เมนู

อัพยากตนิเทศ

(บาลีข้อ 3)

อธิบายความ


อัพยากฤต ทรงจำแนกไว้โดยลำดับที่มาในจิตตุปปาทกัณฑ์ ในหน
หลังแล้วนั้นแหละ ในวาระทั้งหมด ทรงลดอวิชชาเป็นมูล เพราะเหตุไร ?
เพราะไม่มีธรรมที่ควรตั้งไว้ในฐานะแห่งอวิชชา จริงอยู่ ในกุศลจิตทั้งหลาย
มีกุศลมูลพึงตั้งในฐานะแห่งอวิชชา ในอเหตุกจิตมีจักขุวิญญาณเป็นต้น ก็ไม่มี
แต่ในสเหตุกจิตทั้งหลายมีกุศลมูอยู่โดยแท้ แม้เมื่อเป็นเช่นนั้น พระองค์จึง
ทรงตัดออกเสียในสเหตุกจิตนี้ ไม่ทรงถือเอาในอเหตุกจิตนั้น ในกระแสแห่ง
วิญญาณ 5 พึงทราบว่า ทรงทำเทศนาเป็นสภาพให้ตกไปในกระแสเดียว
(คือแสดงโดยลำดับ ).
อนึ่ง ว่าโดยต่างกัน ในอัพยากฤตนี้ทรงลดฐานะแห่งตัณหา และอุปา-
ทานในอเหตุกจิตมีจักขุวิญญาณเป็นต้น เพราะเหตุไร ? เพราะไม่มีธรรมที่มี
กำลังอันควรแก่ฐานะแห่งตัณหา และเพราะเว้นจากอธิโมกข์ แต่ในอเหตุกจิตที่
เหลือ ทรงลดฐานะแห่งตัณหาโดยแท้.
ในสเหตุกจิตทั้งหลาย ทรงเพิ่มบทปสาทะ ในที่แห่งตัณหา เพราะ
เป็นสภาพแห่งความผ่องใส. บรรดาอัพยากฤตเหล่านี้ ในอเหตุกจิตมีจักขุวิญ-
ญาณเป็นต้นที่เป็นกุศลวิบาก และอกุศลวิบาก พึงทราบนัยอย่างละ 6 ซึ่งมี
สังขาร วิญญาณ นาม สฬายตนะ ผัสสะ และเวทนาเป็นมูล ในอเหตุกจิต
ที่เหลือ พึงทราบว่า มีนัยอย่างละ 7 กับนัยที่มีอธิโมกข์เป็นมูล. ส่วนใน
สเหตุกจิตทั้งหลาย พึงทราบนัยอย่างละ 8 กับปสาทะเป็นมูล.

บรรดาอัพยากฤตเหล่านั้น ตรัสวาระเบื้องต้นของจตุกะทั้ง 4 ไว้
อย่างเดียวแม้ในจักขุวิญญาณเป็นต้น. วาระที่ 2 แม้ได้อยู่ด้วยอรรถว่าความ
ต่างกันแห่งปัจจัย ก็ไม่ตรัสไว้. วาระที่ 3 ที่ 4 ไม่ตรัสไว้เพราะไม่มีนั่นเอง
ก็วาระที่ 3 ที่ 4 ระคนด้วยรูป และจักขุวิญญาณเป็นต้นย่อมยังรูปให้ตั้งขึ้น
ไม่ได้ แม้ในจตุกะที่เหลือก็ได้เหมือนในจตุกะที่หนึ่งซึ่งมี 2 วาระ เพราะฉะ
นั้น พึงทราบทุติยวาระในปฐมจตุกะ และวาระในจตุกะที่เหลือจตุกะละ 2 วาระ
แม้ไม่ตรัสไว้ พึงทราบว่าตรัสไว้ทีเดียว ในอัพยากตะแห่งอเหตุกะที่เหลือได้
วาระแม้ทั้งปวงในจตุกะทั้งหมด. แต่เพราะตัดออกในจตุกะนี้ จึงมิทรงถือเอา
ข้างหน้า เทศนาที่ตกไปในกระแสทรงทำแล้ว ด้วยประการฉะนี้. แม้ใน
วิบากได้สเหตุกวิบากที่เหลือก็นัยนี้เหมือนกัน เว้นอรูปวจรวิบาก เพราะใน
อรูปาวจร 2 วาระเท่านั้น ฉะนี้แล.
อัพยากตนิเทศ จบ

อวิชชามูลกกุศลนิเทศ


กามาวจรกุศลจิต 8


กามาวจรกุศลจิตดวงที่ 1


[400] ธรรมเป็นกุศล เป็นไฉน ?
กามาวจรกุศลจิต สหรคตด้วยโสมนัส สัมปยุตด้วยญาณ มีรูปเป็น
อารมณ์ ฯลฯ มีธรรมเป็นอารมณ์ หรือปรารภอารมณ์ใด ๆ เกิดขึ้น ในสมัยใด
ในสมัยนั้น สังขารเกิดเพราะอวิชชาเป็นปัจจัย วิญญาณเกิดเพราะสังขารเป็น
ปัจจัย นามเกิดเพราะวิญญาณเป็นปัจจัย อายตนะที่ 6 เกิดเพราะนามเป็นปัจจัย
ผัสสะเกิดเพราะอายตนะที่ 6 เป็นปัจจัย เวทนาเกิดเพราะผัสสะเป็นปัจจัย
ปสาทะเกิดเพราะเวทนาเป็นปัจจัย อธิโมกข์เกิดเพราะปสาทะเป็นปัจจัย ภพ
เกิดเพราะอธิโมกข์เป็นปัจจัย ชาติเกิดเพราะภพเป็นปัจจัย ชรามรณะเกิดเพราะ
ชาติเป็นปัจจัย ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้.
[401] ในปัจจยากการเหล่านั้น สังขารเกิดเพราะอวิชชาเป็นปัจจัย
เป็นไฉน ?
การคิดอ่าน กิริยาที่คิดอ่าน ความคิดอ่าน อันใด นี้เรียกว่า สังขาร
เกิด เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย ฯลฯ
เวทนาเกิดเพราะผัสสะเป็นปัจจัย เป็นไฉน ?
ความสบายทางใจ ความเสวยอารมณ์ที่สบายเป็นสุขอันเกิดแต่เจโต-
สัมผัส กิริยาเสวยอารมณ์ที่สบายเป็นสุขอันเกิดแต่เจโตสัมผัส อันใด นี้เรียกว่า
เวทนาเกิดเพราะผัสสะเป็นปัจจัย