เมนู

อรูปาวจรกิริยาจิต


[399] ธรรมเป็นอัพยากฤต เป็นไฉน ?
พระขีณาสพ เจริญอรูปาวจรฌาณ เป็นกิริยา ไม่ใช่กุศล ไม่ใช่
อกุศลและไม่ใช่กรรมวิบาก แต่เป็นทิฏฐิธรรมสุขวิหาร เพราะก้าวล่วงอากิญ-
จัญญายตนะ โดยประการทั้งปวง จึงบรรลุจตุตถฌานอันสหรคตด้วยเนวสัญ-
ญานาสัญญายตนสัญญา ไม่มีทุกข์ไม่มีสุข เพราะละสุขละทุกข์ได้ เพราะ
โสมนัสและโทมนัสดับสนิทในก่อน มีสติบริสุทธิ์เพราะอุเบกขา อยู่ในสัตว์ใด
ในสมัยนั้น วิญญาณเกิดเพราะสังขารเป็นปัจจัย นามเกิดเพราะวิญญาณเป็น
ปัจจัย อายตนะที่ 6 เกิดเพราะนามเป็นปัจจัย ผัสสะเกิดเพราะอายตนะที่ 6
เป็นปัจจัย เวทนาเกิดเพราะผัสสะเป็นปัจจัย ปสาทะเกิดเพราะเวทนาเป็นปัจจัย
อธิโมกข์เกิดเพราะปสาทะเป็นปัจจัย ภพเกิดเพราะอธิโมกข์เป็นปัจจัย ชาติ
เกิดเพราะภพเป็นปัจจัย ชรามรณะเกิดเพราะชาติเป็นปัจจัย ความเกิดขึ้นแห่ง
กองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้.
อัพยากตนิเทศ จบ

อัพยากตนิเทศ

(บาลีข้อ 3)

อธิบายความ


อัพยากฤต ทรงจำแนกไว้โดยลำดับที่มาในจิตตุปปาทกัณฑ์ ในหน
หลังแล้วนั้นแหละ ในวาระทั้งหมด ทรงลดอวิชชาเป็นมูล เพราะเหตุไร ?
เพราะไม่มีธรรมที่ควรตั้งไว้ในฐานะแห่งอวิชชา จริงอยู่ ในกุศลจิตทั้งหลาย
มีกุศลมูลพึงตั้งในฐานะแห่งอวิชชา ในอเหตุกจิตมีจักขุวิญญาณเป็นต้น ก็ไม่มี
แต่ในสเหตุกจิตทั้งหลายมีกุศลมูอยู่โดยแท้ แม้เมื่อเป็นเช่นนั้น พระองค์จึง
ทรงตัดออกเสียในสเหตุกจิตนี้ ไม่ทรงถือเอาในอเหตุกจิตนั้น ในกระแสแห่ง
วิญญาณ 5 พึงทราบว่า ทรงทำเทศนาเป็นสภาพให้ตกไปในกระแสเดียว
(คือแสดงโดยลำดับ ).
อนึ่ง ว่าโดยต่างกัน ในอัพยากฤตนี้ทรงลดฐานะแห่งตัณหา และอุปา-
ทานในอเหตุกจิตมีจักขุวิญญาณเป็นต้น เพราะเหตุไร ? เพราะไม่มีธรรมที่มี
กำลังอันควรแก่ฐานะแห่งตัณหา และเพราะเว้นจากอธิโมกข์ แต่ในอเหตุกจิตที่
เหลือ ทรงลดฐานะแห่งตัณหาโดยแท้.
ในสเหตุกจิตทั้งหลาย ทรงเพิ่มบทปสาทะ ในที่แห่งตัณหา เพราะ
เป็นสภาพแห่งความผ่องใส. บรรดาอัพยากฤตเหล่านี้ ในอเหตุกจิตมีจักขุวิญ-
ญาณเป็นต้นที่เป็นกุศลวิบาก และอกุศลวิบาก พึงทราบนัยอย่างละ 6 ซึ่งมี
สังขาร วิญญาณ นาม สฬายตนะ ผัสสะ และเวทนาเป็นมูล ในอเหตุกจิต
ที่เหลือ พึงทราบว่า มีนัยอย่างละ 7 กับนัยที่มีอธิโมกข์เป็นมูล. ส่วนใน
สเหตุกจิตทั้งหลาย พึงทราบนัยอย่างละ 8 กับปสาทะเป็นมูล.