมภายนอก ดังนี้แล. ในปัญหาปุจฉกะนี้ ท่าน
กล่าวว่า อิทธิบาททั้งหลายเป็นโลกุตตระที่เกิดขึ้นแล้วอย่างนี้ทีเดียว. จริงอยู่
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสอิทธิบาททั้งหลายอันเป็นโลกิยะและโลกุตตระปนกัน
ไว้ในสุตตันตภาชนีย์นั่นแหละ แต่ในอภิธรรมภาชนีย์ และในปัญหาปุจฉกะ
ตรัสว่าเป็นโลกุตตระอย่างเดียว. แม้อิทธิปาทวิภังค์นี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าก็
ทรงนำออกจำแนกแสดงแล้ว 3 ปริวัฏอย่างนี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
วรรณนาปัญหาปุจฉกะ จบ
อรรถกถาอิทธิปาทวิภังค์ จบ