เมนู

สังขารขันธ์หมวดละ 1 คือ สังขารขันธ์เป็นจิตสัมปยุต ฯลฯ
สังขารขันธ์หมวดละมากอย่าง ด้วยประการฉะนี้ นี้เรียกว่า สังขารขันธ์.
รูปที่เห็นไม่ได้กระทบไม่ได้ นับเนื่องในธรรมายตนะ เป็นไฉน ?
อิตถินทรีย์ ฯลฯ กพฬิงการาหาร นี้เรียกว่า รูปที่เห็นไม่ได้กระทบ
ไม่ได้ นับเนื่องในธรรมายตนะ.
อสังขตธาตุ เป็นไฉน ?
ความสิ้นราคะ ความสิ้นโทสะ ความสิ้นโมหะ นี้เรียกว่า อสังขตธาตุ
สภาวธรรมนี้เรียกว่า ธรรมายตนะ.
อภิธรรมภาชนีย์ จบ

วรรณนาอภิธรรมภาชนีย์


พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสอายตนะทั้งหลายไว้ (ในสุตตันตภาชนีย์)
ในหนหลัง โดยความเป็นอายตนะคู่ว่า จกฺขายตนํ รูปายตนํ (จักขายตนะ
รูปายตนะ) ดังนี้เป็นต้น เพื่อประสงค์ทรงอุปการะพระโยคาจรทั้งหลาย
ผู้เจริญวิปัสสนา ฉันใด ในอภิธรรมภาชนีย์ มิได้ตรัสเหมือนอย่างนั้น เพื่อ
ทรงประสงค์จะแสดงสภาวะแห่งอายตนะภายใน และอายตนะภายนอก โดย
อาการ (ลักษณะ) ทั้งปวง จึงตรัสโดยนัยแห่งการกำหนดอายตนะภายในและ
ภายนอก อย่างนี้ว่า จกฺขุวายตนํ โสตายตนํ (จักขวายตนะ และโสตายตนะ)
ดังนี้เป็นต้น.

ในนิเทศวารแห่งอายตนะเหล่านั้น พึงทราบคำว่า บรรดาอายตนะ
12 เหล่านั้น จักขายตนะเป็นไฉน
เป็นต้นโดยนัยที่กล่าวไว้ในหนหลัง
นั่นแหละ. แต่ในคำที่ตรัสไว้ในนิเทศแห่งธรรมายตนะว่า ตตฺถ กตมา
อสํขตา ธาตุ ราคกฺขโย โทสกฺขดย โมหกฺขโย
(ในอายตนะเหล่านั้น)
อสังขตธาตุ เป็นไฉน ? ความสิ้นราคะ ความสิ้นโทสะ ความสิ้นโมหะ)
ดังนี้เป็นต้น มีอธิบายดังต่อไปนี้
บทว่า อสํขตา ธาตุ (อสังขตธาตุ) ได้แก่ พระนิพพานอันมี
อสังขตะเป็นสภาวะ (คือเป็นธรรมอันปัจจัยปรุงแต่งไม่ได้เป็นสภาวะ) แต่
เพราะอาศัยพระนิพพานนี้ กิเลสทั้งหลายมีราคะเป็นต้นย่อมสิ้นไป ฉะนั้นจึง
ตรัสว่า ความสิ้นไปแห่งราคะ ความสิ้นไปแห่งโทสะ ควานสิ้นไป
แห่งโมหะ
ดังนี้. นี้เป็นคำอธิบายเนื้อความที่เหมือนกันของอาจารย์ทั้งหลายใน
นิเทศอภิธรรมภาชนีย์นี้.
แต่อาจารย์วิตัณฑวาที่กล่าวว่า ธรรมดาว่า นิพพานเฉพาะอย่าง
ไม่มี มีแต่นิพพาน คือความสิ้นไปแห่งกิเลสเท่านั้น
ดังนี้. แต่เมื่อมี
ผู้ท้วงว่า ขอจงนำสูตรมา ดังนี้ ก็จะอ้างชัมพุขาทกสูตรนี้ว่า ดูก่อนท่านสารีบุตร
ที่เรียกว่า นิพพาน นิพพาน ดังนี้ อาวุโส นิพพานเป็นไฉน ดังนี้ อาวุโส
ความสิ้นราคะ ความสิ้นโทสะ ความสิ้นโมหะอันใด นี้เรียกว่า นิพพาน
ดังนี้ แล้วกล่าวคำที่ควรกล่าวโดยสูตรนี้ว่า ธรรมดาว่า นิพพานเฉพาะอย่าง
ไม่มี มีแต่นิพพานคือความสิ้นกิเลสเท่านั้น ดังนี้.
พึงโต้ท่านอาจารย์วิตัณฑวาทีว่า ก็เนื้อความนั้นเหมือนกับสูตรนี้หรือ
แน่ละท่านอาจารย์วิตัณฑวาทีจักตอบว่าใช่ เนื้อความที่พ้นจากสูตรไปมิได้มี
ดังนี้.

ลำดับนั้น พึงกล่าวกะท่านอาจารย์วิตัณฑวาทีว่า สูตรนี้ท่านอ้างมาก่อน
ขอให้นำสูตรถัดไปมาแสดง ดังนี้ ท่านอาจารย์วิตัณฑวาที จึงนำชื่อสูตรที่
ถัดไปแห่งสูตรนั้น มาแสดงอย่างนี้ว่า ดูก่อนอาวุโสสารีบุตร ที่เรียกว่า อรหัต
อรหัต ดังนี้ ดูก่อนอาวุโส อรหัต เป็นไฉน ? ดังนี้ ดูก่อนอาวุโส ความสิ้น
ราคุ ความสิ้นโทสะ ความสิ้นโมหะ นี้เรียกว่า อรหัต ดังนี้.
เมื่ออาจารย์วิตัณฑวาทีนำสูตรนี้มา ชนทั้งหลายก็จะกล่าวกะอาจารย์
วิตัณฑวาทีนั้นว่า ธรรมนับเนื่องด้วยธรรมายตนะ ชื่อว่า นิพพาน นามขันธ์
4 ชื่อว่า พระอรหัต พระธรรมเสหาบดีผู้กระทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพานอยู่
เมื่อมีผู้ถามถึงพระนิพพานบ้าง ถามถึงพระอรหัตบ้าง ก็กล่าวถึงความสิ้นกิเลส
เท่านั้น ก็นิพพานและพระอรหัต เหมือนกัน หรือต่างกันอย่างไร นิพพาน
เป็นอย่างเดียวกัน หรือต่างกันจงยกไว้ ในที่นี้เนื้อความที่ท่านทำให้ละเอียด
เกินไป มีความประสงค์อะไร ท่านไม่รู้พระนิพพานเป็นอย่างเดียว หรือว่า
ต่างกันดอกหรือ เมื่อท่านรู้แล้วก็เป็นการดีมิใช่หรือ ท่านอาจารย์วิตัณฑวาที
ถูกถามบ่อย ๆ อย่างนี้ ก็ไม่อาจกล่าวให้ผิดไปจากความจริง ก็จะกล่าวว่า
พระอรหัต พระองค์ก็ตรัสว่า ความสิ้นนราคะ ความสิ้นโทสะ ความสิ้นโมหะ
เพราะความที่พระอรหัตนั้นเกิดขึ้นในที่สุดแห่งการสิ้นราคะเป็นต้น ดังนี้.
ลำดับนั้น ชนทั้งหลายก็จะกล่าวกะอาจารย์วิตัณฑวาทีนั้นว่า ท่านเอา
ใหญ่แล้ว แม้ทำความหมายให้พูดอย่างนั้น แต่กลับไปพูดเสียอย่างนี้ทีเดียว
ก็พระนิพพานนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงจำแนกตรัสไว้ ฉันใด ท่านจงกำหนด
พระนิพพานแม้นี้ ฉันนั้นเถิด เพราะอาศัยพระนิพพานแล้ว ราคะเป็นต้น
ย่อมสิ้นไป เพราะฉะนั้น จึงตรัสว่า นิพพาน คือความสิ้นราคะ คือความสิ้น

โทสะ คือความสิ้นโมหะ ดังนี้ เพราะคำแม้ทั้ง 3 เหล่านั้น ก็เป็นชื่อของ
พระนิพพานเหมือนกัน ดังนี้.
ถ้ากล่าวอย่างนี้ปรับความเข้าใจกันได้ นั่นเป็นการดี ถ้ายังไม่เข้าใจ
ก็พึงให้กระทำสภาวะเป็นนิพพานมากมาย ทำอย่างไร ? คือ พึงถามอย่างนี้
ก่อนว่า ชื่อว่า ความสิ้นราคะ เป็นควานสิ้นไปแห่งราคะอย่างเดียว หรือ
เป็นการสิ้นไปแม้แห่งโทสะและโมหะ ชื่อว่า ความสิ้นโทสะ เป็นการสิ้นไป
แห่งโทสะอย่างเดียว หรือว่าเป็นความสิ้นไปแม้แห่งราคะและโมหะ ชื่อว่า
ควานสิ้นโมหะ เป็นการสิ้นไปแห่งโมหะอย่างเดียว หรือเป็นการสิ้นไปแม้
แห่งราคะและโทสะ ดังนี้.
แน่นอนอาจารย์วิตัณฑวาทีนั้นจักกล่าวว่า ชื่อว่า ความสิ้นราคะ
เป็นการสิ้นเฉพาะราคะ ชื่อว่า ความสิ้นโทสะ เป็นการสิ้นเฉพาะโทสะ
ชื่อว่า ความสิ้นโมหะ เป็นการสิ้นเฉพาะโมหะ ดังนี้.
ลำดับนั้น พึงกล่าวกะอาจารย์วิตัณฑวาทีว่า ในวาทะของท่าน
ความสิ้นราคะเป็นนิพพานหนึ่ง ความสิ้นโทสะเป็นนิพพานหนึ่ง ความสิ้นโมหะ
เป็นนิพพานหนึ่ง เมื่อสิ้นอกุศลมูล 3 อย่าง นิพพานก็มี 3 อย่าง เมื่อสิ้น
อุปาทาน 4 อย่าง ก็มีนิพพาน 4 อย่าง เมื่อสิ้นนิวรณ 5 อย่าง ก็มีนิพพาน
5 อย่าง เมื่อสิ้นกองแห่งตัณหา 6 ก็มีนิพพาน 6 อย่าง เมื่อสิ้นอนุสัย 7 อย่าง
ก็มีนิพพาน 7 อย่าง เมื่อสิ้นมิจฉัตตะ 8 อย่าง ก็มีนิพพาน 8 อย่าง เมื่อสิ้น
ธรรมอันเป็นมูลแห่งตัณหา 9 อย่าง ก็มีนิพพาน 9 อย่าง เมื่อสิ้นสังโยชน์
10 อย่าง ก็มีนิพพาน 10 อย่าง เมื่อสิ้นกิเลส 1,500 อย่าง นิพพานก็มี
แต่ละอย่าง ๆ เพราะฉะนั้น นิพพานจึงมาก. ก็นิพพานของท่านไม่มีประมาณ
ดังนี้.

ก็บุคคลไม่ถือเอาอย่างนี้ ก็จะกล่าวว่า กิเลสทั้งหลายมีราคะเป็นต้น
อาศัยพระนิพพานแล้วก็สิ้นไป เพราะฉะนั้น พระนิพพานจึงมีอย่างเดียวเท่านั้น
คือความสิ้นราคะ ความสิ้นโทสะ ความสิ้นโมหะ ดังนี้ เพราะความสิ้นอกุศล
มูลแม้ทั้ง 3 นี้ก็เป็นชื่อของพระนิพพานเท่านั้น ขอท่านจงถืออย่างนี้ ก็ถ้าว่า
ชนเหล่าอื่นแม้กล่าวอย่างนี้แล้ว อาจารย์วิตัณฑวาทีก็ยังกำหนดไม่ได้ ก็พึงทำ
การอธิบายพระนิพพานโดยเปรียบกับของหยาบ ๆ อธิบายอย่างไร คือว่า
สัตว์ผู้โง่เขลาแม้มี เสือเหลือง เนื้อ และลิงเป็นต้น ถูกกิเลสกลุ่มรุมแล้ว
ย่อมเสพวัตถุ (เมถุน) เมื่อถึงที่สุดแห่งการเสพของสัตว์เหล่านั้น กิเลสทั้งหลาย
ก็สงบ ในวาทะของท่าน พวกสัตว์มีหมี เสือเหลือง เนื้อ และลิงเป็นต้น
ก็ชื่อว่าเป็นผู้ถึงพระนิพพานแล้ว นิพพานของท่านหยาบหนอ เป็นของหยาบ
ช้า ใคร ๆ ไม่อาจเพื่อประดับแม้ที่หูได้.
อนึ่ง อาจารย์วิตัณฑวาทีไม่ยอมรับเช่นนี้ ก็ต้องกล่าวว่า กิเลสทั้งหลาย
มีราคะเป็นต้นสิ้นไปเพราะอาศัยพระนิพพาน เพราะฉะนั้น พระนิพพานจึงมี
อย่างเดียวเท่านั้น คือ ความสิ้นราคะ ความสิ้นโทสะ ความสิ้นโมหะ เพราะ
ว่า ความสิ้นอกุศลมูลเหล่านี้ แม้ทั้ง 3 เป็นชื่อของพระนิพพานท่านนั้น ท่าน
จงถือเอาด้วยอาการอย่างนี้.
ก็ถ้าว่า กล่าวแล้วอย่างนี้แล้ว อาจารย์วิตัณฑวาทีนั้นยังกำหนด ไม่ได้
ก็ควรอธิบาย แม้ด้วยโคตภู อธิบายอย่างไร ? คือว่า พึงถามอาจารย์วิตัณ-
ฑวาทีอย่างนี้ก่อนว่า ท่านกล่าวว่า ชื่อว่า โคตรภูมีอยู่หรือ อาจารย์วิตัณฑวาที
ก็จะตอบว่า ใช่ผมย่อมกล่าวดังนี้ แล้วจึงกล่าวกะอาจารย์วิตัณฑวาทีว่า ใน
ขณะแห่งโคตรภู กิเลสทั้งหลายสิ้นไปแล้ว หรือกำลังสิ้น หรือจักสิ้น ดังนี้.

อาจารย์วิตัณฑวาทีก็จะกล่าวว่า กิเลสทั้งหลายยังไม่สิ้นไป มิใช่กำลังสิ้นไป ก็
แต่ว่าจักสิ้นไป ดังนี้. ถามอีกว่า ก็โคตรภูมีอะไรเป็นอารมณ์ ตอบว่า มี
นิพพานเป็นอารมณ์. ในขณะโคตรภูของท่าน กิเลสทั้งหลายยังไม่สิ้นไป มิใช่
กำลังสิ้น โดยที่แท้จักสิ้น เมื่อกิเลสทั้งหลายยังไม่สิ้นไป ท่านย่อมบัญญัติความ
สิ้นไปแห่งกิเลสว่าเป็นนิพพาน เมื่อยังไม่ได้ละอนุสัย ท่านย่อมบัญญัติการ
ละอนุสัยว่าเป็นนิพพาน คำนั้น ๆ ของท่านไม่สมกัน.
ก็คำอย่างนี้ อาจารย์วิตัณฑวาทีก็ยังไม่เอา ก็จะต้องกล่าวว่า กิเลสทั้ง
หลายมีราคะเป็นต้นสิ้นไปเพราะอาศัย พระนิพพาน เพราะฉะนั้น พระนิพพาน
จึงมีอย่างเดียว คือความสิ้นราคะ ความสิ้นโทสะ ความสิ้นโมหะ ความสิ้น
อกุศลมูลเหล่านี้แม้ทั้ง 3 เป็นชื่อของพระนิพพาน ท่านจงถือเอาอย่างนี้.
ก็ถ้าเขากล่าวแม้อย่างนี้ อาจารย์วิตัณฑวาทีก็ยังกำหนดไม่ได้ ก็ควร
ทำอธิบาย ด้วยมรรค อธิบายอย่างไง ? คือพึงถามท่านอาจารย์วิตัณฑวาที
อย่างนี้ก่อนว่า ท่านกล่าวชื่อว่ามรรค หรือ ? ท่านก็จะตอบว่า ใช่ เราย่อม
กล่าวดังนี้. ถามอีกว่า ในขณะแห่งมรรค กิเลสทั้งหลายสิ้นไปแล้ว หรือ
กำลังสิ้น หรือจักสิ้น ดังนี้.
เมื่ออาจารย์วิตัณฑวาทีรู้ก็จักตอบว่า ในขณะแห่งมรรคไม่ควรจะกล่าว
ว่า กิเลสทั้งหลายสิ้นแล้ว หรือว่า จักสิ้น แต่ควรจะกล่าวว่า กิเลสทั้งหลาย
กำลังสิ้นไป ดังนี้.
ก็ควรให้ท่านอาจารย์วิตัณฑวาทีว่า ถ้าหากว่า พระนิพพานชนิดไหน
ยังกิเลสให้สิ้นไปมีอยู่แก่มรรคอย่างนี้ กิเลสที่สิ้นไปอย่างไหน มีอยู่ด้วยมรรค
อย่างนี้ไซร้ ก็มรรคกระทำพระนิพพานอันไหนซึ่งยังกิเลสให้สิ้นไปให้เป็น

อารมณ์ แล้วยังกิเลสเหล่าไหนให้สิ้นไปเล่า เพราะฉะนั้นท่านอย่าถือเอาอย่างนี้
เลย ก็กิเลสมีราคะเป็นต้นสิ้นไปเพราะอาศัยพระนิพพาน เพราะฉะนั้น จะต้อง
กล่าวว่า พระนิพพานมีอย่างเดียวเท่านั้น คือ ความสิ้นราคะ ความสิ้นโทสะ
ความสิ้นโมหะ แม้อกุศลมูลที่สิ้นไปทั้ง 3 เหล่านั้นก็เป็นชื่อของพระนิพพานเท่า
นั้น ดังนี้.
ครั้นกล่าวอย่างนี้แล้ว ก็กล่าวกะอาจารย์วิตัณฑวาทีนั้นอย่างนี้ว่า ท่าน
ย่อมกล่าวว่า อาศัย อาศัย ดังนี้หรือ ? อาจารย์วิตัณฑวาทีก็จะพูดว่า ใช่
กระผมย่อมกล่าว ดังนี้. ถามอีกว่า คำว่า ชื่อว่าอาศัย ดังนี้ นี้ท่านได้มา
จากไหน ท่านก็จะตอบว่า ได้มาจากสูตร. ขอท่านจงนำสูตรมา. จึงนำสูตร
มาว่า อวิชชา และตัณหาอาศัยพระนิพพานแล้วหักไปในพระนิพพานนั้น สิ้น
ไปในนิพพานนั้น จะไม่ถึงความเป็นอะไร ๆ ในที่ไหน ๆ เมื่อกล่าวอย่างนี้แล้ว
ปรวาที (ผู้มีวาทะในลัทธิภายนอกพระศาสนา) ก็จะถึงความเป็นผู้ดุษณีภาพแล.
แม้ในอภิธรรมภาชนีย์นี้ อายตนะ 10 เป็นกามาพจร ส่วนอายตนะ
2 พึงทราบว่า เป็นไปในภูมิ 4 คือระคนกันทั้งโลกิยะและโลกุตระ ฉะนี้แล.
วรรณรา อภิธรรมภาชนีย์ จบ

ปัญหาปุจฉกะ


[101]

อายตนะ 12 คือ


1. จักขายตนะ
2. รูปายตนะ ฯลฯ
11. มนายตนะ
12. ธรรมายตนะ.


ติกมาติกาปุจฉา ทุกมาติกาปุจฉา


บรรดาอายตนะ 12 อายตนะไหนเป็นกุศล อายตนะไหนเป็นอกุศล
อายตนะไหนเป็นอัพยากฤต ฯลฯ อายตนะไหนเป็นสรณะ. อายตนะไหนเป็น
อรณะ.

ติกมาติกาวิสัชนา


[102] อายตนะ 10 (คือโอฬาริกายตนะ 10) เป็นอัยพากฤต
อายตนะ 2 (คือ มนายตนะ ธรรมายตนะ) เป็นกุศลก็มี เป็นอกุศลก็มี เป็น
อัพยากฤตก็มี อายตนะ 10 กล่าวไม่ได้ว่า แม้เป็นสุขเวทนาสัมปยุต แม้เป็น
ทุกขเวทนาสัมปยุต แม้เป็นอทุกขมสุขเวทนาสัมปยุต มนายตนะ เป็นสุขเวทนา
สัมปยุตก็มี เป็นทุกขเวทนาสัมปยุตก็มี เป็นอทุกขมสุขเวทนาสัมปยุตก็มี
ธรรมายตนะเป็นสุขเวทนาสัมปยุตก็มี เป็นทุกขเวทนาสัมปยุตก็มี เป็นอทุกขม-
สุขเวทนาสัมปยุตก็มี กล่าวไม่ได้ว่า แม้เป็นสุขเวทนาสัมปยุต แม้เป็นทุกข-
เวทนาสัมปยุต แม้เป็นอทุกขมสุขเวทนาสัมปยุตก็มี อายตนะ 10 เป็นเนว-