เมนู

สุตตันติกทุกะ


[836] ธรรมเป็นไปในส่วนวิชชา เป็นไฉน ?
ธรรมทั้งหลายที่สัมปุยุตด้วยวิชชา สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรม
เป็นไปในส่วนวิชชา.
ธรรมเป็นไปในส่วนอวิชชา เป็นไฉน ?
ธรรมทั้งหลายที่สัมปยุตด้วยอวิชชา สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรม
เป็นไปในส่วนอวิชชา.
[837] วิชชูปมธรรม เป็นไฉน ?
ปัญญาในอริยมรรค 3 เบื้องต่ำ สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า วิชชูปมธรรม.
วชิรูปมธรรม เป็นไฉน ?
ปัญญาในอรหัตมรรคเบื้องสูง สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า วชิรูปมธรรม.
[838] พาลธรรม เป็นไฉน ?
อหิริกะ อโนตตัปปะ สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า พาลธรรม.
บัณฑิตธรรม เป็นไฉน ?
หิริ โอตตัปปะ สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า บัณฑิตธรรม
กุศลธรรมแม้ทั้งหมดจัดเป็น บัณฑิตธรรม.
[839] กัณหธรรม เป็นไฉน ?
อหิริกะ อโนตตัปปะ สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า กัณหธรรม
อกุศลธรรมแม้ทั้งหมดจัดเป็น กัณหธรรม.
สุกกธรรม เป็นไฉน ?

หิริ โอตตัปปะ สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า สุกกธรรม
กุศลธรรมแม้ทั้งหมดจัดเป็น สุกกธรรม.
[840] ตปนิยธรรม เป็นไฉน ?
กายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ตปนิยธรรม
อกุศลธรรมแม้ทั้งหมดจัดเป็น ตปนิยธรรม.
อตปนิยธรรม เป็นไฉน ?
กายสุจริต วจีสุจริต มโนสุจริต สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า อตปนิยธรรม
กุศลธรรมแม้ทั้งหมดจัดเป็น อตปนิยธรรม.
[841] อธิวจนธรรม เป็นไฉน ?
การกล่าวขาน สมัญญา บัญญัติ โวหาร นาม การขนานนาม
การตั้งชื่อ การออกชื่อ การระบุชื่อ การเรียกชื่อ ของธรรมนั้น ๆ อันใด
สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า อธิวจนธรรม
ธรรมทั้งหมดแลชื่อว่า อธิวจนปถธรรม.
[842] นิรุตติธรรม เป็นไฉน ?
การกล่าวขาน สมัญญา บัญญัติ โวหาร นาม การขนานนาม
การตั้งชื่อ การออกชื่อ การระบุชื่อ การเรียกชื่อ ของธรรมนั้น ๆ อันใด
สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า นิรุตติธรรม
ธรรมทั้งหมดแลชื่อว่า นิรุตติปถธรรม.
[843] บัญญัติธรรม เป็นไฉน ?
การกล่าวขาน สมัญญา บัญญัติ โวหาร นาม การขนานนาม
การตั้งชื่อ การออกชื่อ การระบุชื่อ การเรียกชื่อ ของธรรมนั้น ๆ อันใด
สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า บัญญัติธรรม

ธรรมทั้งหมดแลชื่อว่า บัญญัติปถธรรม.
[844] บรรดาธรรมเหล่านั้น นามธรรม เป็นไฉน ?
เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์ และอสังขตธาตุ
นี้เรียกว่า นามธรรม.
รูปธรรม เป็นไฉน ?
มหาภูตรูป 4 และรูปที่อาศัยมหาภูตรูป 4 นั้น นี้เรียกว่า รูปธรรม.
[845]่ อวิชชา เป็นไฉน ?
ความไม่รู้ ความไม่เห็น ฯลฯ ลิ่มคืออวิชชา อกุศลมูลคือโมหะ
อันใด นี้เรียกว่า อวิชชา.
ภวตัณหา เป็นไฉน ?
ความพอใจในภพ ฯลฯ ความหมกมุ่นในภพ ในภพทั้งหลาย อันใด
นี้เรียกว่า ภวตัณหา.
[846] ภวทิฏฐิ เป็นไฉน ?
ความเห็นว่า ตนและโลกจักเกิด ดังนี้ ทิฏฐิ ความเห็นไปข้างทิฏฐิ
ฯลฯ การถือโดยวิปลาส มีลักษณะเช่นว่านี้ อันใด นี้เรียกว่า ภวทิฏฐิ.
วิภวทิฏฐิ เป็นไฉน ?
ความเห็นว่า ตนและโลกจักไม่เกิด ดังนี้ ทิฏฐิ ความเห็นไปข้าง
ทิฏฐิ ฯลฯ การถือโดยวิปลาส มีลักษณะเช่นว่านี้ อันใด นี้เรียกว่า วิภวทิฏฐิ.
[847] สัสสตทิฏฐิ เป็นไฉน ?
ความเห็นว่า ตนและโลกเที่ยง ดังนี้ ทิฏฐิ ความเห็นไปข้างทิฏฐิ
ฯลฯ การถือโดยวิปลาส มีลักษณะเช่นว่านี้ อันใด นี้เรียกว่า สัสสตทิฏฐิ.

อุจเฉททิฏฐิ เป็นไฉน ?
ความเห็นว่า ตนและโลกจักสูญ ดังนี้ ทิฏฐิ ความเห็นไปข้างทิฏฐิ
ฯลฯ การถือโดยวิปลาส มีลักษณะเช่นว่านี้ อันใด นี้เรียกว่า อุจเฉททิฏฐิ.
[848] อันตวาทิฏฐิ เป็นไฉน ?
ความเห็นว่า ตนและโลกมีที่สุด ดังนี้ ทิฏฐิ ความเห็นไปข้างทิฏฐิ
ฯลฯ การถือโดยวิปลาส มีลักษณะเช่นว่านี้ อันใด นี้เรียกว่า อนันตวาทิฏฐิ.
อนันตวาทิฏฐิ เป็นไฉน ?
ความเห็นว่า ตนและโลกไม่มีที่สุด ดังนี้ ทิฏฐิ ความเห็นไปข้างทิฏฐิ
ฯลฯ การถือโดยวิปลาส มีลักษณะเช่นว่านี้ อันใด นี้เรียกว่า อนันตวาทิฏฐิ.
[849] ปุพพันตานุทิฏฐิ เป็นไฉน ?
ทิฏฐิ ความเห็นไปข้างทิฏฐิ ฯลฯ การถือโดยวิปลาส อันใด ปรารภ
ส่วนอดีต เกิดขึ้น นี้เรียกว่า ปุพพันตานุทิฏฐิ.
อปรันตานุทิฏฐิ เป็นไฉน ?
ทิฏฐิ ความเห็นไปข้างทิฏฐิ ฯลฯ การถือโดยวิปลาส อันใด ปรารภ
ส่วนอนาคต เกิดขึ้น นี้เรียกว่า อปรันตานุทิฏฐิ.
[850] อหิริกะ เป็นไฉน ?
กิริยาที่ไม่ละอายต่อการประพฤติทุจริตอันเป็นสิ่งที่น่าละอาย กิริยาที่
ไม่ละอายต่อการประกอบอกุศลบาปธรรมทั้งหลาย อันใด นี้เรียกว่า อหิริกะ.
อโนตตัปปะ เป็นไฉน ?
กิริยาที่ไม่เกรงกลัวต่อการประพฤติทุจริต อันเป็นสิ่งที่น่าเกรงกลัว
กิริยาที่ไม่เกรงกลัวต่อการประกอบอกุศลบาปธรรมทั้งหลาย อันใด นี้เรียกว่า
อโนตตัปปะ.

[851] หิริ เป็นไฉน ?
กิริยาที่ละอายต่อการประพฤติทุจริตอันเป็นสิ่งที่น่าละอาย กิริยาที่
ละอายต่อการประกอบอกุศลบาปธรรมทั้งหลาย อันใด นี้เรียกว่า หิริ.
โอตตัปปะ เป็นไฉน ?
กิริยาที่เกรงกลัวต่อการประพฤติทุจริตอันเป็นสิ่งที่น่าเกรงกลัว กิริยา
ที่เกรงกลัวต่อการประกอบอกุศลบาปธรรมทั้งหลาย อันใด นี้เรียกว่า โอตตัปปะ.
[852] โทวจัสสตา เป็นไฉน ?
กิริยาของผู้ว่ายาก ภาวะแห่งผู้ว่ายาก ความเป็นผู้ว่ายาก ความยึดข้าง
ขัดขืน ความพอใจทางโต้แย้ง ความไม่เอื้อเฟื้อ ภาวะแห่งผู้ไม่เอื้อเฟื้อ
ความไม่เคารพ ความไม่รับฟัง ในเมื่อถูกว่ากล่าวโดยสหธรรม นี้เรียกว่า
โทวจัสสตา.
ปาปมิตตตา เป็นไฉน ?
บุคคลเหล่าใด เป็นคนไม่มีศรัทธา ไม่มีศีล ไร้การศึกษา มีความ
ตระหนี่ มีปัญญาทราม, การเสพ การซ่องเสพ การซ่องเสพด้วยดี การคบ
การคบหา ความภักดี ความจงรักภักดีต่อบุคคลเหล่านั้น ความเป็นผู้มีกาย
และใจโน้มน้าวไปตามบุคคลเหล่านั้น อันใด นี้เรียกว่า ปาปมิตตตา.
[853] โสวจัสสตา เป็นไฉน ?
กิริยาของผู้ว่าง่าย ภาวะแห่งผู้ว่าง่าย ความเป็นผู้ว่าง่าย ความไม่ยึด
ข้างขัดขืน ความไม่พอใจทางโต้แย้ง ความเอื้อเฟื้อ ภาวะแห่งผู้เอื้อเฟื้อ
ความเป็นผู้ทั้งเคารพ ทั้งรับฟัง ในเมื่อถูกว่ากล่าวโดยสหธรรม นี้เรียกว่า
โสวจัสสตา.

กัลยาณมิตตตา เป็นไฉน ?
บุคคลเหล่าใด เป็นคนมีศรัทธา มีศีล เป็นพหูสูต มีจาคะ มีปัญญา,
การเสพ การซ่องเสพ การซ่องเสพด้วยดี การคบ การคบหา ความภักดี
ความจงรักภักดีต่อบุคคลเหล่านั้น ความเป็นผู้มีกายและใจโน้มน้าวไปตามบุคคล
เหล่านั้น อันใด นี้เรียกว่า กัลยาณมิตตตา.
[854] อาปัตติกุสลตา เป็นไฉน ?
อาบัติทั้ง 5 หมวด 7 หมวด เรียกว่าอาบัติ, ปัญญา กิริยาที่รู้ชัด
ฯลฯ ความไม่หลง ความวิจัยธรรม สัมมาทิฏฐิ อันเป็นเหตุฉลาดในอาบัติ
แห่งอาบัติทั้งหลายนั้น ๆ อันใด นี้เรียกว่า อาปัตติกุสลตา.
อาปัตติวุฏฐานกุสลตา เป็นไฉน ?
ปัญญา กิริยาที่รู้ชัด ฯลฯ ความไม่หลง ความวิจัยธรรม สัมมาทิฏฐิ
อันเป็นเหตุฉลาดในการออกจากอาบัติเหล่านั้น อันใด นี้เรียกว่า อาปัตติ-
วุฏฐานกุสลตา.
[855] สมาปัตติกุสลตา เป็นไฉน ?
สมาบัติที่มีวิตกมีวิจาร มีอยู่ สมาบัติที่ไม่มีวิตกแต่มีวิจาร มีอยู่
สมาบัติที่ไม่มีวิตกไม่มีวิจาร มีอยู่, ปัญญา กิริยาที่รู้ชัด ฯลฯ ความไม่หลง
ความวิจัยธรรม สัมมาทิฏฐิ อันเป็นเหตุฉลาดในสมาบัติแห่งสมาบัติทั้งหลาย
นั้น ๆ อันใด นี้เรียกว่า สมาปัตติกุสลตา.
สมาปัตติวุฏฐานกุสลตา เป็นไฉน ?
ปัญญา กิริยาที่รู้ชัด ฯลฯ ความไม่หลง ความวิจัยธรรม สัมมาทิฏฐิ
อันเป็นเหตุฉลาดในการออกจากสมาบัติเหล่านั้น อันใด นี้เรียกว่า สมาปัตติ-
วุฏฐานกุสลตา.

[856] ธาตุกุสลตา เป็นไฉน ?
ธาตุ 18 คือ จักขุธาตุ รูปธาตุ จักขุวิญญาณธาตุ โสตธาตุ สัททธาตุ
โสตวิญญาณธาตุ ฆานธาตุ คันธธาตุ ฆานวิญญาณธาตุ ชิวหาธาตุ รสธาตุ
ชิวหาวิญญาณธาตุ กายธาตุ โผฏฐัพพธาตุ กายวิญญาณธาตุ มโนธาตุ
ธัมมธาตุ มโนวิญญาณธาตุ, ปัญญา กิริยาที่รู้ชัด ฯลฯ ความไม่หลง
ความวิจัยธรรม สัมมาทิฏฐิ อันเป็นเหตุฉลาดในธาตุแห่งธาตุทั้งหลายนั้น ๆ
อันใด นี้เรียกว่า ธาตุกุสลตา.
มนสิกากุสลตา เป็นไฉน ?
ปัญญา กิริยาที่รู้ชัด ฯลฯ ความไม่หลง ความสอดส่องธรรม สัมมา-
ทิฏฐิ อันเป็นเหตุฉลาดในการมนสิการซึ่งธาตุเหล่านั้น อันใด นี้เรียกว่า
มนสิการกุสลตา.
[857] อายตนกุสลตา เป็นไฉน ?
อายตนะ 12 คือ จักขายตนะ รูปายตนะ โสตายตนะ สัททายตนะ
ฆานายตนะ คันธายตนะ ชิวหายตนะ รสายตนะ กายายตนะ โผฏฐัพพายตนะ
มนายตนะ ธรรมายตนะ, ปัญญา กิริยาที่รู้ชัด ฯลฯ ความไม่หลง ความวิจัย
ธรรม สัมมาทิฏฐิ อันเป็นเหตุฉลาดในอายตนะแห่งอายตนะทั้งหลายนั้น ๆ
อันใด นี้เรียกว่า อายตนกุสลาตา.
ปฏิจจสมุปปาทกุสลตา เป็นไฉน ?
ปฏิจจสมุปบาทว่า เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย สังขารทั้งหลายจึงเกิดขึ้น
เพราะสังขารเป็นปัจจัย วิญญาณจึงเกิดขึ้น เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย นามรูปจึง
เกิดขึ้น เพราะนามรูปเป็นปัจจัย เวทนาจึงเกิดขึ้น เพราะเวทนาเป็นปัจจัย
ผัสสะจึงเกิดขึ้น เพราะผัสสะเป็นปัจจัย เวทนาจึงเกิดขึ้น เพราะเวทนาเป็นปัจจัย

ตัณหาจึงเกิดขึ้น เพราะตัณหาเป็นปัจจัย อุปาทานจึงเกิดขึ้น เพราะอุปาทานเป็น
ปัจจัย ภพจึงเกิดขึ้น เพราะภพเป็นปัจจัย ชาติจึงเกิดขึ้น เพราะชาติเป็นปัจจัย
ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส จึงเกิดขึ้น ความ
เกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีได้ด้วยประการฉะนี้, ปัญญา กิริยาที่รู้
ชัด ฯลฯ ความไม่หลง ความวิจัยธรรม สัมมาทิฏฐิ ในปฏิจจสมุปบาทนั้น
อันใด นี้เรียกว่า ปฏิจจสมุปปาทกุสลตา.
[858] ฐานกุสลาตา เป็นไฉน ?
ธรรมใด ๆ เป็นเหตุเป็นปัจจัยเพื่อความบังเกิดขึ้นแห่งธรรมใด ๆ
ลักษณะนั้น ๆ เรียกว่า ฐานะ, ปัญญา กิริยาที่รู้ชัด ฯลฯ ความไม่หลง ความ
วิจัยธรรม สัมมาทิฏฐิ ในฐานะนั้น อันใด นี้เรียกว่า ฐานกุสลตา.
อัฏฐานกุสลตา เป็นไฉน ?
ธรรมใดๆไม่เป็นเหตุไม่เป็นปัจจัยเพื่อความบังเกิดขึ้นแห่งธรรมใด ๆ
ลักษณะนั้น ๆ ชื่อว่า อฐานะ, ปัญญา กิริยาที่รู้ชัด ฯลฯ ความไม่หลง ความ
วิจัยธรรม สัมมาทิฏฐิ ในอฐานะนั้น อันใด นี้เรียกว่า อัฏฐานกุสลตา.
[859] อาชชวะ เป็นไฉน ?
ความซื่อตรง ความไม่คด ความไม่งอ ความไม่โกง อันใด นี้เรียก
ว่า อาชชวะ.
มัททวะ เป็นไฉน ?
ความอ่อนโยน ความละมุนละไม ความไม่แข็ง ความไม่กระด้าง
ควานเจียมใจ อันใด นี้เรียกว่า มัททวะ.
[860] ขันติ เป็นไฉน ?
ความอดทน กิริยาที่อดทน ความอดกลั้น ความไม่ดุร้าย ความไม่
ปากร้าย ความแช่มชื่นแห่งจิต อันใด นี้เรียกว่า ขันติ.

โสรัจจะ เป็นไฉน ?
ความไม่ล่วงละเมิดทางกาย ความไม่ล่วงละเมิดทางวาจา ความไม่
ล่วงละเมิดทางกายและวาจา อันใด นี้เรียกว่า โสรัจจะ
ศีลสังวรแม้ทั้งหมด จัดเป็นโสรัจจะ.
[861] สาขัลยะ เป็นไฉน ?
วาจาใด เป็นปม เป็นกาก เผ็ดร้อนต่อผู้อื่น เกี่ยวผู้อื่นไว้ ยั่วให้
โกรธไม่เป็นไปเพื่อสมาธิ ละวาจาเช่นนั้นเสีย, วาจาใด ไร้โทษ สบายหู
ไพเราะจับใจ เป็นวาจาของชาวเมือง เป็นที่ยินดีเจริญใจ ของชนหมู่มาก
กล่าววาจาเช่นนั้น, ความเป็นผู้มีวาจาอ่อนหวาน ความเป็นผู้มีวาจาสละสลวย
ความเป็นผู้มีวาจาไม่หยาบคาย ในลักษณะดังกล่าวนั้น อันใด นี้เรียกว่า
สาขัลยะ.
ปฏิสันถาร เป็นไฉน ?
ปฏิสันถาร 2 คือ อามิสปฏิสันถาร ธรรมปฏิสันถาร, บุคคลบางคน
ในโลกนี้ เป็นผู้ปฏิสันถาร โดยอามิสปฏิสันถารก็ดี โดยธรรมปฏิสันถารก็ดี
นี้เรียกว่า ปฏิสันถาร.
[862] ความเป็นผู้ไม่สำรวมในอินทรีย์ 6 เป็นไฉน ?
บุคคลบางคนในโลกนี้ เห็นรูปด้วยจักขุแล้ว เป็นผู้ถือนิมิต เป็นผู้
ถือโดยอนุพยัญชนะ, อภิชฌาโทมนัส อกุศลบาปธรรมทั้งหลาย พึงครอบงำ
บุคคลผู้ไม่สำรวมจักขุนทรีย์อยู่นี้ เพราะเหตุที่ไม่สำรวม จักขุนทรีย์ใด, ไม่
ปฏิบัติเพื่อสำรวมจักขุนทรีย์นั้น ไม่รักษาจักขุนทรีย์นั้น ไม่สำเร็จการสำรวม
ในจักขุนทรีย์นั้น

ได้ยินเสียงด้วยโสตแล้ว ฯลฯ สูดกลิ่นด้วยฆานะแล้ว ฯลฯ ลิ้มรสด้วย
ชิวหาแล้ว ฯลฯ ถูกต้องโผฏฐัพพะด้วยกายแล้ว ฯลฯ รู้แจ้งธรรมารมณ์ด้วยใจ
แล้ว เป็นผู้ถือนิมิต เป็นผูเถือโดยอนุพยัญชนะ อภิชฌา โทมนัส อกุศล-
บาปธรรมทั้งหลาย พึงครอบงำบุคคลผู้ไม่สำรวมมนินทรีย์อยู่นี้ เพราะเหตุที่
ไม่สำรวมมนินทรีย์ใด ไม่ปฏิบัติเพื่อสำรวมมนินทรีย์นั้น ไม่รักษามนินทรีย์
นั้น ไม่สำเร็จการสำรวมในมนินทรีย์นั้น
การไม่คุ้มครอง กิริยาที่ไม่คุ้มครอง การไม่รักษา การไม่สำรวมซึ่ง
อินทรีย์ 6 เหล่านี้ อันใด นี้เรียกว่า ความเป็นผู้ไม่สำรวมในอินทรีย์ 6.
ความเป็นผู้ไม่รู้ประมาณในโภชนาหาร เป็นไฉน ?
บุคคลบางคนในโลกนี้ ไม่พิจารณาโดยแยบคาย บริโภคอาหาร เพื่อ
จะเล่น เพื่อจะมัวเมา เพื่อจะประเทืองผิว เพื่อความอ้วนพี, ความเป็นผู้ไม่
สันโดษ ความเป็นผู้ไม่รู้ประมาณ ความไม่พิจารณา ในโภชนาหารนั้น อัน
ใด นี้เรียกว่า ความเป็นผู้ไม่รู้ประมาณในโภชนาหาร.
[863] ความเป็นผู้สำรวมในอินทรีย์ 6 เป็นไฉน ?
บุคคลบางคนโลกนี้ เห็นรูปด้วยจักขุแล้ว เป็นผู้ไม่ถือนิมิต เป็น
ผู้ไม่ถือโดยอนุพยัญชนะ, อภิชฌา โทมนัส อกุศลบาปธรรมทั้งหลาย พึง
ครอบงำบุคคลผู้ไม่สำรวมจักขุนทรีย์อยู่นี้ เพราะเหตุที่ไม่สำรวมจักขุนทรีย์ใด,
ปฏิบัติเพื่อสำรวมจักขุนทรีย์นั้น รักษาจักขุนทรีย์นั้น สำเร็จการสำรวมใน
จักขุนทรีย์นั้น
ได้ยินเสียงด้วยโสตแล้ว ฯลฯ สูดกลิ่นด้วยฆานะแล้ว ฯลฯ ลิ้มรส
ด้วยชิวหาแล้ว ฯลฯ ถูกต้องโผฏฐัพพะด้วยกายแล้ว ฯลฯ รู้ธรรมารมณ์ด้วยใจ
แล้ว เป็นผู้ไม่ถือนิมิต เป็นผู้ไม่ถือโดยอนุพยัญชนะ, อภิชฌา โทมนัส

อกุศลบาปธรรมทั้งหลาย พึงครอบงำบุคคลผู้ไม่สำรวมมนินทรีย์อยู่นี้ เพราะ
เหตุที่ไม่สำรวมมนินทรีย์ใด, ปฏิบัติเพื่อสำรวมมนินทรีย์นั้น รักษามนินทรีย์
นั้น สำเร็จการสำรวมในมนินทรีย์นั้น
การคุ้มครอง กิริยาที่คุ้มครอง การรักษา การสำรวมอินทรีย์ 6 เหล่า
นี้ อันใด นี้เรียกว่า ความเป็นผู้สำรวมในอินทรีย์.
ความเป็นผู้รู้ประมาณในโภชนาหาร เป็นไฉน ?
บุคคลบางคนในโลกนี้พิจารณาโดยแยบคายว่า เราบริโภคอาหาร ไม่
ใช่เพื่อจะเล่น ไม่ใช่เพื่อจะมัวเมา ไม่ใช่เพื่อจะประเทือง ไม่ใช่เพื่อจะให้อ้วน
พี แต่เพียงเพื่อให้กายนี้ดำรงอยู่ได้ เพื่อให้ชีวิตินทรีย์เป็นไป เพื่อบำบัดความ
หิว เพื่ออนุเคราะห์พรหมจรรย์ เพราะโดยอุบายนี้ เราจักกำจัดเวทนาเก่าเสีย
ด้วย จักไม่ให้เวทนาใหม่เกิดขึ้นด้วย ความดำรงอยู่แห่งชีวิต ความไม่มีโทษ
และการอยู่โดยผาสุก จักมีแก่เราด้วย ดังนี้ แล้วจึงบริโภคอาหาร, ความ
สันโดษ ความรู้ประมาณ การพิจารณา ในโภชนาหารนั้น อันใด นี้เรียก
ว่า ความเป็นผู้รู้ ประมาณในโภชนาหาร.
[864] มุฏฐสัจจะ เป็นไฉน ?
ความระลึกไม่ได้ ความไม่ตามระลึก ความไม่หวนระลึก ความระลึก
ไม่ได้ อาการที่ระลึกไม่ได้ ความไม่ทรงจำ ความเลื่อนลอย ความหลงลืม อัน
ใด นี้เรียกว่า มุฏฐสัจจะ.
อสัมปชัญญะ เป็นไฉน ?
ความไม่รู้ ความไม่เห็น ฯลฯ ลิ่มคืออวิชชา อกุศลมูล คือ โมหะ
อันใด นี้เรียกว่า อสัมปชัญญะ.

[865] สติ เป็นไฉน ?
สติ ความตามระลึก ความหวนระลึก สติ กิริยาที่ระลึก ความทรง
จำ ความไม่เลื่อนลอย ความไม่ลืม สติ สตินทรีย์ สติพละ สัมมาสติ
อันใด นี้เรียกว่า สติ.
สัมปชัญญะ เป็นไฉน ?
ปัญญา กิริยาที่รู้ชัด ฯลฯ ความไม่หลง ความวิจัยธรรม สัมมา-
ทิฏฐิ อันใด นี้เรียกว่า สัมปชัญญะ.
[866] กำลังคือการพิจารณา เป็นไฉน ?
ปัญญา กิริยาที่รู้ชัด ฯลฯ ความไม่หลง ความวิจัยธรรม สัมมาทิฏฐิ
อันใด นี้เรียกว่า กำลังคือการพิจารณา.
กำลังคือภาวนา เป็นไฉน ?
การเสพ การเจริญ การทำให้มาก ซึ่งกุศลธรรมทั้งหลาย อันใด
นี้เรียกว่า กำลังคือภาวนา
โพชฌงค์แม้ทั้ง 7 จัดเป็น กำลังคือภาวนา.
[867] สมณะ เป็นไฉน ?
ความตั้งอยู่แห่งจิต ฯลฯ สัมมาสมาธิ อันใด นี้เรียกว่า สมถะ.
วิปัสสนา เป็นไฉน ?
ปัญญา กิริยาที่รู้ชัด ฯลฯ ความไม่หลง ความวิจัยธรรม สัมมาทิฏฐิ
อันใด นี้เรียกว่า วิปัสสนา.
[868] สมถนิมิต เป็นไฉน ?
ความตั้งอยู่แห่งจิต ฯลฯ สัมมาสมาธิ อันใด นี้เรียกว่า สมถนิมิต.

ปัคคาหนิมิต เป็นไฉน ?
การปรารภความเพียรทางใจ ฯลฯ สัมมาวายามะ อันใด นี้เรียกว่า
ปัคคาหนิมิต.
[869] ปัคคาหะ เป็นไฉน ?
การปรารภความเพียรทางใจ ฯลฯ สัมมาวายามะ อันใด นี้เรียกว่า
ปัคคาหะ.
อวิกเขปะ เป็นไฉน ?
ความตั้งอยู่แห่งจิต ฯลฯ สัมมาสมาธิ อันใด นี้เรียกว่า อวิกเขปะ.
[870] สีลวิบัติ เป็นไฉน ?
ความล่วงละเมิดทางกาย ความล่วงละเมิดทางวาจา ความล่วงละเมิด
ทางกายและทางวาจา อันใด นี้เรียกว่า สีลวิบัติ
ความเป็นผู้ทุศีลแม้ทั้งหมด จัดเป็น สีลวิบัติ.
ทิฏฐิวิบัติ เป็นไฉน ?
ความเห็นว่า ทานที่ให้แล้วไม่มีผล การบูชาไม่มีผล การบวงสรวง
ไม่มีผล ผลวิบากแห่งกรรมที่ทำดีทำชั่วไม่มี โลกนี้ไม่มี โลกอื่นไม่มี มารดา
ไม่มี บิดาไม่มี สัตว์ที่จุติและอุบัติไม่มี สมณพราหมณ์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ
ไม่มีในโลก สมณพราหมณ์ที่ทำให้แจ้งซึ่งโลกนี้และโลกอื่นด้วยปัญญาอันยิ่งเอง
แล้วประกาศให้ผู้อื่นรู้ได้ไม่มีในโลก ดังนี้ ทิฏฐิ ความเห็นไปข้างทิฏฐิ ฯลฯ
การถือโดยวิปลาสมีลักษณะเช่นว่านี้ อันใด นี้เรียกว่า ทิฏฐิวิบัติ
มิจฉาทิฏฐิแม้ทั้งหมด จัดเป็น ทิฏฐิวิบัติ.
[871] สีลสัมปทา เป็นไฉน ?
ความไม่ล่วงละเมิดทางกาย ความไม่ล่วงละเมิดทางวาจา ความไม่ล่วง
ละเมิดทางกายและทางวาจา นี้เรียกว่า สีลสัมปทา

สีลสังวรแม้ทั้งหมด จัดเป็น สีลสัมปทา.
ทิฏฐิสัมปทา เป็นไฉน ?
ความเห็นว่า ทานที่บุคคลให้แล้วย่อมมีผล การบูชาย่อมมีผล การ
บวงสรวงย่อมมีผล ผลวิบากแห่งกรรมที่ทำดีทำชั่วมีอยู่ โลกนี้มีอยู่ โลกอื่น
มีอยู่ มารดามีอยู่ บิดามีอยู่ สัตว์ที่จุติและอุบัติมีอยู่ สมณพราหมณ์ผู้ปฏิบัติดี
ปฏิบัติชอบมีอยู่ในโลก สมณพราหมณ์ที่ทำให้แจ้ง ซึ่งโลกนี้และโลกอื่นด้วย
ปัญญาอันยิ่งเองแล้วประกาศให้ผู้อื่นรู้ได้มีอยู่ในโลก ดังนี้ ปัญญา กิริยาที่รู้ชัด
ฯลฯ ความไม่หลง ความวิจัยธรรม สัมมาทิฏฐิมีลักษณะเช่นว่านี้ อันใด
นี้เรียกว่า ทิฏฐิสัมปทา
สัมมาทิฏฐิแม้ทั้งหมด จัดเป็น ทิฏฐิสัมปทา.
[872] สีลวิสุทธิ เป็นไฉน ?
ความไม่ล่วงละเมิดทางกาย ความไม่ล่วงละเมิดทางวาจา ความไม่ล่วง
ละเมิดทางกายและทางวาจา นี้เรียกว่า สีลวิสุทธิ
สีลสังวรแม้ทั้งหมด จัดเป็น สีลวิสุทธิ.
ทิฏฐิวิสุทธิ เป็นไฉน ?
ญาณเป็นเครื่องรู้ว่าสัตว์มีกรรมเป็นของตน (กัมมัสสกตาญาณ) ญาณ-
อันสมควรแก่การหยั่งรู้อริยสัจ (สัจจานุโลมิกญาณ) ญาณของท่านผู้พร้อมเพรียง
ด้วยมรรค (มัคคญาณ) ญาณของท่านผู้พร้อมเพรียงด้วยผล (ผลญาณ).
[873] บทว่า ความหมดจดแห่งทิฏฐิ นั้น มีนิเทศว่า ปัญญา
กิริยาที่รู้ชัด ฯลฯ ความไม่หลง ความวิจัยธรรม สัมมาทิฏฐิ.
บทว่า ความเพียรแห่งบุคคลผู้มีทิฏฐิอันหมดจด นั้น มีนิเทศว่า
การปรารภความเพียรทางใจ ฯลฯ สัมมาวายามะ.

[874] บทว่า ความสลดใจนั้น มีนิเทศว่า ญาณอันเห็นชาติ
โดยความเป็นภัย ญาณอันเห็นชราโดยความเป็นภัย ญาณอันเห็นพยาธิโดยความ
เป็นภัย ญาณอันเห็นมรณะโดยความเป็นภัย.
บทว่า ฐานะเป็นที่ตั้งแห่งความสลดใจ นั้น มีนิเทศว่า ชาติ
ชรา พยาธิ มรมะ.
บทว่า ความพยายามโดยแยบคายแห่งบุคคลผู้มีใจสลดแล้ว
นั้น มีนิเทศว่า ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมยังฉันทะให้เกิด ย่อมพยายาม
ย่อมปรารภความเพียร ย่อมประคองจิตไว้ ย่อมตั้งจิตไว้ เพื่อความไม่บังเกิด
ขึ้นแห่งอกุศล บาปธรรมทั้งหลายที่ยังไม่บังเกิดขึ้น เพื่อละอกุศลบาปธรรม
ทั้งหลายที่บังเกิดขึ้นแล้ว เพื่อความบังเกิดขึ้นแห่งกุศลธรรมทั้งหลายที่ยังไม่
บังเกิดขึ้น เพื่อความตั้งอยู่ เพื่อความไม่จืดจาง เพื่อความเพิ่มพูน เพื่อความ
ไพบูลย์ เพื่อความเจริญ เพื่อความบริบูรณ์ แห่งกุศลธรรมทั้งหลายที่บังเกิด
ขึ้นแล้ว.
[875] บทว่า ความไม่รู้จักอิ่มในกุศลธรรม นั้น มีนิเทศว่า
ความพอใจยิ่ง ๆ ขึ้นไปของบุคคลผู้ไม่รู้จักอิ่ม ในการเจริญกุศลธรรมทั้งหลาย.
บทว่า ความไม่ท้อถอยในความพยายาม นั้น มีนิเทศว่า ความ
เป็นผู้กระทำโดยเคารพ ความเป็นผู้กระทำติดต่อ ความเป็นผู้กระทำไม่หยุด
ความเป็นผู้ประพฤติไม่ย่อหย่อน ความเป็นผู้ไม่ทั้งฉันทะ ความเป็นผู้ไม่ทอด
ธุระ การเสพ การเจริญ การกระทำให้มาก เพื่อความเจริญแห่งกุศีลธรรม
ทั้งหลาย.
[876] บทว่า วิชชา นั้น มีนิเทศว่า วิชชา 3 วิชชาคือญาณ
อันตามระลึกชาติหนหลังได้ (ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ) วิชชาคือญาณในจุติ

และอุบัติของสัตว์ทั้งหลาย (จุตุปปาตญาณ) วิชชาคือญาณในความสิ้นไป
แห่งอาสวะทั้งหลาย (อาสวักขยญาณ)
บทว่า วิมุตติ นั้น มีนิเทศว่า วิมุตติ 2 คือ อธิมุตติแห่งจิต (สมาบัติ 8)
และนิพพาน.
[877] บทว่า ขเย ญาณํ นั้น มีนิเทศว่า ญาณของท่านผู้พร้อม
เพรียงด้วยมรรค.
บทว่า อนุปฺปาเท ญาณํ นั้น มีนิเทศว่า ญาณของท่านผู้พร้อม
เพรียงด้วยผล.
นิกเขปกัณฑ์ จบ

อรรถกถานิกเขปกัณฑ์


ว่าด้วยนิทเทสวิชชูปมทุกะ


นิทเทสบททั้งหลายแห่งสุตตันติทุกะเหล่านั้น โดยมากมีอรรถตื้นทั้ง
นั้น เพราะสุตตันติกะทั้งหลาย ข้าพเจ้าได้จำแนกแสดงโดยใจความในมาติกา-
กถาแล้ว และเพราะนิทเทสบทแม้เหล่านั้น เข้าใจง่ายโดยนัยที่ได้กล่าวแล้ว
ในหนหลังนั่นแล. แต่ในที่นี้ข้าพเจ้าจะแสดงเนื้อความที่ต่างกันต่อไป
พึงทราบวินิจฉัยในวิชชูปมทุกะก่อน ได้ยินว่า บุรุษผู้มีจักษุเดินทาง
ไปในเวลาราตรีมีเมฆมืด ทางย่อมไม่ปรากฏแก่บุรุษนั้น เพราะความมืด
สายฟ้าแลบแล้วขจัดความมืดไป ทีนั้นทางก็ปรากฏแก่เขา เพราะปราศจาก
ความมืด เขาจึงเดินทางต่อไป แม้ครั้งที่สองความมืดก็ย่อมปกคลุมอีก ทางจึงไม่