เมนู

[222] ทุกขนิโรธคามินีปฏิทา เป็นไฉน ?
ภิกษุในศาสนานี้ เจริญโลกุตรฌาน อันเป็นเครื่องนำออกไปจากโลก
ให้เข้าสู่นิพพาน เพื่อประหาณทิฏฐิ เพื่อบรรลุปฐมภูมิ สงัดจากกาม สงัดจาก
อกุศลธรรมทั้งหลายแล้ว บรรลุปฐมฌาน ที่มีวิตกมีวิจารมีปีติและสุขอันเกิด
แต่วิเวก เป็นทุกขาปฏิปทาทันธาภิญญาอยู่ ในสมัยใด ผัสสะ ฯลฯ อวิกเขปะ
ย่อมมีในสมัยนั้น นี้เรียกว่า ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา.
อภิธรรมภาชนีย์ จบ

วรรณนาอภิธรรมภาชนีย์


บัดนี้ เป็นอภิธรรมภาชนีย์ ในอภิธรรมภาชนีย์นั้น พระผู้มีพระภาค-
เจ้าไม่ตรัสว่า อริยสัจจะทั้งหลาย ตรัสว่า จตฺตาริ สจฺจานิ (สัจจะ 4) ดังนี้
เพื่อทรงแสดงสมุทัย กล่าวคือธรรมเป็นปัจจัยโดยสิ้นเชิง (นิปปเทสะ).
จริงอยู่ เมื่อพระองค์ตรัสว่า อริยสัจจะ ดังนี้ กิเลสที่เหลือ กุศล
ธรรมที่เหลือ กุศลมูล 3 ที่มีอาสวะ กุศลธรรมที่เหลือซึ่งมีอาสวะ ย่อมสง-
เคราะห์ไม่ได้ ด้วยว่าตัณหาอย่างเดียวเท่านั้น ย่อมให้ทุกข์ตั้งขึ้นก็หาไม่ แม้
ธรรมเหล่านั้นที่เหลือมีกิเลสเป็นต้น เป็นปัจจัยก็ย่อมยังทุกข์ให้ตั้งขึ้นได้ เพราะ
ฉะนั้น เพื่อทรงแสดงสมุทัยกล่าวคือธรรมเป็นปัจจัย โดยสิ้นเชิงว่า แม้ธรรม
ที่เป็นปัจจัยเหล่านั้น ย่อมให้ทุกข์ตั้งขึ้นเหมือนกัน จึงตรัสว่า จตฺตาริ สจฺจานิ
ดังนี้.

ว่าด้วยวินิจฉัยในนิเทศวาร


ก็ในนิเทศวารแห่งสัจจะทั้ง 4 เหล่านั้น พระองค์มิได้ทรงแสดงทุกข์
ก่อน เพื่อต้องการแสดงทุกข์นั้นนั่นแหละให้เข้าใจโดยง่าย จึงทรงยกทุกข-
สมุทัยขึ้นแสดง. เพราะเมื่อพระองค์ทรงแสดงทุกขสมุทัยแล้ว ทุกขสัจจะโดย
นัยมีอาทิว่า "ก็กิเลสทั้งหลายที่เหลือ" ดังนี้ ย่อมเป็นการแสดงได้ง่าย. นิโรธ-
สัจจะ
ในนิเทศวารนี้ ทรงแสดงโดยอาการ 5 ด้วยอำนาจแห่งการละสมุทัยตาม
ที่ตรัสไว้อย่างนี้ว่า "การละตัณหา และการละกิเลสที่เหลือนอกจากตัณหา"
เป็นต้น. ส่วนมรรคสัจจะในนิเทศวารนี้ พระองค์เมื่อจะทรงแสดงก็ทรงแสดง
เพียงเป็นหัวข้อแห่งนัยเทศนาที่จำแนกไว้ในธรรมสังคณี ด้วยอำนาจโสดาปัตติ-
มรรคที่ประกอบด้วยปฐมฌาน ในมรรคสัจจะนั้น บัณฑิตพึงทราบความแตก
ต่างกันแห่งนัย ที่ข้าพเจ้าจักประกาศข้างหน้า.

ว่าด้วยปฏิปทาที่ประกอบด้วยองค์มรรค 5 เป็นต้น


อนึ่ง มรรคประกอบด้วยองค์ 8 เป็นปฏิปทาอย่างเดียวเท่านั้นก็หาไม่
แต่เพราะพระบาลีว่า ปุพฺเพว โข ปนสฺส กายกมฺมํ วจีกมฺมํ อาชีโว
สุปริสุทฺโธ โหติ
(ก็กายกรรม วจีกรรม อาชีวะของบุคคลนั้นบริสุทธิ์ดีแล้ว
ในกาลก่อนทีเดียว) ดังนี้ มรรคแม้ประกอบด้วยองค์ 5 ย่อมเป็นทรงแสดงว่า
เป็นปฏิปทาเหมือนกัน ด้วยอำนาจอัธยาศัยของบุคคล เพราะฉะนั้น เพื่อจะ
ทรงแสดงนัยนั้น จึงทรงแสดงแม้ปัญจังคิกวาร (วาระว่าด้วยองค์มรรค 5)
อนึ่ง เพราะมรรคประกอบด้วยองค์ 8 และองค์ 5 เป็นปฏิปทาเท่านั้นก็หาไม่
ถึงสัมปยุตตธรรมทั้งหลายเกิน 50 ก็เป็นปฏิปทาเหมือนกัน ฉะนั้น เพื่อทรง
แสดงนัยนั้น จึงทรงแสดงแม้สัพพสังคาหิกวาร (วาระว่าด้วยธรรมที่สงเคราะห์
เข้าด้วยกันทั้งหมด) ที่ 3. ในสัพพสังคาหิกวารนั้น ย่อมขาดคำว่า "ธรรมที่