เมนู

เป็นสัปปเทสะ (คือทรงแสดงเล็กน้อย) และธรรมที่เป็นสัปปเทสะเป็นปัจจัย
แก่ธรรมที่เป็นนิปปเทสะ ธรรมที่เป็นนิปปเทสะไม่เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่เป็น
สัปปเทสะ ฉะนั้น ในอัญญมัญญจตุกะนี้ จึงไม่ตรัสว่า ภวปจฺจยาปิ
อุปาทานํ
(อุปาทานเกิดแม้เพราะภพเป็นปัจจัย) อีกนัยหนึ่ง มิได้ตรัสอย่าง
นี้เพราะทรงตัดออกแล้วโดยเทศนาไว้ในหนหลัง แต่เพราะสฬายตนะมีเพราะ
นามรูปเป็นปัจจัย นามรูปย่อมไม่มีเพราะสฬายตนะเป็นปัจจัยในขณะจิตดวง
เดียวกัน สฬายตนะพึงเป็นอัญญมัญญปัจจัยแก่นามรูปใด ฉะนั้น ในวาระที่ 4
จึงทรงถือเอาเฉพาะองค์ที่ได้ในข้อว่า สฬายตนปจฺจยาปิ นามรูปํ (นามรูป
เกิดแม้เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัย). นี้เป็นความต่างกันในอัญญมัญญจตุกะ.
มาติกาแห่งนัยมีอวิชชาเป็นมูล จบ

อธิบายนัยแห่งมาติกามีสังขารเป็นมูลเป็นต้น

*

บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเริ่มนัยมีสังขารเป็นมูลว่า สํขารปจฺจยา
อวิชฺชา
(อวิชชาเกิดเพราะสังขารเป็นปัจจัย) แม้ในพระบาลีสังขารเป็นมูล
เป็นต้นนั้น ก็พึงทราบจตุกะ 4 และวาระ 16 เหมือนในนัยที่มีอวิชชาเป็นมูล.

ว่าด้วยนิเทศจตุกะที่ 1


ก็ในจตุกะที่ 1 พระองค์ทรงแสดงเฉพาะวาระที่ 1 เท่านั้น แล้วทรงย่อ
เทศนาไว้ แม้ในนัยที่มีวิญญาณเป็นมูลเป็นต้นก็เหมือนในนัยที่มีสังขารเป็น
มูลนี้ บรรดานัยเหล่านั้น พระองค์ทรงแสดงความที่อวิชชามีสังขารเป็นต้น เป็น
* บาลีข้อ 290