เมนู

เทศนา เหมือนอย่างที่เขากล่าวว่า พระราชาเสด็จมาแล้ว ดังนี้ ย่อมเป็นอัน
กล่าวถึงการมาแม้ของอำมาตย์เป็นต้น ฉันใด เมื่อพระองค์ตรัสว่า จิตตุปบาท
ดังนี้ แม้สัมปยุตตธรรมทั้งหลายก็เป็นอันตรัสแล้วด้วยจิตตุปบาทเหล่านั้นฉันนั้น
เหมือนกัน เพราะฉะนั้น ด้วยศัพท์ว่าจิตตุปบาทในที่ทั้งหมด พึงทราบว่า
ทรงถือเอาจิตพร้อมทั้งสัมปยุตธรรม ดังนี้.
ก็จำเดิมแต่นี้ไป เนื้อความแห่งบทที่พึงจำแนกด้วยบทติกะและทุกะ
แม้ทั้งหมด มีอาทิว่า จตูสุ ภูมีสุ วิปาโก (วิบากในภูมิ) และนวัต-
ตัพพธรรม (คือธรรมที่ไม่พึงกล่าว) แห่งเวทนามีสุขเป็นต้นในเวทนาติกะ
เป็นต้น บัณฑิตใคร่ครวญพระบาลี และอรรถกถา ในหนหลังแล้วก็พึงทราบ
ได้โดยนัยที่กล่าวแล้วนั่นแหละ ข้าพเจ้าจักกล่าวแต่เนื้อความที่ต่างกันเท่านั้น.

ว่าด้วยปริตตารัมมณติกะ


บรรดาติกะเหล่านั้น พึงทราบปริตตารัมมณติกะ (บาลีข้อ 890) ก่อน
ในข้อว่า สพฺโพ กามาวจรสฺส วิปาโก (กามาวจรวิบากทั้งหมด)
นี้ได้แก่ ทวิปัญจวิญญาณ (วิญญาน 10) ชื่อว่า ธรรมมีอารมณ์เป็นปริต-
ตะ
(กามอารมณ์) เพราะอรรถาว่าอาศัยจักขุประสาทเป็นต้นแล้วเริ่มเป็นไปใน
ธรรมคือรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ อันต่างโดยเป็นอิฏฐารมณ์และ
อนิฏฐารมณ์เป็นต้น โดยแน่นอนทีเดียว. และมโนธาตุ 2 คือ กุศลวิบาก
และอกุศลวิบาก ก็ชื่อว่า ธรรมมีอารมณ์เป็นปริตตะ เพราะอรรถว่า
อาศัยหทยวัตถุปรารภอารมณ์ทั้งหลายมีรูปเป็นต้นนั่นแหละเป็นไป ในลำดับ
แห่งจักขุวิญญาณเป็นต้นโดยแน่นอน.
อเหตุกโนวิญญาณธาตุที่เป็นกุศลวิบาก สหรคตด้วยโสมนัส ก็ชื่อ
ว่า ธรรมมีอารมณ์เป็นปริตตะ เพราะอรรถว่า ปรารภอารมณ์กามาวจร

6 มีรูปารมณ์เป็นต้น เป็นไปโดยแน่นอนคือด้วยอำนาจเป็นสันติรณะในทวาร 5
ด้วยอำนาจเป็นตทารัมมณะในทวาร 6.
อเหตุกมโนวิญญาณธาตุ ที่เป็นกุศลวิบากและอกุศลวิบากทั้ง 2 ก็ชื่อว่า
ธรรมมีอารมณ์เป็นปริตตะ เพราะอรรถว่า ปรารภกามาวจรอารมณ์ 6 มี
รูปเป็นต้นนั่นแหละโดยแน่นอน เป็นไปด้วยอำนาจสันติรณะในปัญจทวาร
ด้วยอำนาจตทารัมมณะในทวาร 6 แม้เมื่อเป็นไปด้วยอำนาจปฏิสนธิก็ย่อมกระ-
ทำปริตกรรม หรือกรรมนิมิต หรือคตินิมิตให้เป็นอารมณ์ เมื่อเป็นไปด้วย
อำนาจจุติในกาลเป็นที่สุดด้วยอำนาจภวังค์ในปวัตติ ก็กระทำปริตตอารมณ์นั้น
นั่นแหละให้เป็นอารมณ์.
อนึ่ง สเหตุกกุศลวิบากจิตตุปบาท 8 ชื่อว่า ธรรมมีอารมณ์เป็น
ปริตตะ เพราะปรารภปริตธรรมนั่นเองให้เป็นไปด้วยอำนาจตทารัมมณะ และ
ด้วยอำนาจปฏิสนธิ ภวังค์ และจุติ โดยนัยที่กล่าวในอเหตุกมโนวิญญาณธาตุ
ที่เป็นกุศลวิบากและอกุศลวิบาก 2 ดวงนั้นนั่นแหละ.
กิริยามโนธาตุ (1) ชื่อว่า ธรรมมีอารมณ์เป็นปริตตะ เพราะ
ปรารภอารมณ์มีรูปเป็นต้นเป็นไปในทวาร 5. อเหตุกกิริยามโนวิญญาณธาตุที่
สหรคตด้วยโสมนัส (1) ชื่อว่า ธรรมมีอารมณ์เป็นปริตตะ เพราะปรารภ
ธรรมมีรูปเป็นต้นที่เป็นกามาพจรนั่นแหละที่เป็นปัจจุบันในทวาร 6 แม้ที่เป็น
อดีตและอนาคต และกระทำอาการร่าเริงให้เป็นไปแก่พระขีณาสพทั้งในมโน-
ทวาร.
จิตตุปบาท 25 เหล่านี้ ด้วยอาการอย่างนี้ พึงทราบว่ามีอารมณ์เป็น
ปริตตะ (กามอารมณ์) ส่วนเดียวเท่านั้น.

ว่าด้วยธรรมมีอารมณ์เป็นมหัคคตะเป็นต้น


ธรรมคือ วิญญาณัญจายตนะ และเนวสัญญานาสัญญายตนะ ชื่อว่า
มีอารมณ์เป็นมหัคคตะ เพราะปรารภสมาบัติเบื้องต่ำของตน ๆ เป็นไป.
ธรรมคือ มรรคและผล ชื่อว่า มีอารมณ์เป็นอัปปมาณะ.
จิตตุปบาทที่เป็นญาณวิปปยุต 8 คือ ที่เป็นกุศล 4 เป็นกิริยา 4
ชื่อว่า ธรรมมีอารมณ์เป็นปริตตะ ในเวลาที่เสกขบุคคล ปุถุชนและพระ-
ขีณาสพปรารภกามาวจรธรรมในเวลาให้ทาน การพิจารณา การฟังธรรมโดย
ไม่เคารพเป็นต้นเป็นไป ชื่อว่า มีอารมณ์เป็นมหัคคตะ ในเวลาที่พิจารณา
ธรรมมีปฐมฌานเป็นต้นที่คล่องแคล่วยิ่ง ชื่อว่า เป็นนวัตตัพพารัมมณะ
ในการพิจารณาปัญญัติมีกสิณและนิมิตเป็นต้น. จิตตุปบาทที่เป็นทิฏฐิคตสัม-
ปยุตตจิต 4 ดวงฝ่ายอกุศล ชื่อว่า มีอารมณ์เป็นปริตตะ ในเวลาที่ยินดี
เพลิดเพลินด้วยความเห็นกามาวจรธรรม 55 ดวงว่าเป็นสัตว์มีอัตตา ชื่อว่า
มีอารมณ์เป็นมหัคคตะ ในเวลาปรารภมหัคคตธรรม 27 ดวง เป็นไปโดย
อาการเห็นผิดนั้นนั่นแหละ ชื่อว่า มีอารมณ์เป็นนวัตตัพพะ ในเวลาที่
ที่ปรารภบัญญัติธรรมเป็นไป. จิตตุปบาทที่เป็นทิฏฐิวิปปยุต พึงทราบว่ามี
อารมณ์เป็น ปริตตะ มหัคคตะและนวัตตัพพะ ในเวลาปรารภธรรม
เหล่านั้นนั่นแหละเป็นไปด้วยอำนาจความยินดีเพลิดเพลินอย่างเดียว. และ
จิตตุปบาทที่เป็นปฏิฆสัมปยุต พึงทราบว่า มีอารมณ์เป็นปริตตะ มหัคคตะ
และนวัตตัพพะ
ในเวลาเป็นไปด้วยอำนาจโทมนัส. จิตตุปบาทที่สัมปยุต
ด้วยวิจิกิจฉา พึงทราบว่า มีอารมณ์เป็นปริตตะ มหัคคตะ และนวัต-
ตัพพะ
เป็นไปด้วยอำนาจความไม่ตกลงใจ. จิตตุปบาทที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ
ก็พึงทราบว่า มีอารมณ์เป็นปริตตะ มหัคคตะและนวัตตัพพะ เป็น
ไปด้วยอำนาจความฟุ้งซ่าน คือด้วยอำนาจแห่งความไม่สงบ.