เมนู

[718] ธรรมวิปปยุตจากอาสวะแต่เป็นอารมณ์ของอาสวะ
เป็นไฉน ?
มรรคและผลของมรรคที่เป็นโลกุตระ และอสังขตธาตุ สภาวธรรม
เหล่านี้ชื่อว่า ธรรมวิปปยุตจากอาสวะและไม่เป็นอารมณ์ของอาสวะ.
อาสวโคจฉกะ จบ

ว่าด้วยนิทเทสอาสวทุกะ


พึงทราบวินิจฉัยในนิทเทสอาสวทุกะ ต่อไป
ราคะประกอบด้วยเบญจกามคุณ ชื่อว่า กามาสวะ ฉันทราคะใน
รูปภพและอรูปภพ ความใคร่ชอบใจอันเป็นไปในฌาน ราคะสหรคตด้วย
สัสสตทิฏฐิ ความปรารถนาด้วยอำนาจแห่งภพ ชื่อว่า ภวาสวะ ทิฏฐิ 62
ชื่อว่า ทิฏฐาสวะ ความไม่รู้ในฐานะ 8 ชื่อว่า อวิชชาสวะ.
ก็เพื่อมิให้หลงใหลในอาสวะทั้งหลายที่ตรัสไว้ในที่นั้น ๆ พึงทราบ
ความต่างกันแห่งอาสวะมีอาสวะหมวดหนึ่งเป็นต้น เพราะเมื่อว่าโดยอรรถ อา-
สวะเหล่านี้มีอย่างเดียวเท่านั้น อย่างนี้คือ ชื่อว่า อาสวะ เพราะอรรถว่า เป็น
ของหมักดอง แต่ในพระวินัยตรัสอาสวะ 2 อย่าง คือ เพื่อปิดกั้นอาสวะอัน
เป็นไปในปัจจุบัน เพื่อป้องกันอาสวะอันเป็นไปในสัมปรายิกภพ ดังนี้. ใน
พระสูตร ในสฬายตนะ มีอาสวะ 3 อย่างว่า ดูก่อนอาวุโส อาสวะ 3 เหล่านี้
คือ กามาสวะ ภวาสวะ และอวิชชาสวะ ดังนี้. ในนิพเพธิกปริยายสูตร
มีอาสวะ 5 อย่าง ที่ตรัสไว้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อาสวะที่เป็นเหตุให้ตกนรก
ก็มี อาสวะเป็นเหตุให้เกิดเป็นสัตว์ดิรัจฉานก็มี อาสวะที่ให้ไปสู่ปิตติวิสัยก็มี

อาสวะที่ให้ไปสู่มนุษยโลกก็มี อาสวะที่ให้ไปสู่เทวโลกก็มี. ในฉักกนิบาตอา-
หุเนยยสูตรตรัสอาสวะ 6 อย่างว่า อาสวะที่พึงละด้วยสังวรก็มี อาสวะที่พึงละด้วย
การเสพก็มี อาสวะที่พึงละด้วยการอดกลั้นก็มี อาสวะที่พึงละด้วยหลีกออกก็มี
อาสวะที่พึงละด้วยการบรรเทาก็มี อาสวะที่พึงละด้วยภาวนาก็มี. ในสัพพาสวปริ-
ยายสูตรตรัสอาสวะ 7 อย่าง กับทัสสนปหาตัพพธรรม.
แต่ในที่นี้ อาสวะเหล่านั้นตรัสไว้ 4 อย่าง โดยประเภทแห่งกามาสวะ
เป็นต้น ในอาสวะ 4 เหล่านั้นมีวจนัตถะ ดังต่อไปนี้
อาสวะในกามกล่าวต่อเบญจกามคุณ ชื่อว่า กามาสวะ อาสวะในภพ
แม้ทั้ง 2 คือ กัมมภพและอุปปัตติภพ ได้แก่ รูปภพและอรูปภพ ชื่อว่า
ภวาสวะ อาสวะคือทิฏฐิ ชื่อว่า ทิฏฐาสวะ อาสวะคืออวิชชา ชื่อว่า อวิชชา-
สวะ.

บทว่า กาเมสุ (ในกามทั้งหลาย) ได้แก่ กามคุณ 5. บทว่า
กามฉนฺโท ได้แก่ ความพอใจคือความใคร่ มิใช่ความพอใจของบุคคลผู้ใคร่
จะทำ และมิใช่ธรรมฉันทะ ครามกำหนัดคือความใคร่ด้วยอำนาจแห่งความ
พอใจและด้วยอำนาจแห่งความกำหนัด ชื่อว่า กามราคะ.
กามาสวะที่ชื่อว่า กานนนฺที (ความเพลิดเพลินคือความใคร่) เพราะ
อรรถว่า ความเพลิดเพลินคือกามด้วยอำนาจแห่งความใคร่และความเพลิดเพลิน.
บัณฑิตทราบอรรถแห่งกามะในบททั้งปวงอย่างนี้ พึงทราบว่า ที่ชื่อว่า กาม-
ตัณหา
(ตัณหาคือความใคร่) โดยความหมายของตัณหา ที่ชื่อว่า กามสิเนโห
(สิเนหาคือความใคร่) โดยความหมายของความรัก ที่ชื่อว่า กามปริฬาโห
(ความเร่าร้อนคือความใคร่) โดยความหมายแห่งการแผดเผา ที่ชื่อว่า
กามมุจฺฉา (ความสยบคือความใคร่) โดยความหมายของการซบเซา พึง

ทราบว่า กามชฺโฌสานํ (ความหมกมุ่นคือความใคร่) โดยความหมายของ
การกลืนหมดสิ้น.
บทว่า อยํ วุจฺจติ (นี้เรียกว่า) ความว่า อาสวะที่จำแนกด้วยบท
ทั้ง 8 นี้ ตรัสเรียกชื่อว่า กามาสวะ.
บทว่า ภเวสุ ภวฉนฺโท (ความพอใจในภพ ในภพทั้งหลาย)
ความว่า ความพอใจอันเป็นไปด้วยอำนาจการปรารถนาภพ ในรูปภพและ
อรูปภพ ชื่อว่า ภวฉันทะ (ความพอใจในภพ). พึงทราบแม้บทที่เหลือ
โดยนัยนี้แล.
อนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสประเภทแห่งทิฏฐิด้วยอาการ 10 อย่างมี
อาทิว่า สสฺสโต โลโก (ความเห็นว่าโลกเที่ยง) บรรดาทิฏฐิเหล่านั้น คำว่า
สสฺสโต โลโก (โลกเที่ยง) มีอธิบายว่า ทิฏฐิอันเป็นไปด้วยอาการแห่ง
การยึดถือว่า เที่ยง ของบุคคลผู้ยึดเบญจขันธ์ว่า เป็นโลก แล้วถือว่า โลก
นี้เที่ยง ยั่งยืน มีอยู่ตลอดกาลเป็นนิตย์.
บทว่า อสสฺสโต (โลกไม่เที่ยง) อธิบายว่า ทิฏฐิอันเป็นไปด้วย
อาการที่ยึดถือการขาดสูญ ของบุคคลผู้ยึดถือโลกนั้นนั่นแหละว่า ย่อมขาดสูญ
ย่อมพินาศ.
บทว่า อนฺตวา (โลกมีที่สุด) ความว่า ทิฏฐิที่เป็นไปด้วยอาการ
แห่งการยึดถือว่า โลกมีที่สุด ของบุคคลผู้ได้ฌานมีกสิณเล็กน้อยเป็นอารมณ์
หรือผู้เข้าสมาบัติในกสิณมีประมาณเท่ากระด้งหรือขันน้ำ ผู้ยึดถือในรูปและ
อรูปธรรมอันเป็นไปภายในสมาบัติว่าเป็นโลก และว่ามีที่สุด ด้วยการกำหนด
กสิณ. ทิฏฐินั้นเป็นสัสสตทิฏฐิ (ความเห็นว่าเที่ยง) บ้าง เป็นอุจเฉททิฏฐิ
(ความเห็นว่าขาดสูญ) บ้าง. แต่บุคคลผู้ได้กสิณไพบูลเข้าสมาบัติกสิณนั้น

ยึดถือรูปธรรมอรูปธรรมที่เป็นไปภายในสมาบัติว่าเป็นโลก และเห็นว่าไม่มี
ที่สุด
ด้วยการกำหนดกสิณ มีความเห็นเป็นไปด้วยอาการแห่งการยึดถือว่า
โลกไม่มีที่สุด ทิฏฐิ (ความเห็น) นั้นเป็นสัสสตทิฏฐิบ้าง เป็นอุจเฉททิฏฐิบ้าง.
บทว่า ตํ ชีวํ ตํ สรีรํ (ชีพก็อันนั้น สรีระก็อันนั้น) ความว่า
ทิฏฐิอันเป็นไปด้วยอาการถือการขาดสูญว่า เมื่อสรีระขาดสูญ แม้ชีพก็ขาดสูญ
เพราะถือว่า ชีพของสรีระนั่นแหละมีความแตกดับเป็นธรรมดา.
แม้ในบทที่ 2 ทิฏฐิที่เป็นไปด้วยอาการที่ยึดถือความเที่ยงว่า เมื่อ
สรีระแม้ขาดสูญอยู่ แต่ชีพจักไม่ขาดสูญ เพราะการยึดถือชีพเป็นอย่างอื่น
จากสรีระ.
พึงทราบวินิจฉัยในบทมีอาทิว่า โหติ ตถาคโต ปรํมรณา (สัตว์
ยังเป็นอยู่เบื้องหน้าแต่มรณะ) ดังนี้ สัตว์ชื่อว่า ตถาคต เมื่อยึดถือว่า สัตว์
นั้นยังเป็นอยู่เบื้องหน้าแต่มรณะดังนี้ เป็นสัสสตทิฏฐิข้อที่หนึ่ง เมื่อถือว่า
ไม่เป็นอยู่ก็เป็นอุจเฉททิฏฐิข้อที่ 2 เมื่อถือว่า เป็นอยู่ก็มี ไม่เป็นอยู่ก็มี
ก็เป็นเอกัจจสัสสตทิฏฐิ ข้อที่ 3 เมื่อถือว่าเป็นอยู่ก็มิใช่ ไม่เป็นอยู่ก็มิใช่ ก็เป็น
อมราวิกเขปทิฏฐิ ข้อที่ 4.
บทว่า อิเม ธมฺมา อาสวา (สภาวธรรมเหล่านั้น ชื่อว่า ธรรม
เป็นอาสวะ) ความว่า สภาวธรรมเหล่านี้รวมกามาสวะและภวาสวะเป็นอัน
เดียวกันด้วยอำนาจแห่งราคะ โดยย่อเป็นธรรม 3 โดยพิสดารเป็น 4 ชื่อว่า
สภาวธรรมเป็นอาสวะ.
ถามว่า ก็ฉันทราคะ (ความกำหนัดด้วยอำนาจความพอใจ) ย่อม
เกิดขึ้นวิมาน ต้นกัลปพฤกษ์และอาภรณ์ของพรหม เป็นกามาสวะหรือไม่ ?
ตอบว่า ไม่เป็น เพราะเหตุไร ? เพราะความที่ราคะอันเป็นเบญจกามคุณท่าน
ละได้แล้วในโลกนี้แหละ.

ก็เพ่งถึงเหตุโคจฉกะแล้ว โลภะชื่อว่าเป็นเหตุ. เพ่งถึงคัณฐโคจฉกะ
แล้ว โลภะชื่อว่าอภิชฌากายคัณฐะ เพ่งถึงกิเลสโคจฉกะแล้ว โลภะชื่อว่าเป็น
กิเลส.
ถามว่า ก็ราคะเกิดพร้อมกับทิฏฐิ เป็นกามาสวะหรือไม่ ? ตอบว่า
ไม่เป็น ธรรมนี้ชื่อว่า ทิฏฐิราคะ ข้อนี้สมจริงดังคำที่ท่านกล่าวไว้ว่า ขึ้น
ชื่อว่า ทานที่บุคคลให้ในบุรุษบุคคลผู้ยังยินดีด้วยทิฏฐิราคะ ย่อมไม่มีผลมาก
ไม่มีอานิสงส์มาก ดังนี้.
ก็อาสวะเหล่านี้ ควรนำมาตามลำดับกิเลสบ้าง ตามลำดับแห่งมรรค
บ้าง ว่าโดยลำดับแห่งกิเลส อนาคามิมรรคย่อมละกามาสวะ อรหัตมรรค
ย่อมละภวาสวะ โสดาปัตติมรรคย่อมละทิฏฐาสวะ อรหัตมรรคย่อมละอวิชชา-
สวะ. ว่าโดยลำดับแห่งมรรค โสดาปัตติมรรคละทิฏฐาสวะ อนาคามิมรรค
ละกามาสวะ อรหัตมรรคละภวาสวะและอวิชชาสวะ ดังนี้.

สัญโญชนโคจฉกะ


[719] ธรรมเป็นสัญโญชน์ เป็นไฉน ?
สัญโญชน์ 10 คือ กามราคสัญโญชน์ ปฏิฆสัญโญชน์ มานสัญโญชน์
ทิฏฐิสัญโญชน์ วิจิกิจฉาสัญโญชน์ สีลัพพตปรามาสสัญโญชน์ ภวราคสัญโญชน์
อิสสาสัญโญชน์ มัจฉริยสัญโญชน์ อวิชชาสัญโญชน์.
[720] บรรดาสัญโญชน์ 10 นั้น กามราคสัญโญชน์ เป็นไฉน ?
ความพอใจต่อความใคร่ ความกำหนัดคือความใคร่ ความเพลิดเพลิน
คือความใคร่ ตัณหาคือความใคร่ สิเนหาคือความใคร่ ความเร่าร้อนคือ