เมนู

เหมือนอย่างที่ตรัสไว้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ด้วยเหตุดังนี้แล สังขาร
ทั้งหลายมีอวิชชาเป็นที่อิงอาศัย วิญญาณมีสังขารเป็นที่อิงอาศัย

เป็นต้น1 อีกอย่างหนึ่ง ได้ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อภิกษุเห็น
ความพอใจเนือง ๆ ในธรรมทั้งหลายอันเป็นปัจจัยแห่งอุปาทานอยู่
ตัณหาย่อมเจริญ เพราะตัณหาเป็นปัจจัย อุปาทานจึงมี
2 เป็นต้น.
ในที่บางแห่ง ทรงแสดงธรรมแม้ทั้ง 2 เป็นมูล คือ อย่างที่ตรัสว่า ดูก่อน
ภิกษุทั้งหลาย กายของคนพาลผู้มีอวิชชานิวรณ์ ประกอบพร้อมด้วย
ตัณหาเกิดขึ้นแล้วอย่างนี้ และกายนี้ด้วย นามรูปภายนอกทั้งนี้ย่อม
มีด้วยประการฉะนี้ เพราะอาศัยกายและนามรูปภายนอกทั้ง 2 จึงเกิด
ผัสสะ สฬายตนะทั้งหลาย คนพาลผู้อันผัสสะและสฬายตนะทั้ง 2
เหล่าใด ถูกต้องแล้ว ก็ย่อมเสวยเฉพาะสุขหรือทุกข์
ดังนี้เป็นต้น.
บรรดาเทศนาเหล่านั้น ๆ เทศนานั้นอธิการนี้ ด้วยอำนาจอวิชชาว่า
สังขารทั้งหลายย่อมเกิด เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย ดังนี้ บัณฑิตพึงทราบว่า
เป็นธรรมอันหนึ่งที่เป็นมูล (เอกธมฺมมูลิกา).
พึงทราบวินิจฉัยโดยความต่างแห่งเทศนาในปฏิจจสมุปบาทนี้ ด้วย
ประการฉะนี้ก่อน.

ว่าด้วยวินิจฉัยโดยอรรถ


ข้อว่า โดยอรรถ ได้แก่ โดยอรรถ (เนื้อความ) แห่งบททั้งหลาย
มีอวิชชาเป็นต้น คืออย่างไร คือ กายทุจริตเป็นต้น ชื่อว่า อวินฺทิยํ
(ธรรมชาติไม่ควรได้) เพราะอรรถว่าไม่ควรบำเพ็ญ คือสิ่งที่ไม่ควรได้
(วิเคราะห์ว่า) ตํ อวินฺทิยํ วินฺทตีตํ อวิชฺชา ที่ชื่อว่า อวิชชา เพราะ
อรรถว่า ย่อมได้สิ่งที่ไม่ควรได้นั้น.
1. สํ. นิทาน. เล่ม 16. 69/37 2. สํ. นิทาน เล่ม 16. 196/102