เมนู

คำว่า ฐเปตฺวา สีลพฺพตปรามาสํ (เว้นสีลัพพตปรามาส) นี้
ความว่า เพราะสีลัพพตปรามาสไม่ยึดถือโดยอาการมีอาทิว่า นี้เท่านั้นจริง ดังนี้
แต่ย่อมยึดถืออย่างนี้ว่า มีความบริสุทธิ์ได้ด้วยศีล ดังนี้ ฉะนั้น พระผู้มี-
พระภาคเจ้าเมื่อทรงคัดค้านสีลัพพตปรามาสอันเป็นมิจฉาทิฏฐินั้นจึงตรัสว่าเว้น.

นีวรณโคจฉกะ


[748] ธรรมเป็นนิวรณ์ เป็นไฉน ?
นิวรณ์ 6 คือ กามฉันทนิวรณ์ พยาปาทนิวรณ์ ถีนมิทธนิวรณ์
อุทธัจจกุกกุจจนิวรณ์ วิจิกิจฉานิวรณ์ อวิชชานิวรณ์.
[749] บรรดานิวรณ์ 6 นั้น กามฉันทนิวรณ์ เป็นไฉน ?
ความพอใจคือความใคร่ ความกำหนัดคือความใคร่ ความเพลิดเพลิน
คือความใคร่ ตัณหาคือความใคร่ สิเนหาคือความใคร่ ความเร่าร้อนคือความ
ใคร่ ความสยบคือความใคร่ ความหมกมุ่นคือความใคร่ ในกามทั้งหลาย
อันใด นี้เรียกว่า กามฉันทนิวรณ์.
[750] พยาปาทนิวรณ์ เป็นไฉน ?
อาฆาตย่อมเกิดขึ้นได้ด้วยคิดว่า ผู้นี้ได้กระทำความเสื่อมเสียแก่เรา
อาฆาตย่อมเกิดขึ้นได้ด้วยคิดว่า ผู้นี้กำลังทำความเสื่อมเสียแก่เรา อาฆาตย่อมเกิด
ได้ด้วยคิดว่า ผู้นี้จักทำความเสื่อมเสียแก่เรา อาฆาตย่อมเกิดขึ้นได้ด้วยคิดว่า
ผู้นี้ไค้ทำความเสื่อมเสีย ฯลฯ กำลังทำความเสื่อมเสีย ฯลฯ จักทำความเสื่อมเสีย
แก่คนที่รักที่ชอบพอของเรา อาฆาตย่อมเกิดขึ้นได้ด้วยคิดว่า ผู้นี้ได้ทำความ
เจริญ ฯลฯ กำลังทำความเจริญ ฯลฯ จักทำความเจริญแก่คนผู้ไม่เป็นที่รัก

ไม่เป็นที่ชอบพอของเรา หรืออาฆาตย่อมเกิดขึ้นได้ในฐานะอันใช่เหตุ จิต
อาฆาต ความขัดเคือง ความกระทบกระทั่ง ความแค้น ความเคือง ความ
ขุ่นเคือง ความพลุ่งพล่าน โทสะ ความประทุษร้าย ความมุ่งคิดประทุษร้าย
ความขุ่นจิต ธรรมชาติที่ประทุษร้ายใจ โกรธ กิริยาที่โกรธ ภาวะที่โกรธ
มีลักษณะเช่นว่านี้ อันใด (และ) การคิดประทุษร้าย กิริยาที่คิดประทุษร้าย
ความคิดประทุษร้าย การคิดปองร้าย กิริยาที่คิดปองร้าย ความคิดปองร้าย
ความโกรธ ความแค้น ความดุร้าย ความปากร้าย ความไม่แช่มชื่นแห่งจิต
นี้เรียกว่า พยาปาทนิวรณ์.
[751] ถีนมิทธนีวรณ์ เป็นไฉน ?
ถีนมิทธะนั้น แยกเป็นถีนะอย่างหนึ่ง มิทธะอย่างหนึ่ง.
ใน 2 อย่างนั้น ถีนะ เป็นไฉน ?
ความไม่สมประกอบแห่งจิต ความไม่ควรแก่การงานแห่งจิต ความ
ท้อแท้ ความถดถอย ความหดหู่ อาการที่หดหู่ ภาวะที่หดหู่ ความซบเซา
อาการที่ซบเซา ภาวะที่ซบเซาแห่งจิต อันใด นี้เรียกว่า ถีนะ.
มิทธะ เป็นไฉน ?
ความไม่สมประกอบแห่งนามกาย ความไม่ควรแก่งานแห่งนามกาย
ความปกคลุม ความหุ้มห้อ ความปิดบังไว้ภายใน ความง่วงเหงา ความหาว
นอน ความโงกง่วง ความหาวนอน อาการที่หาวนอน ภาวะที่หาวนอน อันใด
นี้เรียกว่า มิทธะ.
ถีนะและมิทธะดังว่านี้ รวมเรียกว่า ถีนมิทธนิวรณ์.
[752] อุทธัจจกุกกุจจนิวรณ์ เป็นไฉน ?
อุทธัจจกุกกุจจะนั้น แยกเป็นอุทธัจจะอย่างหนึ่ง กุกกุจจะอย่างหนึ่ง
ใน 2 อย่างนั้น อุทธัจจะ เป็นไฉน ?

ความฟุ้งซ่านแห่งจิต ความไม่สงบแห่งจิต ความวุ่นวายใจ ความ
พล่านแห่งจิต อันใด นี้เรียกว่า อุทธัจจะ.
กุกกุจจะ เป็นไฉน ?
ความสำคัญว่าควรในของที่ไม่ควร ความสำคัญว่าไม่ควรในของที่ควร
ความสำคัญว่ามีโทษในของที่ไม่มีโทษ ความสำคัญว่าไม่มีโทษในของที่มีโทษ
การรำคาญ กิริยาที่รำคาญ ความรำคาญ ความเดือดร้อนใจ ความยุ่งใจ ซึ่งมี
ลักษณะเช่นว่านี้ อันใด นี้เรียกว่า กุกกุจจะ.
อุทธัจจะและกุกกุจจะนี้ รวมเรียกว่า อุทธัจจกุกกุจจนิวรณ์.
[753] วิจิกิจฉานิวรณ์ เป็นไฉน ?
ปุถุชนเคลือบแคลงสงสัยในพระศาสดา ในพระธรรม ในพระสงฆ์
ในสิกขา ในส่วนอดีต ในส่วนอนาคต ทั้งในส่วนอดีตและส่วนอนาคต ใน
ปฏิจจสมุปบาทธรรมที่ว่า เพราะธรรมนี้เป็นปัจจัยธรรมนี้จึงเกิดขึ้น การเคลือบ
แคลง กิริยาที่เคลือบแคลง ความเคลือบแคลง ความคิดเห็นไปต่าง ๆ นานา
ความตัดสินอารมณ์ไม่ได้ ความเห็นเป็นสองแง่ ความเห็นเหมือนทางสอง
แพร่ง ความสงสัย ความไม่สามารถจะถือเอาโดยส่วนเดียวได้ ความคิดส่าย
ไป ความคิดพร่าไป ความไม่สามารถจะหยั่งลงถือเอาเป็นยุติได้ ความกระด้าง
แห่งจิต ความลังเลใจ มีลักษณะเช่นว่านี้ อันใด นี้เรียกว่า วิจิกิจฉานิวรณ์.
[754] อวิชชานิวรณ์ เป็นไฉน ?
ความไม่รู้ในทุกข์ ความไม่รู้ในทุกขสมุทัย ความไม่รู้ในทุกขนิโรธ
ความไม่รู้ในทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา ความไม่รู้ในส่วนอดีต ความไม่รู้ในส่วน
อนาคต ความไม่รู้ในส่วนอดีตและส่วนอนาคต ความไม่รู้ในปฏิจจสมุปปาท-
ธรรมว่าเพราะธรรมนี้เป็นปัจจัยธรรมนี้จึงเกิดขึ้น ความไม่รู้ ความไม่เห็น

ความไม่ตรัสรู้ ความไม่รู้โดยสมควร ความไม่รู้ตามความเป็นจริง ความไม่
แทงตลอด ความไม่ถือเอาให้ถูกต้อง ความไม่หยั่งลงโดยรอบคอบ ความไม่
พินิจ ความไม่พิจารณา ความไม่ทำให้ประจักษ์ ความมีปัญญาทราม ความ
โง่เขลา ความไม่รู้ชัด ความหลง ความลุ่มหลง ความหลงใหล อวิชชา
โอฆะคืออวิชชา โยคะคืออวิชชา อนุสัยคืออวิชชา ปริยุฏฐานคืออวิชชา ลิ่ม
คืออวิชชา อกุศลมูลคือโมหะ มีลักษณะเช่นว่านี้ อันใด นี้เรียกว่า อวิชชา-
นิวรณ์.
สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นนิวรณ์.
[755] ธรรมไม่เป็นนิวรณ์ เป็นไฉน ?
เว้นนิวรณธรรมเหล่านั้นเสีย กุศลธรรม อกุศลธรรม อัพยากตธรรม
ที่เหลือซึ่งเป็นกามาวจร รูปาวจร อรูปาวจร โลกุตระ คือ เวทนาขันธ์
ฯลฯ วิญญาณขันธ์ รูปทั้งหมด และอสังขตธาคุ สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า
ธรรมไม่เป็นนิวรณ์.
[756] ธรรมเป็นอารมณ์ของนิวรณ์ เป็นไฉน ?
กุศลธรรม กุศลธรรม อัพยากตธรรม ประเภทที่ยังมีอาสวะ ซึ่ง
เป็นกามาวจร รูปาวจร อรูปาวจร คือ รูปขันธ์ ฯลฯ วิญญาณขันธ์ สภาว-
ธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นอารมณ์ของนิวรณ์.
ธรรมไม่เป็นอารมณ์ของนิวรณ์ เป็นไฉน ?
มรรคและผลของมรรคที่เป็นโลกุตระ และอสังขตธาตุ สภาวธรรม
เหล่านี้ชื่อว่า ธรรมไม่เป็นอารมณ์ของนิวรณ์.
[757] ธรรมสัมปยุต ด้วยนิวรณ์ เป็นไฉน ?

ธรรมเหล่าใด สัมปยุตด้วยนิวรณ์ธรรมเหล่านั้น คือ เวทนาขันธ์
ฯลฯ วิญญาณขันธ์ สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมสัมปยุตด้วยนิวรณ์.
ธรรมวิปปยุตจากนิวรณ์ เป็นไฉน ?
ธรรมเหล่าใด วิปปยุตจากนิวรณ์ธรรมเหล่านั้น คือ เวทนาขันธ์
ฯลฯ วิญญาณขันธ์, รูปทั้งหมด และอสังขตธาตุ สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า
ธรรมวิปปยุตจากนิวรณ์.
[758] ธรรมเป็นนิวรณ์ และเป็นอารมณ์ของนิวรณ์ เป็น
ไฉน ?
นิวรณ์เหล่านั้นนั่นเอง ชื่อว่าธรรมเป็นนิวรณ์และเป็นอารมณ์ของ
นิวรณ์.
ธรรมเป็นอารมณ์ของนิวรณ์แต่ไม่เป็นนิวรณ์ เป็นไฉน ?
ธรรมเหล่าใด เป็นอารมณ์ของนิวรณ์โดยนิวรณ์ธรรมเหล่านั้น เว้น
นิวรณธรรมเหล่านั้นเสีย คือ กุศลธรรม อกุศลธรรม อัพยากตธรรม
ประเภทที่ยังมีอาสวะที่เหลือ ซึ่งเป็นกามาวจร รูปาวจร อรูปาวจร ได้แก่
รูปขันธ์ ฯลฯ วิญญาณขันธ์ สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นอารมณ์ของ
นิวรณ์แต่ไม่เป็นนิวรณ์.
[759] ธรรมสัมปยุตด้วยนิวรณ์แต่ไม่เป็นนิวรณ์ เป็นไฉน ?
กามฉันทนิวรณ์เป็นนิวรณ์ และสัมปยุตด้วยนิวรณ์โดยอวิชชานิวรณ์
อวิชชานิวรณ์เป็นนิวรณ์ และสัมปยุตด้วยนิวรณ์โดยกามฉันทนิวรณ์
พยาปาทนิวรณ์เป็นนิวรณ์ และสัมปยุตด้วยนิวรณ์โดยอวิชชานิวรณ์
อวิชชานิวรณ์เป็นนิวรณ์ และสัมปยุตด้วยนิวรณ์โดยพยาปาทนิวรณ์

ถีนมิทธนิวรณ์เป็นนิวรณ์ และสัมปยุตด้วยนิวรณ์โดยอวิชชานิวรณ์
อวิชชานิวรณ์เป็นนิวรณ์ และสัมปยุตด้วยนิวรณ์โดยถีนมิทธนิวรณ์
อุทธัจจนิวรณ์เป็นนิวรณ์ และสัมปยุตด้วยนิวรณ์โดยอวิชชานิวรณ์
อวิชชานิวรณ์เป็นนิวรณ์ และสัมปยุตด้วยนิวรณ์โดยอุทธัจจนิวรณ์
กุกกุจจนิวรณ์เป็นนิวรณ์ และสัมปยุตด้วยนิวรณ์โดยอวิชชานิวรณ์
อวิชชานิวรณ์เป็นนิวรณ์ และสัมปยุตด้วยนิวรณ์โดยกุกกุจจนิวรณ์
วิจิกิจฉานิวรณ์เป็นนิวรณ์ และสัมปยุตด้วยนิวรณ์โดยอวิชชานิวรณ์
อวิชชานิวรณ์เป็นนิวรณ์ และสัมปยุตด้วยนิวรณ์โดยวิจิกิจฉานิวรณ์
กามฉันทนิวรณ์เป็นนิวรณ์ และสัมปยุตด้วยนิวรณ์โดยอุทธัจจนิวรณ์
อุทธัจจนิวรณ์เป็นนิวรณ์ และสัมปยุตด้วยนิวรณ์โดยกามฉันทนิวรณ์
พยาปาทนิวรณ์เป็นนิวรณ์ และสัมปยุตด้วยนิวรณ์โดยอุทธัจจนิวรณ์
อุทธัจจนิวรณ์เป็นนิวรณ์ และสัมปยุตด้วยนิวรณ์โดยพยาปาทนิวรณ์
ถีนมิทธนิวรณ์เป็นนิวรณ์ และสัมปยุตด้วยนิวรณ์โดยอุทธัจจนิวรณ์
อุทัจจนิวรณ์เป็นนิวรณ์ และสัมปยุตด้วยนิวรณ์โดยถีนมิทธนิวรณ์
กุกกุจจนิวรณ์เป็นนิวรณ์ และสัมปยุตด้วยนิวรณ์โดยอุทธัจจนิวรณ์
อุทัจจนิวรณ์เป็นนิวรณ์ และสัมปยุตด้วยนิวรณ์โดยกุกกุจจนิวรณ์
วิจิกิจฉานิวรณ์เป็นนิวรณ์ และสัมปยุตด้วยนิวรณ์โดยอุทัจจนิวรณ์
อุทธัจจนิวรณ์เป็นนิวรณ์ และสัมปยุตด้วยนิวรณ์โดยวิจิกิจฉานิวรณ์
อวิชชานิวรณ์เป็นนิวรณ์ และสัมปยุตด้วยนิวรณ์โดยอุทธัจจนิวรณ์
อุทธัจจนิวรณ์เป็นนิวรณ์ และสัมปยุตด้วยนิวรณ์โดยอวิชชานิวรณ์
สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นนิวรณ์และสัมปยุตด้วยนิวรณ์.

ธรรมวิปปยุตด้วยนิวรณ์แต่เป็นอารมณ์ของนิวรณ์ เป็นไฉน ?
ธรรมเหล่าใด สัมปยุตด้วยนิวรณธรรมเหล่านั้น เว้นนิวรณธรรม
เหล่านั้น เสีย คือ เวทนาขันธ์ ฯลฯ วิญญาณขันธ์ สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า
ธรรมสัมปยุต ด้วยนิวรณ์แต่ไม่เป็นนิวรณ์.
[760] ธรรมวิปปยุตจากนิวรณ์ แต่เป็นอารมณ์ของนิวรณ์
เป็นไฉน ?
ธรรมเหล่าใด วิปปยุตจากนิวรณธรรมเหล่านั้น คือ กุศลธรรม
อัพยากตธรรม ประเภทที่ยังมีอาสวะ ซึ่งเป็นกามาวจร รูปาวจร อรูปาวจร
ได้แก่รูปขันธ์ ฯลฯ วิญญาณขันธ์ สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมวิปปยุตจาก
นิวรณ์แต่เป็นอารมณ์ของนิวรณ์.
ธรรมวิปปยุตจากนิวรณ์ และไม่เป็นอารมณ์ของนิวรณ์ เป็น
ไฉน ?
มรรคและผลของมรรคที่เป็นโลกุตระ และอสังขตธาตุ สภาวธรรม
เหล่านี้ชื่อว่า ธรรมวิปปยุตจากนิวรณ์ และไม่เป็นอารมณ์ของนิวรณ์.
นีวรณโคจฉกะ จบ

ปรามาสโคจฉกะ


[761] ธรรมเป็นปรามาสะ เป็นไฉน ?
ทิฏฐิปรามาสะ.
ทิฏฐิปรามาสะ เป็นไฉน ?
ความเห็นว่า โลกเที่ยงก็ดี ว่าโลกไม่เที่ยงก็ดี ว่าโลกมีที่สุดก็ดี ว่า
โลกไม่มีที่สุดก็ดี ว่าชีพอันนั้น สรีระก็อันนั้นก็ดี ว่าชีพเป็นอื่น สรีระก็เป็น
อื่นก็ดี ว่าสัตว์ยังเป็นอยู่เบื้องหน้าแต่มรณะก็ดี ว่าสัตว์ไม่เป็นอยู่เบื้องหน้าแต่
มรณะก็ดี ว่าสัตว์ยังเป็นอยู่ก็มี ไม่เป็นอยู่ก็มี เบื้องหน้าแต่มรณะก็ดี ว่าสัตว์