เมนู

และอุบัติของสัตว์ทั้งหลาย (จุตุปปาตญาณ) วิชชาคือญาณในความสิ้นไป
แห่งอาสวะทั้งหลาย (อาสวักขยญาณ)
บทว่า วิมุตติ นั้น มีนิเทศว่า วิมุตติ 2 คือ อธิมุตติแห่งจิต (สมาบัติ 8)
และนิพพาน.
[877] บทว่า ขเย ญาณํ นั้น มีนิเทศว่า ญาณของท่านผู้พร้อม
เพรียงด้วยมรรค.
บทว่า อนุปฺปาเท ญาณํ นั้น มีนิเทศว่า ญาณของท่านผู้พร้อม
เพรียงด้วยผล.
นิกเขปกัณฑ์ จบ

อรรถกถานิกเขปกัณฑ์


ว่าด้วยนิทเทสวิชชูปมทุกะ


นิทเทสบททั้งหลายแห่งสุตตันติทุกะเหล่านั้น โดยมากมีอรรถตื้นทั้ง
นั้น เพราะสุตตันติกะทั้งหลาย ข้าพเจ้าได้จำแนกแสดงโดยใจความในมาติกา-
กถาแล้ว และเพราะนิทเทสบทแม้เหล่านั้น เข้าใจง่ายโดยนัยที่ได้กล่าวแล้ว
ในหนหลังนั่นแล. แต่ในที่นี้ข้าพเจ้าจะแสดงเนื้อความที่ต่างกันต่อไป
พึงทราบวินิจฉัยในวิชชูปมทุกะก่อน ได้ยินว่า บุรุษผู้มีจักษุเดินทาง
ไปในเวลาราตรีมีเมฆมืด ทางย่อมไม่ปรากฏแก่บุรุษนั้น เพราะความมืด
สายฟ้าแลบแล้วขจัดความมืดไป ทีนั้นทางก็ปรากฏแก่เขา เพราะปราศจาก
ความมืด เขาจึงเดินทางต่อไป แม้ครั้งที่สองความมืดก็ย่อมปกคลุมอีก ทางจึงไม่

ปรากฏแก่เขา สายฟ้าแลบแล้วขจัดความมืดนั้น เมื่อปราศจากความมืดแล้ว
ทางก็ได้ปรากฏ เขาจึงเดินทางต่อไป ครั้งที่สาม ความมืดได้ปกคลุมแล้ว ทาง
ก็ไม่ปรากฏ สายฟ้าแลบแล้วก็ขจัดความมืดไป.
บรรดาข้ออุปมาเหล่านั้น การเริ่มวิปัสสนาของอริยสาวกเพื่อประโยชน์
บรรลุโสดาปัตติมรรค เหมือนการเดินทางของบุรุษผู้มีจักษุในเวลาที่มืด
ความมืดปิดบังสัจจะ เหมือนเวลาที่ทางไม่ปรากฏในความมืด เวลาที่แสงสว่าง
คือโสดาปัตติมรรคเกิดขึ้นกำจัดความมืดปิดบังสัจจะ เหมือนเวลาที่สายฟ้าแลบ
ขึ้นกำจัดความมืด เวลาที่สัจจะ 4 ปรากฏแก่โสดาปัตติมรรค เหมือนเวลาที่
ทางปรากฏในการปราศจากความมืด ก็การปรากฏของทางก็คือการปรากฏของ
บุคคลผู้พรั่งพร้อมด้วยมรรคสมังคีนั่นเอง.
การเริ่มวิปัสสนาของบุคคล เพื่อประโยชน์บรรลุสกทามิมรรคเหมือน
การดำเนินไปครั้งที่สอง ความมืดปิดบังสัจจะ เหมือนเวลาที่ทางไม่ปรากฏใน
ความมืด เวลาที่แสงสว่างคือสกทาคามิมรรคเกิดขึ้นกำจัดความมืดปิดบังสัจจะ
เหมือนเวลาสายฟ้าแลบครั้งที่สองกำจัดความมืด เวลาที่สัจจะ 4 ปรากฏแก่
สกทาคามิมรรค เหมือนเวลาที่ทางปรากฏในการปราศจากความมืด ก็การ
ปรากฏของทางก็คือการปรากฏของบุคคลผู้พรั่งพร้อมด้วยมรรคนั่นแหละ.
การเริ่มวิปัสสนาเพื่อบรรลุอนาคามิมรรค เหมือนบุคคลเดินทางครั้งที่
สาม ความมืดอันปิดบังสัจจะ เหมือนทางไม่ปรากฏในเวลามืด เวลาที่แสงสว่าง
คืออนาคามิมรรคเกิดขึ้นกำจัดความมืดปิดบังสัจจะ เหมือนเวลาที่สายฟ้าแลบ
กำจัดความมืดครั้งที่สาม เวลาที่สัจจะ 4 ปรากฏแก่อนาคามิมรรค เหมือนเวลา
ที่ทางปรากฏในเวลาปราศจากความมืด ก็การปรากฏของทางก็คือการปรากฏของ
บุคคลผู้พรั่งพร้อมด้วยมรรคนั่นแหละ.

อนึ่ง แผ่นหิน หรือแก้วมณี ชื่อว่า ไม่แตกไปด้วยวชิระ (ฟ้าผ่า)
ย่อมไม่มี วชิระตกไปในที่ใด ที่นั้นย่อมเป็นอันถูกขจัดแล้วทีเดียว วชิระ
เมื่อฟาดไปย่อมฟาดไปมิให้อะไรเหลือ ขึ้นชื่อว่า ทางที่วชิระผ่านไปแล้วจะไม่
เป็นสิ่งปรากฏอีก ชื่อว่า กิเลสที่อรหัตมรรคไม่ประหาณแล้วก็ย่อมไม่มีอย่างนั้น
เหมือนกัน แม้อรหัตมรรคย่อมกำจัดกิเลสทั้งสิ้น คือเมื่อยังกิเลสให้สิ้นไปย่อม
ให้สิ้นไปโดยไม่เหลือ เหมือนวชิระกำจัดอยู่ฉะนั้น ขึ้นชื่อว่า การกลับมาเกิด
อีกของกิเลสที่อรหัตมรรคประหาณแล้วย่อมไม่มี เหมือนทางที่วชิระผ่านไปแล้ว
ไม่กลับเป็นสิ่งปรากฏอีก ฉะนั้น.

ว่าด้วยนิทเทสพาลทุกะ


พึงทราบวินิจฉัยในนิทเทสพาลทุกะ ต่อไป
อหิริกะและอโนตตัปะปรากฏแล้วในพาลชนทั้งหลาย. อนึ่ง อหิริกะ
และอโนตตัปปะเหล่านั้นยังเป็นมูลแห่งพาลธรรมที่เหลือ ด้วยว่าคนที่ไม่มีหิริ
ไม่มีโอตตัปปะชื่อว่าไม่ทำอกุศลอะไร ๆ ย่อมไม่มี เพราะฉะนั้น ธรรมทั้ง 2
เหล่านั้นจึงตรัสแยกไว้ก่อนทีเดียว. แม้ในธรรมที่เป็นฝ่ายขาว (สุกกธรรม)
ก็นัยนี้แหละ. ในกัณหทุกะก็เหมือนกัน.

ว่าด้วยนิทเทสตปนียทุกะ


พึงทราบวินิจฉัยในนิทเทสตปนียทุกะ ต่อไป
บัณฑิตพึงทราบ ตปนธรรม (ธรรมที่เร่าร้อน) เพราะเหตุที่ทำ
และเพราะเหตุที่ไม่ทำ จริงอยู่ กายทุจริตเป็นต้น ย่อมให้เร่าร้อนเพราะเหตุที่
ทำ กายสุจริตเป็นต้น ย่อมให้เร่าร้อนเพราะเหตุที่ไม่ทำ จริงอย่างนั้น บุคคล
* วชิระ เป็นชื่อของฟ้าผ่าก็มี เป็นชื่ออาวุธของพระอินทร์ก็มี