เมนู

หวั่นไหว) เท่านั้น ไม่เป็นอภิสังขาร. แต่อรูปาวจรกุศลเจตนา 4 ดวง
เท่านั้น ตรัสเรียกว่า อาเนญชาภิสังขาร เพราะอรรถว่า ย่อมให้เกิดอรูป
อันไม่หวั่นไหวเช่นกับตน เหมือนเงาของสัตว์มีช้างม้าเป็นต้น ก็เป็นเช่นเดียวกับ
สัตว์มีช้างม้าเป็นต้น ฉะนั้น เจตนาเหล่านั้นแม้ทั้งหมด คือ กามาวจรกุศลเจตนา
3 ดวง ด้วยอำนาจแห่งปุญญาภิสังขาร อกุศลเจตนา 12 ดวง ด้วยอำนาจ
แห่งอปุญญาภิสังขาร อรูปกุศลเจตนา 4 ดวง ด้วยอำนาจอาเนญชาภิสังขาร
ประมวลมาเป็นเจตนา 29 ดวง ด้วยประการฉะนี้.
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงกำหนดเจตนาที่เป็นกุศลและอกุศลที่เกิดขึ้นแก่
เหล่าสัตว์หาประมาณมิได้ ในจักรวาลอันประมาณมิได้ ด้วยพระสรรพัญญุต-
ญาณ ทรงแสดงเจตนาไว้ 29 ดวงเท่านั้น เหมือนทรงชั่งอยู่ด้วยคันชั่งอัน
ใหญ่ และเหมือนทรงตวงใส่ไว้ในทะนานนั่นแหละ ด้วยประการฉะนี้.

ว่าด้วยทวารแห่งกรรม


บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อจะทรงแสดงทวารแห่งกรรม 3 ที่
เหล่าสัตว์ซึ่งหาประมาณมิได้ ในจักรวาลอันนับประมาณมิได้ ผู้ประกอบอยู่ซึ่ง
กุศลกรรมและอกุศลกรรม ย่อมประกอบด้วยทวารเหล่านั้น จึงตรัสคำว่า
ตตฺถ กตโม กายสํขโร กายสญฺเจตนา ในสังขารเหล่านั้น กายสังขาร
เป็นไฉน ? คือ กายสัญเจตนา ดังนี้เป็นต้น.
ในพระบาลีนั้น คำว่า กายสัญเจตนา ได้แก่ เจตนา 20 ถ้วน
คือ กามาวจรกุศลเจตนา 8 ดวง อกุศลเจตนา 12 ดวง ที่เป็นไปโดยกายทวาร
ซึ่งยังกายวิญญัตติให้ตั้งขึ้น แม้จะกล่าวว่า เจตนาที่เป็นกุศลและอกุศล 20 ที่
เกิดขึ้นให้ถึงการไหวไปด้วยการยืด และการถือเอาในกายทวาร ดังนี้ก็สมควร.