เมนู

บทว่า ปุพฺพนฺเต (ในส่วนอดีต) ได้แก่ ในส่วนที่ล่วงไปแล้ว.
บทว่า อปรนฺเต (ในส่วนอนาคต) ได้แก่ ในส่วนที่ยังไม่มาถึง. บทว่า
ปุพฺพนฺตาปรนฺเต ได้แก่ ในส่วนทั้ง 2 นั้น. คำว่า อิทปฺปจฺจยตา ปฏิจฺจ-
สมุปฺปนฺเนสุ ญาณํ
(ความรู้ในอิทัปปัจจยตาธรรมและปฏิจจสมุปบาทธรรม)
ได้แก่ ความรู้เนื้อความในปัจจัยทั้งหลายและในธรรมที่เกิดขึ้นเพราะปัจจัย
อย่างนี้ว่า นี้เป็นปัจจัย ธรรมนี้เกิดขึ้นเพราะอาศัยธรรมนี้ ดังนี้.

ว่าด้วยนิทเทสแห่งโลภะ


เนื้อความแห่งบททั้งหลายที่ยังมิได้กล่าวไว้ในหนหลังแม้ในโลภนิทเทส
พึงทราบดังต่อไปนี้.
สภาวะที่ชื่อว่า ราคะ (ความกำหนัด) ด้วยสามารถความยินดี. ที่ชื่อว่า
สาราคะ (ความกำหนัดนัก) ด้วยอรรถว่าความยินดีมีกำลัง. ที่ชื่อว่า อนุนโย
(ความคล้อยตามอารมณ์) เพราะยังสัตว์ทั้งหลายให้คล้อยไปในอารมณ์ทั้งหลาย.
ที่ชื่อว่า อนุโรโธ (ความยินดี) เพราะอรรถว่า ย่อมพอใจ อธิบายว่า ย่อม
ยังสัตว์ให้ใคร่. ที่ชื่อว่า นนฺที (ความเพลิดเพลิน) เพราะอรรถว่า เป็นเหตุ
ให้สัตว์เพลิดเพลินในภพใดภพหนึ่ง หรือตัวเองย่อมเพลิดเพลิน. ความเพลิด
เพลินนั้นด้วย ความกำหนัดด้วยอรรถว่าความยินดีนั้นด้วย เพราะฉะนั้น จึง
ชื่อว่า นนฺทีราโค (ความกำหนัดด้วยอำนาจความเพลิดเพลิน) ในนันทีราคะ
นั้น ตัณหาเกิดขึ้นครั้งเดียวในอารมณ์หนึ่ง ชื่อว่า นันที (ความเพลิดเพลิน)
เมื่อเกิดขึ้นบ่อย ๆ จึงตรัสเรียกว่า นันทีราคะ (ความกำหนัดด้วยอำนาจความ
เพลิดเพลิน).
บทว่า จิตฺตสฺส สาราโค (ความกำหนัดหนักแห่งจิต) ได้แก่ ความ
กำหนัดใดที่ตรัสไว้ว่า สาราโค (ความกำหนัดหนัก) ด้วยอรรถว่า ความยินดีมี

กำลังในหนหลัง ความกำหนัดหนักนั้นเป็นความกำหนัดหนักของจิตเท่านั้น
มิใช่ของสัตว์.
สภาวะที่ชื่อว่า อิจฺฉา (ความอยาก) เพราะอรรถว่า เป็นเหตุอยาก
อารมณ์. ที่ชื่อว่า มุจฺฉา (สยบ) เพราะอรรถว่า เป็นเหตุให้สัตว์สยบเพราะ
ความที่กิเลสมีกำลัง. ที่ชื่อว่า อชฺโฌสานํ (ความหมกหมุ่น) ด้วยอำนาจการ
ถือเอาโดยการกลืนให้สิ้นไป. ที่ชื่อว่า เคโธ (ความใคร่) เพราะอรรถว่า
เป็นเหตุให้สัตว์มักมากด้วยราคะนี้ คือให้ถึงความตะกละตะกลาม. อีกอย่างหนึ่ง
ชื่อว่า เคโธ (ความใคร่) ด้วยอรรถว่าหนาแน่น จริงอยู่ อรรถว่าหนาแน่น
นี้แหละ เหมือนที่ตรัสว่า ความใคร่เป็นดังไพรสณฑ์ทึบ (หนาแน่น) ดังนี้.
บทต่อไปคือ ปลิเคโธ (ความรักใคร่) ท่านเพิ่มด้วยอำนาจอุปสรรค. อีก
อย่างหนึ่ง ชื่อว่า ปลิเคโธ (ความรักใคร่) เพราะอรรถว่า เป็นความละโมบ
โดยส่วนทั้งปวง. ที่ชื่อว่า สงฺโค (ความข้อง) เพราะอรรถว่า เป็นเหตุให้
สัตว์ติดอยู่ อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่า สงฺโค ด้วยอรรถว่าติดอยู่. ที่ชื่อว่า ปงฺโก
(ความจมอยู่) ด้วยอรรถว่าจมลง. ที่ชื่อว่า เอชา (ธรรมชาติผู้คร่ามา)
ด้วยอำนาจแห่งการคร่ามา จริงอยู่คำนี้ตรัสไว้ว่า ธรรมชาติผู้คร่ามา ย่อมชัก
ลากบุรุษไปเพื่อเกิดขึ้นเฉพาะในภพนั้น ๆ โดยแท้. ที่ชื่อว่า มายา (ธรรมชาติ
หลอกลวง) ด้วยอรรถว่าล่อสัตว์ไว้. ที่ชื่อว่า ชนิกา (ธรรมชาติผู้ยังสัตว์ให้
เกิด) ด้วยอรรถว่ายังสัตว์ให้เกิดในวัฏฏะ จริงอยู่ คำนี้ตรัสไว้ว่า ตัณหาย่อม
ยังสัตว์ให้เกิด จิตของสัตว์นั้นย่อมพล่านไป. ที่ชื่อว่า สญฺชนนี (ธรรมชาติผู้
ยังสัตว์ให้เกิดพร้อม) เพราะอรรถว่า ยังสัตว์ให้เกิดผูกมัดไว้ด้วยความทุกข์ใน
วัฏฏะ. ที่ชื่อว่า สิพฺพินี (ธรรมชาติอันร้อยรัด) เพราะอรรถว่า ย่อมร้อยรัด
สัตว์ไว้ด้วยการสืบต่อ จริงอยู่ ตัณหานี้ย่อมร้อยรัดสัตว์ไว้ในวัฏฏะ ให้สืบต่อ

ด้วยอำนาจจุติปฏิสนธิ เหมือนช่างชุน ชุนผ้าท่อนเก่ากับผ้าท่อนเก่า เพราะ
ฉะนั้นจึงตรัสว่า ตัณหานี้ย่อมร้อยรัดสัตว์ไว้ ด้วยอรรถว่ากระทำให้สืบต่อ.
ที่ชื่อว่า ชาลินี (ธรรมชาติมีข่าย) เพราะอรรถว่า ข่ายคืออารมณ์มีประการ
มากมาย หรือว่าข่ายคือการเข้าไปดิ้นรนของตัณหานั้นมีประการต่าง ๆ.
ที่ชื่อว่า สริตา (ธรรมชาติอันกำเริบใจ) เพราะอรรถว่า เหมือน
แม่น้ำมีกระแสอันเชี่ยว ด้วยอรรถว่าคร่ามา อีกอย่างหนึ่ง ที่ชื่อว่า สริตา
ด้วยอรรถว่าชุ่มใจ เหมือนที่ตรัสไว้ว่า โสมนัสเป็นธรรมชาติชุ่มใจ เป็นความ
เสน่หาย่อมมีแก่สัตว์ผู้เกิด ก็ในบาลีนั้นอธิบายว่า ตัณหานี้เป็นความชุ่มชื่นและ
ความสนิทสนมกัน. ที่ชื่อว่า วิสตฺติกา (ธรรมชาติอันซ่านไป) เพราะอรรถว่า
หลั่งไหลไป.
อีกอย่างหนึ่ง ตัณหาชื่อว่า วิสตฺติกา เพราะอรรถว่า ซึมซาบไป
ชื่อว่า วิสตฺติกา เพราะอรรถว่า กว้างขวาง ชื่อว่า วิสตฺติกา เพราะ
อรรถว่า ย่อมกระสับกระส่าย ชื่อว่า วิสตฺติกา เพราะอรรถว่า หลอกลวง
ชื่อว่า วิสตฺติกา เพราะอรรถว่า ย่อมบั่นทอนโดยประการต่าง ๆ ชื่อว่า
วิสตฺติกา เพราะอรรถว่า มีรากเป็นพิษ ชื่อว่า วิสตฺติกา เพราะอรรถว่า
มีผลเป็นพิษ คือว่า ความเกิดขึ้นแห่งทุกข์เป็นเป็นผลมาแต่ตัณหานั้น เหตุนั้น
ตัณหานั้นท่านจึงเรียกว่า มีรากเป็นพิษ ชื่อว่า วิสตฺติกา เพราะอรรถว่า
มีการบริโภคเป็นพิษ ก็หรือชื่อว่า วิสตฺติกา เพราะอรรถว่า ตัณหานั้นซ่าน
ไปในอารมณ์ต่าง ๆ คือแพร่หลาย ขยายไปในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ
ในธรรม ในตระกูล ในคณะ.
ที่ชื่อว่า สุตฺตํ (ธรรมชาติเหมือนเส้นด้าย) เพราะอรรถว่า ดุจเส้น
ด้ายที่ผูกเต่าไว้ ด้วยอรรถว่าให้ถึงความเสื่อมและความพินาศ สมดังพระดำรัส

ที่ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธรรมชาติเหมือนเส้นด้ายนี้แล เป็นชื่อของ
นันทิราคะ (ความกำหนัดด้วยอำนาจความเพลิดเพลิน).
ที่ชื่อว่า วิสฏา (ธรรมชาติอันแผ่ไป) ด้วยอรรถว่า แผ่ขยายไปใน
อารมณ์แม้มีรูปเป็นต้น. ที่ชื่อว่า อายุหนี (ธรรมชาติผู้ประมวลมา) เพราะ
อรรถว่า ยังสัตว์ให้ขวนขวายเพื่อการได้วัตถุนั้น ๆ. ที่ชื่อว่า ทุติยา (ธรรมชาติ
เป็นเพื่อนสอง) ด้วยอรรถว่า เป็นสหายเพราะการไม่ให้เพื่ออันเงยหน้า จริงอยู่
ตัณหานี้ย่อมไม่ให้สัตว์ทั้งหลายเงยหน้าในวัฏฏะ. คือ ย่อมให้อภิรมย์ เหมือน
สหายรักในที่ ๆ ตนไปแล้ว ฉะนั้น ด้วยเหตุนั้นจึงตรัสว่า*
ตณฺหาทุติโย ปุริโส ทีฆมทฺธาน สํสรํ
อิตฺถภาวญฺญถาภาวํ สํสารํ นาติวตฺตติ

บุรุษ (สัตว์) มีตัณหาเป็นเพื่อนสอง
ท่องเที่ยวไปอยู่สิ้นกาลนาน ย่อมไม่ก้าวล่วง
สงสาร อันมีความเป็นอย่างนี้ (คือเป็นมนุษย์)
และความเป็นอย่างอื่น (คือเป็นเทวดา
เป็นต้น).

ที่ชื่อว่า ปณิธิ ด้วยสามารถแห่งการตั้งความปรารถนา. ที่ชื่อว่า
ภวเนตฺติ (ธรรมชาตินำไปสู่ภพ) เพราะอรรถว่า ย่อมนำไปสู่ภพ จริงอยู่
สัตว์ทั้งหลายถูกตัณหานี้นำไปสู่ที่ที่ตนปรารถนาแล้ว ๆ เหมือนโคทั้งหลายที่ถูก
เชือกผูกคอไว้ ฉะนั้น.
ที่ชื่อว่า วนํ (ตัณหาเหมือนป่า) เพราะอรรถว่า ย่อมประชุม คือ
ย่อมคบ ย่อมยึดซึ่งอารมณ์นั้น ๆ. อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่า วนํ เพราะอรรถว่า
ย่อมอ้อนวอน. บทว่า วนโถ (ตัณหาเหมือนดง) ทรงเพิ่มบทโดยพยัญชนะ
* อํ. จตุกฺก เล่ม 13 7/12.

อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่า วนํ (ตัณหาเหมือนป่า) เพราะอรรถว่า ดุจป่า ด้วย
อรรถว่า ยังทุกข์อันเป็นความเสื่อมเสียให้ตั้งขึ้น และด้วยอรรถว่ารกชัฏ คำว่า
ป่า นี้ เป็นชื่อของตัณหาที่มีกำลังแรง ส่วนตัณหาที่มีกำลังแรงกว่านั้น ชื่อว่า
วนโถ ด้วยอรรถว่าเป็นดงชัฏ ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า*
วนํ ฉินฺทถ มา รุกฺขํ วนโต ชายเต ภยํ
เฉตฺวา วนํ วนถญฺจ นิพฺพนา โหถ ภิกฺขโว

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจง
ตัดป่า (คือกิเลสมีราคะเป็นต้น) อย่าตัด
ต้นไม้ ภัย (มีความเกิดเป็นต้น) ย่อมเกิด
แต่ป่าคือกิเลส เธอทั้งหลายครั้นตัดป่า (คือ
กิเลสอันเกิดขึ้นก่อน) และหมู่ไม้ในป่า (คือ
กิเลสที่เกิดภายหลัง) แล้ว จักเป็นผู้ไม่มีป่า
คือ ตัณหา.

ตัณหานั้น ชื่อว่า สนฺถโว (ความเกี่ยวข้อง) ด้วยอรรถว่า สนิทสนม
อธิบายว่า คลุกคลีแล้ว. สันถวะคือความเกี่ยวข้องนั้นมี 2 อย่าง คือ
ตณฺหาสนฺถโว ความสนิทสนมด้วยอำนาจตัณหา
มิตฺตสนฺถโว ความสนิทสนมด้วยอำนาจมิตร.
ในบรรดาสันถวะทั้ง 2 นั้น ในที่นี้ ทรงประสงค์เอาตัณหาสันถวะ
คือ ความเกี่ยวข้องหรือสนิทสนมด้วยอำนาจตัณหา. ที่ชื่อว่า สิเนโห (ความ
เยื่อใย) ด้วยอำนาจความเสน่หา. ที่ชื่อว่า อเปกฺขา (ความห่วงใย) เพราะ
อรรถว่า ย่อมเพ่งด้วยอำนาจการทำความอาลัย ข้อนี้สมด้วยพระบาลีที่ตรัสไว้ใน
* ธมฺมปท. มคฺควคฺค เล่ม 25 30/ 52

(มหาสุทัสสนสูตร) ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้สมมติเทพ พระนครแปดหมื่นสี่พัน
มีเมืองกุสาวดีราชธานีเป็นประมุขเหล่านี้เป็นของพระองค์ ข้าแต่สมมติเทพ
ขอพระองค์จงยังความพอพระทัยให้เกิดในพระนครเหล่านั้นเถิด จงมีความห่วงใย
ในพระชนม์ชีพเถิด ดังนี้ จริงอยู่ ในพระบาลีนี้ท่านอธิบายว่า จงทำความ
อาลัย ดังนี้.
ตัณหาที่ชื่อว่า ปฏิพนฺธุ (ความผูกพัน) เพราะอรรถว่า ย่อมผูกไว้
เฉพาะแต่ละอารมณ์. อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่า ปฏิพนฺธุ (ความผูกพัน) เพราะ
อรรถว่า เฉพาะแต่อารมณ์ที่ผูกพันด้วยความหมายว่าเป็นญาติ จริงอยู่ ขึ้นชื่อว่า
พันธุ คือพวกพ้องเสมอด้วยตัณหา ย่อมไม่มีแก่สัตว์ทั้งหลาย ด้วยอรรถว่า
อาศัยอยู่เป็นนิตย์.
ตัณหาที่ชื่อว่า อาสา (การหวัง) เพราะการหวังอารมณ์ทั้งหลาย
อธิบายว่า เพราะครอบงำและเพราะการบริโภคไม่รู้จักอิ่ม. ที่ชื่อว่า อาสึสนา
(กิริยาที่หวัง) ด้วยอำนาจแห่งความหวัง. ภาวะแห่งความหวัง ชื่อว่า อาสึ-
สิตตฺตํ
(ความหวัง).
บัดนี้ เพื่อทรงแสดงฐานะแห่งการเป็นไปของตัณหานั้น จึงตรัสคำมี
อาทิว่า รูปาสา (ความหวังรูป) ดังนี้. ในพระบาลีมีอาทิว่า ความหวังในรูป
เป็นต้นนั้น พึงทราบบทแม้ 9* อย่างนี้ว่า ความหวังในรูป ชื่อว่า รูปาสา
โดยถือเอาอรรถแห่งความหวังว่า ชื่อว่า อาสา (ความหวัง) ด้วยอำนาจ
ความปรารถนา. ก็ในบรรดาบททั้ง 9 นี้ 5 บทข้างต้นตรัสด้วยอำนาจ
เบญจกามคุณ. บทที่ 6 ตรัสด้วยอำนาจความโลภในบริขาร บทที่ 6 นั้น
เป็นของพวกบรรพชิตโดยพิเศษ 3 บทต่อจากนั้นเป็นของพวกคฤหัสถ์ด้วย
* บททั้ง 9 คือ ความหวังในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ลาภ ทรัพย์ บุตร ชีวิต

อำนาจแห่งวัตถุเป็นอารมณ์ไม่รู้จักอิ่ม เพราะวัตถุอันเป็นที่รักยิ่งกว่าทรัพย์
บุตร ชีวิต ของพวกคฤหัสถ์เหล่านั้นมิได้มี.
ตัณหาที่ชื่อว่า ชปฺปา (ธรรมชาติผู้กระซิบ) เพราะอรรถว่า ยังสัตว์
ให้พูดอุบอิบอย่างนี้ว่า นี่ของฉัน นี่ของฉัน หรือว่า สิ่งนี้บุคคลโน้นให้แก่เรา
สิ่งนี้บุคคลโน้นให้แก่เรา ดังนี้. สองบทต่อจากนั้นคือ ปชปฺปา อภิชปฺปา
(ธรรมชาติผู้กระซิบทั่ว ธรรมชาติผู้กระซิบยิ่ง) ทรงเพิ่มอุปสรรคเข้ามา.
ต่อจากนั้นไป ทรงตรัสคำว่า ชปฺปา (การกระซิบ) อีก เพราะทรงปรารภ
เพื่อจะจำแนกโดยอาการอื่น. คืออาการกระซิบชื่อว่า ชปฺปายนา (กิริยาที่
กระซิบ ภาวะแห่งการกระซิบ ชื่อว่า ชปฺปิตตฺตํ (ความกระซิบ) ที่ชื่อว่า
โลลุโป (การละโมบ) เพราะอรรถว่า ย่อมปล้น คือ กระชากมาในอารมณ์
บ่อย ๆ ภาวะแห่งการละโมบ ชื่อว่า โลลุปฺปํ (กิริยาที่ละโมบ) อาการแห่ง
กิริยาที่ละโมบ ชื่อว่า โลลุปฺปายนา (ความละโมบ) ภาวะแห่งบุคคลผู้พรั่ง
พร้อมด้วยความละโมบ ชื่อว่า โลลุปฺปายิตตฺตํ.
บทว่า ปุญฺจิกตา (ธรรมชาติเป็นเหตุซมซาน) ความว่า สัตว์ทั้งหลาย
เที่ยวหัวเราะระริกไป เหมือนพวกสุนัขสั่นหางอยู่ในที่เป็นที่ตั้งแห่งความอยาก
ด้วยตัณหาใด นั้นเป็นชื่อแห่งตัณหาอันให้เกิดหัวเราะระริกไปนั้น.
บทว่า สาธุกมฺยตา (ความใคร่ในอารมณ์ที่ดี) ความว่า อยากได้
อารมณ์ที่ชอบใจที่ชื่นใจอันดี เรียกว่า ความใคร่ในอารมณ์ที่ดี ภาวะแห่ง
ความใคร่ในอารมณ์ที่ดีนั้น ชื่อว่า สาธุกมฺยตา (ความใคร่ในอารมณ์ที่ดี).
ตัณหาที่ชื่อว่า อธมฺมราโค (ความกำหนัดในฐานะอันไม่ควร)
เพราะอรรถว่า มีความกำหนัดในฐานะอันไม่ควรมีมารดาและน้าเป็นต้น.
ความโลภที่เกิดขึ้นมีกำลังแรง แม้ในฐานะที่ควร ชื่อว่า วิสมโลโภ
(ความโลภเกินขนาด) อีกอย่างหนึ่ง ฉันทราคะคือ (ความกำหนัดด้วยอำนาจ

ความพอใจ) เกิดขึ้นในฐานะที่ควรหรือในฐานะที่ไม่ควร โดยพระบาลีที่ตรัส
ไว้ว่า ราโควิสมํ (ความกำหนัดไม่สม่ำเสมอ) เป็นต้น พึงทราบว่า ชื่อว่า
อธมฺมราโค (ความกำหนัดในฐานะอันไม่ควร) ด้วยอรรถว่าไม่เป็นธรรม
และชื่อว่า วิสมโลโภ (ความโลภเกินขนาด) ด้วยอรรถว่าปราศจาก
ความสม่ำเสมอ ดังนี้.
ตัณหาที่ชื่อว่า นิกนฺติ (ความติดใจ) ด้วยอำนาจแห่งความใคร่ใน
อารมณ์ทั้งหลาย. อาการแห่งความใคร่ในอารมณ์ทั้งหลาย ชื่อว่า นิกามนา
(กิริยาที่ติดใจ). ที่ชื่อว่า ปฏฺฐนา (ความปรารถนา) ด้วยอำนาจแห่งความ
ตั้งใจ. ที่ชื่อว่า ปิหนา (ความกระหยิ่มใจ) ด้วยอำนาจความริษยา. ความ
ปรารถนาด้วยดี ชื่อว่า สมฺปฏฐนา (ความปรารถนาหนัก).
ตัณหาในกามคุณ 5 ชื่อว่า กามตัณหา ตัณหาในรูปภพและอรูปภพ
ชื่อว่า ภวตัณหา ตัณหาในวิภวะกล่าวคือความขาดสูญ ชื่อว่า วิภวตัณหา
ตัณหาในรูปภพล้วนอย่างเดียว ชื่อว่า รูปตัณหา ตัณหาในอรูปภพ ชื่อว่า
อรูปภวตัณหา. ความยินดีสหรคตด้วยอุจเฉททิฏฐิ ชื่อว่า ทิฏฐิราคะ
ตัณหาในนิโรธ ชื่อว่า นิโรธตัณหา ตัณหาในรูป ชื่อว่า รูปตัณหา
ตัณหาในเสียง ชื่อว่า สัททตัณหา ตัณหาในกลิ่น ชื่อว่า คันธตัณหา.
แม้ในรสเป็นต้นก็นัยนี้แหละ. คำว่า โอฆะเป็นต้นมีเนื้อความตามที่กล่าวแล้ว
นั่นแล.
ที่ชื่อว่า อาวรณํ (อาวรณ์) เพราะย่อมกั้นกุศลธรรมทั้งหลาย ที่ชื่อว่า
ฉาทนํ (เครื่องปิดบัง) ด้วยอำนาจการปกปิด. ที่ชื่อว่า พนฺธนํ (เครื่องผูก)
เพราะย่อมผูกสัตว์ไว้ในวัฏฏะ ที่ชื่อว่า อุปกิเลส เพราะเข้าถึงจิตแล้วให้
เศร้าหมอง คือ ทำให้เศร้าหมอง ที่ชื่อว่า อนุสัย เพราะย่อมนอนเนื่อง

คือ เป็นไปด้วยอรรถว่ามีกำลัง ที่ชื่อว่า ปริยุฏฐาน เพราะเกิดขึ้นกลุ้มรุมจิต
อธิบายว่า ยึดความเป็นกุศลโดยไม่ให้เพื่อเกิดขึ้น. จริงอยู่ ในประโยคมีอาทิว่า
พวกโจรปล้นในหนทาง พวกนักเลงดักทำร้ายในหนทาง คือยึด
ทางไว้
ชื่อว่า ถือเอาซึ่งทาง ฉันใด แม้ในปริยุฏฐานนี้ ก็พึงทราบปริยุฏฐาน
ด้วยอรรถว่า ถือเอา ฉันนั้น.
ตัณหาที่ชื่อว่า ลตา (เหมือนเถาวัลย์) เพราะเป็นเหมือนเถาวัลย์
โดยความหมายว่า พันไว้รอบ ตัณหานี้ ตรัสเรียกว่า เถาวัลย์ แม้ในที่ตรัส
ไว้ว่า ลตา อุพฺภิชฺช ติฏฺฐติ (ตัณหาเหมือนเถาวัลย์แตกแขนงตั้งอยู่) ดังนี้.
ที่ชื่อว่า เววิจฺฉํ (ความปรารถนาวัตถุมีอย่างต่าง ๆ) เพราะปรารถนาวัตถุ
มีอย่างต่าง ๆ. ที่ชื่อว่า ทุกฺขมูลํ (รากเหง้าแห่งทุกข์) เพราะเป็นมูลแห่ง
วัฏทุกข์. ที่ชื่อว่า ทุกฺขนิทานํ (เหตุแห่งทุกข์) เพราะเป็นเหตุเกิดของทุกข์
นั่นนั่นแหละ. ที่ชื่อว่า ทุกฺขปฺปภโว (แดนเกิดแห่งทุกข์) เพราะทุกข์นั้น
ย่อมเกิดจากตัณหานี้. ที่ชื่อว่า ปาโส (บ่วง) เพราะเหมือนบ่วง ด้วยอรรถว่า
เครื่องผูก. บ่วงแห่งมารชื่อว่า มารปาโส. ที่ชื่อว่า พลิสํ (เบ็ด) เพราะ
เป็นเหมือนเบ็ด ด้วยอรรถว่า สำรอกออกยาก. เบ็ดของมาร ชื่อว่า มารพลิสํ.
สัตว์ผู้ถูกตัณหาครอบงำแล้วย่อมไม่ก้าวล่วงวิสัยแห่งมาร มารย่อมยังอำนาจให้
เป็นไปในเบื้องบนสัตว์เหล่านั้น โดยปริยายนี้ จึงเรียกว่า แดนแห่งมาร
เพราะเป็นวิสัยของมาร.
แม่น้ำคือตัณหา ชื่อว่า คณฺหานที ด้วยอรรถว่า ไหลไป. ข่าย
คือตัณหา ชื่อว่า ตณฺหาชาลํ ด้วยอรรถว่าปกคลุมไว้ สุนัขทั้งหลายที่
เขาเอาเชือกผูกไว้ ย่อมถูกนำไปตามปรารถนา ฉันใด สัตว์ทั้งหลายที่ถูกตัณหา
ผูกไว้ก็ฉันนั้น เพราะฉะนั้น ตัณหานั้น จึงชื่อว่า คทฺทุลํ (เหมือนเชือก)

เพราะเป็นเหมือนเชือกด้วยอรรถว่าผูกไว้แน่น. เชือกคือตัณหา ชื่อว่า ตณฺหา-
คทฺทุลํ.
สมุทร (ทะเล) คือตัณหาด้วยอรรถว่าให้เต็มได้ยาก เพราะฉะนั้น
จึงชื่อว่า ตัณหาเหมือนสมุทร.

ว่าด้วยนิทเทสแห่งโทสะ


พึงทราบวินิจฉัยในโทสนิทเทส ต่อไป.
คำว่า อนตฺถํ เม อจริ (ผู้นี้ได้กระทำความเสื่อมเสียแก่เรา) คือ
ได้กระทำความไม่เจริญแก่เรา. พึงทราบเนื้อความในบททั้งปวงโดยอุบายนี้
คำว่า อฏฺฐาเน วา ปน อาฆาโต (หรืออาฆาตอันเกิดขึ้นได้ใน
ฐานะอันมิใช่เหตุ) ได้แก่ความโกรธย่อมเกิดขึ้นในฐานะอันมิใช่เหตุ จริงอยู่
บุคคลบางคนย่อมโกรธในฐานะอันมิใช่เหตุว่า ฝนย่อมตกเกินไป ย่อมโกรธว่า
ฝนไม่ตก ย่อมโกรธว่า พระอาทิตย์ร้อน ย่อมโกรธว่า พระอาทิตย์ไม่ร้อน
เมื่อลมพัดอยู่ก็โกรธ ลมไม่พัดก็โกรธ เมื่อไม่สามารถจะกวาดลานก็โกรธใบ
โพธิ์ทั้งหลาย เมื่อไม่สามารถจะห่มจีวรได้ก็โกรธลมพัด สะดุดหกล้มก็โกรธตอ
ไม้พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงหมายถึงความโกรธนี้จึงตรัสว่า อฏฺฐาเน วา ปน
อาฆาโต ชายติ
(หรืออาฆาตย่อมเกิดขึ้นได้ในฐานะอันมิใช่เหตุ) ดังนี้.
บรรดาความโกรธเหล่านั้น ความแตกแห่งกรรมบถย่อมมีเพราะอาฆาตเกิดขึ้น
ปรารภสัตว์ทั้งหลายในฐานะ 9 ข้างต้น แต่อาฆาตในฐานะอันมิใช่เหตุเกิดใน
สังขาร ย่อมไม่ทำการแตกกรรมบถ.
โทสะที่ชื่อว่า จิตอาฆาต เพราะอรรถว่า เกิดขึ้นยังจิตให้อาฆาตอยู่
ความอาฆาตที่แรงกว่านั้น ชื่อว่า ปฏิฆาโต (ความขัดเคือง). ที่ชื่อว่า ปฏิฆะ
(ความกระทบกระทั่ง) ด้วยอำนาจความหงุดหงิด. ที่ชื่อว่า ปฏิวิโรโธ (ความ
แค้น) เพราะคับแค้นใจ. ที่ชื่อว่า โกโป (ความเคือง) ด้วยอำนาจแห่ง