เมนู

ก็ความที่อวิชชานั้นเป็นปัจจัยนั้น ข้าพเจ้ากล่าวไว้โดยนัยมีอาทิว่า จริง
อยู่ บุคคลใด ยังสะอัญญาณ (ความไม่รู้) กล่าวคืออวิชชา ในสัจจะ 4 มีทุกข์
เป็นต้นไม่ได้ บุคคลนั้นจะยึดถือสังสารทุกข์ โดยความไม่รู้ในทุกข์และใน
ขันธ์ที่เป็นส่วนอดีตเป็นต้น ด้วยความสำคัญว่าเป็นสุขก่อนแล้วย่อมปรารภสัง-
ขารแม้ 3 อย่าง (มีปุญญาภิสังขารเป็นต้น ) ที่เป็นเหตุของทุกข์นั้น ดังนี้.

ว่าด้วยอวิชชาเป็นปัจจัยแก่สังขารอีกอย่างหนึ่ง


อีกอย่างหนึ่ง พึงทราบปริยายแม้อื่น ดังต่อไปนี้ว่า
บุคคลใด หลงใหลอยู่ในการตาย
และการเกิด (จุติและอุปบัติ) ในสังสาร
ในลักษณะแห่งสังขารทั้งหลาย ในธรรมที่
อาศัยกันเกิดขึ้น บุคคลนั้น ย่อมปรุงแต่ง
สังขาร 3 เหล่านี้ เพราะเหตุที่อวิชชาเป็น
ปัจจัยแต่สังขารแม้ทั้ง 3 เหล่านี้
ดังนี้.
อนึ่ง หากมีผู้กล่าวถามว่า ก็บุคคล ผู้หลงใหลในธรรมเหล่านั้น
ย่อมทำสังขารแม้ทั้ง 3 เหล่านี้ อย่างไร ?
ขอตอบว่า บุคคลผู้หลงใหลในการตาย (จุติ) ก่อน เมื่อเขา
ไม่ถือเอาซึ่งจุติว่า การแดกแห่งขันธ์ทั้งหลาย ชื่อว่า มรณะ ในที่ทุกแห่ง
ดังนี้ ย่อมกำหนดว่า สัตว์ย่อมหลาย คือ การก้าวไปสู่กายอื่นของสัตว์เป็นต้น.
ผู้หลงใหลในการเกิด (อุปปาตะ) เมื่อไม่ถือการเกิดว่า ความปรากฏแห่ง
ขันธ์ทั้งหลาย ในที่ทั้งปวง ชื่อว่า ชาติ ย่อมกำหนดว่า สัตว์เกิด คือ ความ
ที่สัตว์ปรากฏมีสรีระใหม่เป็นต้น. ผู้หลงใหลในสังสาร เมื่อไม่ถือ ซึ่ง
สังสารที่ท่านพรรณนาไว้อย่างนี้ว่า