เมนู

นิกเขปกัณฑ์


ติกะ


[663] ธรรมเป็นกุศล เป็นไฉน ?
กุศลมูล 3 คือ อโลภะ อโทสะ อโมหะ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์
สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์ อันสัมปยุตด้วยกุศลมูลนั้น, กายกรรม วจีกรรม
มโนกรรม อันมีกุศลมูลนั้นเป็นสมุฏฐาน สภาวธรรมเหล่านี้ ชื่อว่า ธรรมเป็น
กุศล.
ธรรมเป็นอกุศล เป็นไฉน ?
อกุศลมูล 3 คือ โลภะ โทสะ โมหะ และกิเลสที่ตั้งอยู่ฐานเดียวกัน
กับอกุศลมูลนั้น, เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์ อัน
สัมปยุตด้วยอกุศลมูลนั้น. กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม อันมีอกุศลมูลนั้น
เป็นสมุฏฐาน สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นอกุศล.
ธรรมเป็นอัพยากฤต เป็นไฉน ?
วิบากแห่งกุศลธรรมและอกุศลธรรม ที่เป็นกามาวจร รูปาวจร
อรูปาวจร โลกุตระ คือ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์
ธรรมเป็นกิริยา ไม่ใช่กุศล ไม่ใช่อกุศล ไม่ใช่กรรมวิบาก, รูปทั้งหมด และ
อสังขตธาตุ สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นอัพยากฤต.
[664] ธรรมสัมปยุตด้วยสุขเวทนา เป็นไฉน ?
สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์ อันสัมปยุตด้วยสุขเวทนา
เว้นสุขเวทนานั้น ในกามาวจรจิต รูปาวจรจิต โลกุตรจิต อันเป็นที่เกิด
แห่งสุขเวทนา สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมสัมปยุตด้วยสุขเวทนา.

ธรรมสัมปยุตด้วยสุขเวทนา เป็นไฉน ?
สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์ อันสัมปยุตด้วยทุกขเวทนา
เว้นทุกขเวทนานั้น ในกามาวจรจิตอันเป็นที่เกิดแห่งทุกขเวทนา สภาวธรรม
เหล่านี้ ชื่อว่า ธรรมสัมปยุตด้วยทุกขเวทนา.
ธรรมสัมปยุตด้วยอทุกขมสุขเวทนา เป็นไฉน ?
สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์ อันสัมปยุตด้วยอทุกขมสุข-
เวทนา เว้นอทุกขมสุขเวทนานั้น ในกามาวจรจิต รูปาวจรจิต อรูปาวจรจิต
โลกุตรจิต อันเป็นที่เกิดแห่งอทุกขมสุขเวทนา สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า
ธรรมสัมปยุตด้วยอทุกขมสุขเวทนา.
[665] ธรรมเป็นวิบาก เป็นไฉน ?
วิบากแห่งกุศลธรรมและอกุศลธรรม ที่เป็นกามาวจร รูปาวจร
อรูปาวจร โลกุตระ คือ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์
สภาวธรรมเหล่านี้ ชื่อว่า ธรรมเป็นวิบาก.
ธรรมเป็นเหตุแห่งวิบาก เป็นไฉน ?
กุศลธรรมและอกุศลธรรม ที่เป็นกามาวจร รูปาวจร อรูปาวจร
โลกุตระ คือ เวทนาขันธ์ ฯลฯ วิญญาณขันธ์ สภาวธรรมเหล่านี้ ชื่อว่า
ธรรมเป็นเหตุแห่งวิบาก.
ธรรมไม่เป็นวิบากและไม่เป็นเหตุแห่งวิบาก เป็นไฉน ?
ธรรมเป็นกิริยา ไม่ใช่กุศล ไม่ใช่อกุศล ไม่ใช่กรรมวิบาก, รูปทั้งหมด
และอสังขตธาตุ สภาวธรรมเหล่านี้ ชื่อว่า ธรรมไม่เป็นวิบากและไม่เป็นเหตุ
แห่งวิบาก.

[666] ธรรมอันเจตนากรรมที่สัมปยุตด้วยตัณหาทิฏฐิเข้ายึด
ครองและเป็นอารมณ์ของอุปาทาน
เป็นไฉน ?
วิบากแห่งกุศลธรรมและอกุศลธรรม ประเภทที่ยังมีอาสวะ ซึ่งเป็น
กามาวจร รูปาวจร อรูปาวจร คือ เวทนาขันธ์ ฯลฯ วิญญาณขันธ์ และ
รูปที่กรรมแต่งขึ้น สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมอันเจตนากรรม ที่สัมปยุต
ด้วยตัณหาทิฏฐิเข้ายึดครองและเป็นอารมณ์ของอุปาทาน.
ธรรมอันเจตนากรรมที่สัมปยุตด้วยตัณหา ทิฏฐิไม่เข้ายึดครอง
แต่เป็นอารมณ์ของอุปาทาน
เป็นไฉน ?
กุศลธรรมและอกุศลธรรม ประเภทที่ยังมีอาสวะ ซึ่งเป็นกามาวจร
รูปาวจร อรูปาวจร คือ เวทนาขันธ์ ฯลฯ วิญญาณขันธ์, ธรรมเป็นกิริยา
ไม่ใช่กุศล ไม่ใช่อกุศล ไม่ใช่กรรมวิบาก และรูปที่กรรมมิได้แต่งขึ้น
สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมอันเจตนากรรมที่สัมปยุตด้วยตัณหาทิฏฐิไม่เข้า
ยึดครองแต่เป็นอารมณ์ของอุปาทาน.
ธรรมอันเจตนากรรมที่สัมปยุตด้วยตัณหา ทิฏฐิไม่เข้ายึด
ครองและไม่เป็นอารมณ์ของอุปาทาน
เป็นไฉน ?
มรรคและผลของมรรคที่เป็นโลกุตระ และอสังขตธาตุ สภาวธรรม
เหล่านี้ชื่อว่า ธรรมอันเจตนากรรมที่สัมปยุตด้วยตัณหาทิฏฐิไม่เข้ายึดครองและ
ไม่เป็นอารมณ์ของอุปาทาน.
[667] ธรรมเศร้าหมองและเป็นอารมณ์ของสังกิเลสเป็นไฉน ?
อกุศลมูล 3 คือ โลภะ โทสะ โมหะ และกิเลสที่ตั้งอยู่ฐานเดียวกัน
กับอกุศลมูลนั้น, เวทนาขันธ์ ฯลฯ วิญญาณขันธ์ อันสัมปยุตด้วยอกุศลมูลนั้น,
กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม อันมีอกุศลมูลนั้นเป็นสมุฏฐาน สภาวธรรม
เหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเศร้าหมองและเป็นอารมณ์ของสังกิเลส.

ธรรมไม่เศร้าหมองแต่เป็นอารมณ์ของสังกิเลส เป็นไฉน ?
กุศลธรรมและอัพยากตธรรม ประเภทที่ยังมีอาสวะ ซึ่งเป็นกามาวจร
รูปาวจร อรูปาวจร คือ รูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์
วิญญาณขันธ์ สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมไม่เศร้าหมองแต่เป็นอารมณ์ของ
สังกิเลส.
ธรรมไม่เศร้าหมองและไม่เป็นอารมณ์ของสังกิเลส เป็นไฉน ?
มรรคและผลของมรรคที่เป็นโลกุตระ และอสังขตธาตุ สภาวธรรม
เหล่านี้ชื่อว่า ธรรมไม่เศร้าหมองและไม่เป็นอารมณ์ของสังกิเลส.
[668] ธรรมมีวิตกมีวิจาร เป็นไฉน ?
เวทนาขันธ์ ฯลฯ วิญญาณขันธ์ อันสัมปยุตด้วยวิตกและวิจาร เว้น
วิตกและวิจารนั้น ในกามาวจรจิต รูปาวจรจิต โลกุตรจิต อันเป็นที่เกิด
แห่งธรรมมิวิตกมีวิจาร สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมมีวิตกมีวิจาร.
ธรรมไม่มีวิตกแต่มีวิจาร เป็นไฉน ?
เวทนาขันธ์ ฯลฯ วิญญาณขันธ์ อันสัมปยุตด้วยวิจาร เว้นวิจารนั้น
ในรูปาวจรจิต โลกุตรจิต อันเป็นที่เกิดแห่งธรรมไม่มีวิตกแต่มีวิจาร สภาว-
ธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมไม่มีวิตกแต่มีวิจาร.
ธรรมไม่มีวิตกไม่มีวิจาร เป็นไฉน ?
เวทนาขันธ์ ฯลฯ วิญญาณขันธ์ ในกามาวจรจิต รูปาวจรจิต
อรูปาวจรจิต โลกุตรจิต อันเป็นที่เกิดแห่งธรรมไม่มีวิตกไม่มีวิจาร,
รูปทั้งหมดและอสังขตธาตุ สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมไม่มีวิตกไม่มีวิจาร.
[669] ธรรมสหรคตด้วยปีติ เป็นไฉน ?

เวทนาขันธ์ ฯลฯ วิญญาณขันธ์ อันสัมปยุตด้วยปีติ เว้นปีตินั้น
ในกามาวจรจิต รูปาวจรจิต โลกุตรจิต อันเป็นที่เกิดแห่งปีติ สภาวธรรม
เหล่านี้ชื่อว่า ธรรมสหรคตด้วยปีติ.
ธรรมสหรคตด้วยสุขเวทนา เป็นไฉน ?
สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์ อันสัมปยุตด้วยสุขเวทนา
เว้นสุขเวทนานั้น ในกามาวจรจิต รูปาวจรจิต โลกุตรจิต อันเป็นที่เกิด
แห่งสุขเวทนา สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมสหรคตด้วยสุขเวทนา.
ธรรมสหรคตด้วยอุเบกขาเวทนา เป็นไฉน ?
สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์ อันสัมปยุตด้วยอุเบกขาเวทนา
เว้นอุเบกขาเวทนานั้น ในกามาวจรจิต รูปาวจรจิต อรูปาวจรจิต โลกุตรจิต
อันเป็นที่เกิดแห่งอุเบกขาเวทนา สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมสหรคตด้วย
อุเบกขาเวทนา.
[670] ธรรมอันโสดาปัตติมรรคประหาณ เป็นไฉน ?
สัญโญชน์ 3 คือ สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส
[671] บรรดาสัญโญชน์ 3 นั้น สักกายทิฏฐิ เป็นไฉน ?
ปุถุชนในโลกนี้ ผู้ไร้การศึกษา ไม่ได้เห็นพระอริยเจ้า ไม่ฉลาดใน
ธรรมของพระอริยเจ้า ไม่ได้ฝึกฝนในธรรมของพระอริยเจ้า ไม่ได้เห็นสัตบุรุษ
ไม่ฉลาดในธรรมของสัตบุรุษ ไม่ได้ฝึกฝนในธรรมของสัตบุรุษ ย่อมเห็นรูป
เป็นตน หรือเห็นตนมีรูป เห็นรูปในตน เห็นตนในรูป ย่อมเห็นเวทนาเป็นต้น
หรือเห็นตนมีเวทนา เห็นเวทนาในตน เห็นตนในเวทนา ย่อมเห็นสัญญา
เป็นตน หรือเห็นตนมีสัญญา เห็นสัญญาในตน เห็นตนในสัญญา ย่อมเห็น
สังขารเป็นตน หรือเห็นตนมีสังขาร เห็นสังขารในตน เห็นตนในสังขาร

ย่อมเห็นวิญญาณเป็นตน หรือเห็นตนมีวิญญาณ เห็นวิญญาณในตน เห็นตน
ในวิญญาณ ทิฏฐิความเห็นไปข้างทิฏฐิ ป่าชัฏคือทิฏฐิ กันดารคือทิฏฐิ
ความเห็นเป็นข้าศึกต่อสัมมาทิฏฐิ ความผันแปรแห่งทิฏฐิ สัญโญชน์คือทิฏฐิ
ความยึดถือ ความยึดมั่น ความตั้งมั่น ความถือผิด ทางชั่ว ทางผิด ภาวะที่ผิด
ลัทธิเป็นบ่อเกิดแห่งความพินาศ การถือโดยวิปลาส มีลักษณะเช่นว่านี้ อันใด
นี้เรียกว่า สักกายทิฏฐิ.
[672] วิจิกิจฉา เป็นไฉน ?
ปุถุชนเคลือบแคลงสงสัยในพระศาสดา ในพระธรรม ในพระสงฆ์
ในสิกขา ในส่วนอดีต ในส่วนอนาคต ทั้งในส่วนอดีตและส่วนอนาคต ใน
ปฏิจจสมุปปาทธรรมที่ว่า เพราะธรรมนี้เป็นปัจจัยธรรมนี้จึงเกิดขึ้น การเคลือบ
แคลง กิริยาที่เคลือบแคลง ความเคลือบแคลง ความคิดเห็นไปต่าง ๆ นานา
ความตัดสินอารมณ์ไม่ได้ ความเห็นเป็นสองแง่ ความเห็นเหมือนทางสองแพร่ง
ความสงสัย ความไม่สามารถจะถือเอาโดยส่วนเดียวได้ ความคิดส่ายไป ความ
คิดพร่าไป ความไม่สามารถจะหยั่งลงถือเอาเป็นยุติได้ ความกระด้างแห่งจิต
ความลังเลใจ อันใด นี้เรียกว่า วิจิกิจฉา.
[673] สีลัพพตปรามาส เป็นไฉน ?
ความเห็นว่า ความบริสุทธิ์ย่อมมีได้ด้วยศีล ด้วยพรต ด้วยศีลพรต
ของสมณพราหมณ์ในภายนี้แต่ศาสนานี้ ดังนี้ ทิฏฐิ ความเห็นไปข้างทิฏฐิ
ป่าชัฏคือทิฏฐิ กันดารคือทิฏฐิ ความเห็นเป็นข้าศึกต่อสัมมาทิฏฐิ ความผันแปร
แห่งทิฏฐิ สัญโญชน์คือทิฏฐิ ความยึดถือ ความยึดมั่น ความตั้งมั่น ความ
ถือผิด ทางชั่ว ทางผิด ภาวะที่ผิด ลัทธิเป็นบ่อเกิดแห่งความพินาศ การ
ถือโดยวิปลาส อันมีลักษณะเช่นว่านี้ อันใด นี้เรียกว่า สีลัพพตปรามาส.

[674] สัญโญชน์ 3 นี้ และกิเลสที่ตั้งอยู่ฐานเดียวกันกับสัญโญชน์
3 นั้น, เวทนาขันธ์ ฯลฯ วิญญาณขันธ์ อันสัมปยุตด้วยสัญโญชน์ 3 นั้น,
กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม อันมีสัญโญชน์ 3 นั้นเป็นสมุฏฐาน สภาว-
ธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมอันโสดาปัตติมรรคประหาณ.
ธรรมอันมรรคเบื้องสูง 3 ประหาณ เป็นไฉน ?
โลภะ โทสะ โมหะ ที่เหลือ และกิเลสที่ตั้งอยู่ฐานเดียวกันกับโลภะ
โทสะ โมหะ นั้น, เวทนาขันธ์ ฯลฯ วิญญาณขันธ์ อันสัมปยุตด้วยโลภะ
โทสะ โมหะ นั้น, กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม อันมีโลภะ โทสะ โมหะ
นั้นเป็นสมุฏฐาน สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมอันมรรคเบื้องสูง 3 ประหาณ.
ธรรมอันโสดาปัตติมรรค และมรรคเบื้องสูง 3 ไม่ประหาณ
เป็นไฉน ?
กุศลธรรมและอัพยากตธรรมที่เป็นกามาวจร รูปาวจร อรูปาวจร
โลกุตระ คือ เวทนาขันธ์ ฯลฯ วิญญาณขันธ์, รูปทั้งหมด และอสังขตธาตุ
สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมอันโสดาปัตติมรรค และมรรคเบื้องสูง 3 ไม่
ประหาณ.
[675] ธรรมมีสัมปยุตตเหตุ อันโสดาปัตติมรรคประหาณ
เป็นไฉน ?
สัญโญชน์ 3 คือ สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส.
บรรดาสัญโญชน์ 3 นั้น สักกายทิฏฐิ เป็นไฉน ฯลฯ นี้เรียกว่า
สักกายทิฏฐิ.
วิจิกิจฉา เป็นไฉน ? ฯลฯ นี้เรียกว่า วิจิกิจฉา.
สีลัพพตปรามาส เป็นไฉน ? ฯลฯ นี้เรียกว่า สีลัพพตปรามาส.

สัญโญชน์ 3 นี้ และกิเลสที่ตั้งอยู่ฐานเดียวกันกับสัญโญชน์ 3 นั้น,
เวทนาขันธ์ ฯลฯ วิญญาณขันธ์ อันสัมปยุตด้วยสัญโญชน์ 3 นั้น, กายกรรม
วจีกรรม มโนกรรม อันมีสัญโญชน์ 3 นั้นเป็นสมุฏฐาน สภาวธรรมเหล่านี้
ชื่อว่า ธรรมมีสัมปยุตตเหตุอันโสดาปัตติมรรคประหาณ.
สัญโญชน์ 3 คือ สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส สภาว-
ธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมอันโสดาปัตติมรรคประหาณ, โลภะ โทสะ โมหะ
ที่ตั้งอยู่ฐานเดียวกันกับสัญโญชน์ 3 นั้น สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า สัมปยุตต-
เหตุอันโสดาปัตติมรรคประหาณ ส่วนกิเลสที่ตั้งอยู่ฐานเดียวกันกับ โลภะ โทสะ
โมหะ นั้น เวทนาขันธ์ ฯลฯ วิญญาณขันธ์ อันสัมปยุตด้วย โลภะ โทสะ
โมหะ นั้น กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม อันมี โลภะ โทสะ โมหะ นั้น
เป็นสมุฏฐาน สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมมีสัมปยุตตเหตุอันโสดาปัตติมรรค
ประหาณ.
ธรรมมีสัมปยุตตเหตุอันมรรคเบื้องสูง 3 ประหาณ เป็นไฉน ?
โลภะ โทสะ โมหะ ที่เหลือ สภาวธรรมเหล่านั้นชื่อว่า ธรรมเป็น
สัมปยุตตเหตุอันมรรคเบื้องบน 3 ประหาณ, กิเลสที่ตั้งอยู่ฐานเดียวกันกับ
โลภะ โทสะ โมหะ เวทนาขันธ์ ฯลฯ วิญญาณขันธ์ อันสัมปยุตด้วย โลภะ
โทสะ โมหะ นั้น กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม อันมี โลภะ โทสะ
โมหะ นั้น เป็นสมุฏฐาน สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมมีสัมปยุตตเหตุอัน
มรรคเบื้องสูง 3 ประหาณ.
ธรรมไม่มีสัมปยุตตเหตุอันโสดาปัตติมรรคและมรรคเบื้องสูง
3 จะประหาณ
เป็นไฉน ?

เว้นธรรมที่ประหาณนั้น กุศลธรรม อกุศลธรรม และอัพยากตธรรม
ที่เหลือ ซึ่งเป็นกามาวจร รูปาวจร อรูปาวจร โลกุตระ คือ เวทนาขันธ์
สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์ รูปทั้งหมด และอสังขตธาตุ สภาว
ธรรมเหล่านี้ ชื่อว่า ธรรมไม่มีสัมปยุตตเหตุอันโสดาปัตติมรรคและมรรคเบื้อง
สูง 3 จะประหาณ.
[676] ธรรมเป็นเหตุให้จุติปฏิสนธิ เป็นไฉน ?
กุศลธรรมและอกุศลธรรม ประเภทที่ยังมีอาสวะ ที่เป็นกามาวจร
รูปาวจร อรูปาวจร คือ เวทนาขันธ์ ฯลฯ วิญญาณขันธ์ สภาวธรรมเหล่านี้
ชื่อว่า ธรรมเป็นเหตุให้จุติปฏิสนธิ.
ธรรมเป็นเหตุให้ถึงนิพพาน เป็นไฉน ?
มรรค 4 ที่เป็นโลกุตระ สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นเหตุ
ให้ถึงนิพพาน.
ธรรมไม่เป็นเหตุให้จุติปฏิสนธิ และไม่เป็นเหตุให้ถึงนิพพาน
เป็นไฉน ?
วิบากแห่งกุศลธรรมและอกุศลธรรมที่เป็น กามาวจร รูปาวจร อรูปา-
วจร โลกุตระ คือ เวทนาขันธ์ ฯลฯ วิญญาณขันธ์, ธรรมเป็นกิริยา
ไม่ใช่กุศล ไม่ใช่อกุศล และไม่ใช่กรรมวิบาก, รูปทั้งหมด และอสังขตธาตุ
สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมไม่เป็นเหตุให้จุติปฏิสนธิและไม่เป็นเหตุให้ถึง
นิพพาน.
[677] ธรรมเป็นของเสกขบุคคล เป็นไฉน ?
มรรคที่เป็นโลกุตระทั้ง 4 และสามัญผลเบื้องต่ำ 3 สภาวธรรม
เหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นของเสกขบุคคล.

ธรรมเป็นของอเสกขบุคคล เป็นไฉน ?
อรหัตผลเบื้องสูง สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นของอเสกข-
บุคคล.
ธรรมไม่เป็นของเสกขบุคคล และไม่เป็นของอเสกขบุคคล
เป็นไฉน ?
เว้นธรรมคือมรรค 4 ผล 4 เหล่านั้นเสีย กุศลธรรม อกุศลธรรม
และอัพยากตธรรมที่เหลือ ซึ่งเป็นกามาวจร รูปาวจร อรูปาวจร คือเวทนา-
ขันธ์ ฯลฯ วิญญาณขันธ์, รูปทั้งหมด และอสังขธาตุ สภาวธรรมเหล่านี้
ชื่อว่า ธรรมไม่เป็นของเสกขบุคคลและไม่เป็นของอเสกขบุคคล.
[678] ธรรมเป็นปริตตะ เป็นไฉน ?
กุศลธรรม อกุศลธรรม และอัพยากตธรรม ที่เป็นกามาวจรทั้งหมด
คือ รูปขันธ์ ฯลฯ วิญญาณขันธ์ สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นปริตตะ.
ธรรมเป็นมหัคคตะ เป็นไฉน ?
กุศลธรรม อกุศลธรรม และอัพยากตธรรมที่เป็นรูปาวจร อรูปาวจร
คือ เวทนาขันธ์ ฯลฯ วิญญาณขันธ์ สภาวธรรมเหล่านั้นชื่อว่า ธรรมเป็น
มหัคคตะ.
ธรรมเป็นอัปปมาณะ เป็นไฉน ?
มรรคและผลของมรรคที่เป็นโลกุตระ และอสังขตธาตุ สภาวธรรม
เหล่านั้นชื่อว่า ธรรมเป็นอัปปมาณะ.
[679] ธรรมมีอารมณ์เป็นปริตตะ เป็นไฉน ?
ธรรมคือจิตและเจตสิกเหล่าใด ปรารภปริตตธรรมเกิดขึ้น สภาวธรรม
เหล่านี้ชื่อว่า ธรรมมีอารมณ์เป็นปริตตะ.

ธรรมมีอารมณ์เป็นมหัคคตะ เป็นไฉน ?
ธรรมคือจิตและเจตสิกเหล่าใด ปรารภมหัคคตธรรมเกิดขึ้น สภาว-
ธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมมีอารมณ์เป็นมหัคคตะ.
ธรรมมีอารมณ์เป็นอัปปมาณะ เป็นไฉน ?
ธรรมคือจิตและเจตสิกเหล่าใด ปรารภอัปปมาณธรรมเกิดขึ้น สภาว-
ธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมมีอารมณ์เป็นอัปปมาณะ.
ธรรมทราม เป็นไฉน ?
อกุศลมูล 3 คือ โลภะ โทสะ โมหะ กิเลสที่ตั้งอยู่ฐานเดียวกันกับ
โลภะ โทสะ โมหะนั้น, เวทนาขันธ์ ฯลฯ วิญญาณขันธ์อันสัมปยุตด้วยโลภะ
โทสะ โมหะนั้น, กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม อันมีโลภะ โทสะ โมหะ
นั้นเป็นสมุฏฐาน สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมทราม.
ธรรมปานกลาง เป็นไฉน ?
กุศลธรรมและอัพยากตธรรม ประเภทที่ยังมีอาสวะ ที่เป็นกามาวจร
รูปาวจร อรูปาวจร คือ รูปขันธ์ ฯลฯ วิญญาณขันธ์ สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า
ธรรมปานกลาง.
ธรรมประณีต เป็นไฉน ?
มรรคและผลของมรรคที่เป็นโลกุตระ และอสังขตธาตุ สภาวธรรม
เหล่านี้ชื่อว่า ธรรมประณีต.
[681] ธรรมเป็นมิจฉาสภาวะและให้ผลแน่นอน เป็นไฉน ?
อนันตริยกรรม 5 และนิยตมิจฉาทิฏฐิ สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่าธรรม
เป็นมิจฉาสภาวะและให้ผลแน่นอน.
ธรรมเป็นสัมมาสภาวะและให้ผลแน่นอน เป็นไฉน ?

มรรคที่เป็นโลกุตระทั้ง 4 สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นสัมมา-
สภาวะ และให้ผลแน่นอน.
ธรรมให้ผลไม่แน่นอน เป็นไฉน ?
เว้นธรรมเหล่านั้นเสีย กุศลธรรม อกุศลธรรม และอัพยากตธรรม
ที่เหลือ ที่เป็นกามาวจร รูปาวจร อรูปาวจร โลกุตระ คือ เวทนาขันธ์
ฯลฯ วิญญาณขันธ์, รูปทั้งหมด และอสังขตธาตุ สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า
ธรรมให้ผลไม่แน่นอน.
[682] ธรรมมีมรรคเป็นอารมณ์ เป็นไฉน ?
ธรรมคือจิตและเจตสิกเหล่าใด ปรารภอริยมรรคเกิดขึ้น สภาวธรรม
เหล่านี้ชื่อว่า ธรรมมีมรรคเป็นอารมณ์.
ธรรมมีเหตุคือมรรค เป็นไฉน ?
เว้นองค์แห่งมรรคเสีย เวทนาขันธ์ ฯลฯ วิญญาณขันธ์ อันสัมปยุต
ด้วยองค์แห่งมรรคนั้น ของท่านผู้พรั่งพร้อมด้วยอริยมรรค สภาวธรรมเหล่านี้
ชื่อว่า ธรรมมีเหตุคือมรรค
สัมมาทิฏฐิของท่านผู้พรั่งพร้อมด้วยอริยมรรค เป็นมรรคด้วย เป็น
เหตุด้วย, เว้นสัมมาทิฏฐิเสีย เวทนาขันธ์ ฯลฯ วิญญาณขันธ์ อันสัมปยุต
ด้วยสัมมาทิฏฐินั้น สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมมีเหตุคือมรรค
อโลภะ อโทสะ อโมหะ ของท่านผู้พรั่งพร้อมด้วยอริยมรรค สภาวธรรม
เหล่านี้ชื่อว่า เหตุคือมรรค, เวทนาขันธ์ ฯลฯ วิญญาณขันธ์อันสัมปยุตด้วย
อโลภะ อโทสะ อโมหะ นั้น สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมมีเหตุคือมรรค.
ธรรมเป็นมรรคเป็นอธิบดี เป็นไฉน ?

ธรรมคือจิตและเจตสิกเหล่าใด ทำอริยมรรคให้เป็นอธิบดีเกิดขึ้น
สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมมีมรรคเป็นอธิบดี
เวทนาขันธ์ ฯลฯ วิญญาณขันธ์ ของท่านผู้พรั่งพร้อมด้วยอริยมรรค
ที่กำลังเจริญมรรค มีวิมังสาเป็นอธิบดี อันสัมปยุตด้วยวิมังสานั้น เว้นวิมังสา
เสีย สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมมีมรรคเป็นอธิบดี.
[683] ธรรมเกิดขึ้นแล้ว เป็นไฉน ?
ธรรมเหล่าใด เกิดแล้ว เป็นแล้ว เกิดพร้อมแล้ว บังเกิดแล้ว
บังเกิดเฉพาะแล้ว ปรากฏแล้ว เกิดขึ้นแล้ว เกิดขึ้นพร้อมแล้ว ตั้งขึ้นแล้ว
ตั้งขึ้นพร้อมแล้ว เกิดขึ้นแล้ว สงเคราะห์ด้วยส่วนที่เกิดขึ้นแล้ว คือ รูป เวทนา
สัญญา สังขาร วิญญาณ สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเกิดขึ้นแล้ว.
ธรรมยังไม่เกิดขึ้น เป็นไฉน ?
ธรรมเหล่าใด ยังไม่เกิดขึ้น ยังไม่เป็นแล้ว ยังไม่เกิดพร้อมแล้ว ยัง
ไม่บังเกิดแล้ว ยังไม่บังเกิดเฉพาะแล้ว ยังไม่ปรากฏแล้ว ยังไม่เกิดขึ้นแล้ว
ยังไม่เกิดขึ้นพร้อมแล้ว ยังไม่ตั้งขึ้นแล้ว ยังไม่ตั้งขึ้นพร้อมแล้ว ยังไม่เกิดขึ้น
แล้ว สงเคราะห์ด้วยส่วนที่ยังไม่เกิดขึ้น คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร
วิญญาณ สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมยังไม่เกิดขึ้น.
ธรรมจักเกิดขึ้น เป็นไฉน ?
วิบากแห่งกุศลธรรมและอกุศลธรรมที่ยังไม่ให้ผล เป็นกามาวจร
รูปาวจร อรูปาวจร โลกุตระ คือ เวทนาขันธ์ ฯลฯ วิญญาณขันธ์ และ
รูปซึ่งจักเกิดขึ้นเพราะกรรมแต่ง สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมจักเกิดขึ้น.
[684] ธรรมเป็นอดีต เป็นไฉน ?

ธรรมเหล่าใด ล่วงไปแล้ว ดับไปแล้ว ปราศไปแล้ว แปรไปแล้ว
อัสดงคตแล้ว ถึงความดับสูญแล้ว เกิดขึ้นแล้วปราศไป ล่วงไป สงเคราะห์ด้วย
ส่วนที่ล่วงไปแล้ว คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ สภาวธรรม
เหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นอดีต.
ธรรมเป็นอนาคต เป็นไฉน ?
ธรรมเหล่าใด ยังไม่เกิดแล้ว ยังไม่เป็นแล้ว ยังไม่เกิดพร้อมแล้ว
ยังไม่บังเกิดแล้ว ยังไม่บังเกิดเฉพาะแล้ว ยังไม่ปรากฏแล้ว ยังไม่เกิดขึ้นแล้ว
ยังไม่เกิดขึ้นพร้อมแล้ว ยังไม่ตั้งขึ้นแล้ว ยังไม่ตั้งขึ้นพร้อมแล้ว ยังไม่มาถึง
สงเคราะห์ด้วยส่วนที่ยังไม่มาถึง คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นอนาคต.
ธรรมเป็นปัจจุบัน เป็นไฉน ?
ธรรมเหล่าใด ซึ่งเกิดแล้ว เป็นแล้ว เกิดพร้อมแล้ว บังเกิดแล้ว
บังเกิดเฉพาะแล้ว ปรากฏแล้ว เกิดขึ้นแล้ว เกิดขึ้นพร้อมแล้ว ตั้งขึ้นแล้ว
ตั้งขึ้นพร้อมแล้ว เกิดขึ้นเฉพาะแล้ว สงเคราะห์ด้วยส่วนที่เกิดขึ้นเฉพาะแล้ว
คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรม
เป็นปัจจุบัน.
[685] ธรรมมีอารมณ์เป็นอดีต เป็นไฉน ?
ธรรมคือจิตและเจตสิกเหล่าใด ปรารภอดีตธรรมเกิดขึ้น สภาวธรรม
เหล่านี้ชื่อว่า ธรรมมีอารมณ์เป็นอดีต.
ธรรมมีอารมณ์เป็นอนาคต เป็นไฉน ?
ธรรมคือจิตและเจตสิกเหล่าใด ปรารภอนาคตธรรมเกิดขึ้น สภาวธรรม
เหล่านี้ชื่อว่า ธรรมมีอารมณ์เป็นอนาคต.

ธรรมมีอารมณ์เป็นปัจจุบัน เป็นไฉน ?
ธรรมคือจิตและเจตสิกเหล่าใด ปรารภปัจจุบันธรรมเกิดขึ้น สภาวธรรม
เหล่านี้ชื่อว่า ธรรมมีอารมณ์เป็นปัจจุบัน.
[686] ธรรมเป็นภายใน เป็นไฉน ?
ธรรมเหล่าใด เป็นภายใน เป็นเฉพาะตน เกิดแก่ตน เป็นของเฉพาะ
แต่ละบุคคล เป็นอุปาทินนะ ของสัตว์นั้น ๆ คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร
วิญญาณ สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นภายใน.
ธรรมเป็นภายนอก เป็นไฉน ?
ธรรมเหล่าใด เป็นภายนอก เป็นเฉพาะตน เกิดแก่ตน เป็นของเฉพาะ
แต่ละบุคคล เป็นอุปาทินนะ ของสัตว์อื่น ของบุคคลอื่นนั้น ๆ คือ รูป เวทนา
สัญญา สังขาร วิญญาณ สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นภายนอก.
ธรรมเป็นภายในและเป็นภายนอก เป็นไฉน ?
ธรรมทั้ง 2 ประเภทนั้น สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นภายใน
และเป็นภายนอก.
[687] ธรรมมีอารมณ์เป็นภายใน เป็นไฉน ?
ธรรมคือจิตและเจตสิกเหล่าใด ปรารภธรรมเป็นภายในเกิดขึ้น สภาว-
ธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมมีอารมณ์เป็นภายใน.
ธรรมมีอารมณ์เป็นภายนอก เป็นไฉน ?
ธรรมคือจิตและเจตสิกเหล่าใด ปรารภธรรมเป็นภายนอกเกิดขึ้น
สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมมีอารมณ์เป็นภายนอก.
ธรรมมีอารมณ์เป็นภายในและภายนอก เป็นไฉน ?

ธรรมคือจิตและเจตสิกเหล่าใด ปรารภธรรมเป็นภายใน ธรรมเป็น
ภายนอกเกิดขึ้น สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมมีอารมณ์เป็นภายในและเป็น
ภายนอก.
[688] ธรรมที่เห็นได้และกระทบได้ เป็นไฉน ?
รูปายตนะ สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมที่เห็นได้และกระทบได้.
ธรรมที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้ เป็นไฉน ?
จักขายตนะ โสตายตนะ ฆานายตนะ ชิวหายตนะ กายายตนะ
สัททายตนะ คันธายตนะ รสายตนะ โผฏฐัพพายตนะ สภาวธรรมเหล่านี้
ชื่อว่า ธรรมที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้.
ธรรมที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้ เป็นไฉน ?
เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์, รูปที่เห็นไม่ได้
กระทบไม่ได้ซึ่งนับเนื่องในธรรมายตนะ และอสังขตธาตุ สภาวธรรมเหล่านี้
ชื่อว่า ธรรมที่เห็นไม่ได้และกระทบไม่ได้.
ติกะจบ

อัฏฐสาลินี อรรถกถาธรรมสังคณี


อธิบายนิกเขปกัณฑ์


โดยลำดับแห่งคำมีอาทิว่า กตเม ธมฺมา กุสลา ดังนี้ เพียงเท่านี้
กุศลติกะย่อมเป็นอันพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงให้พิสดาร ด้วยนัยกล่าวคือการ
จำแนกบทธรรมมีกุศลเป็นต้นทั้งหมด ก็นัยกล่าวคือการจำแนกบทแม้แห่ง
กุศลติกะนี้ใดที่ตรัสไว้แล้ว ก็นัยนี้นั้นแหละเป็นนัยแห่งการจำแนกต่าง ๆ ของ
ติกะและทุกะที่เหลือ อันบัณฑิตทั้งหลาย อาจเพื่อกำหนดนัยกล่าวคือการจำแนก
ต่าง ๆ ในติกะและทุกะทั้งหมดตามลำดับมีอาทิว่า " ธรรมสัมปยุตด้วยสุขเวทนา
เป็นไฉน ? ในสมัยใด กามาวจรกุศลจิต สหรคตด้วยโสมนัส สัมปยุตด้วย
ญาณ มีรูปเป็นอารมณ์ ก็หรือว่าเสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพารัมณ์ ฯลฯ ก็หรือ
ว่า ในสมัยนั้น นามธรรมแม้อื่นใดที่อิงอาศัยเกิดขึ้น เว้นเวทนาขันธ์ สภาว-
ธรรมเหล่านี้ ชื่อว่า สัมปยุตด้วยสุขเวทนา" ดังนี้ เหมือนในการจำแนก
กุศลติกะนี้ฉะนั้น เพราะเหตุนั้น เพื่อทรงสรุปความเทศนาอันพิสดารนั้น แล้ว
ทรงแสดงจำแนกธรรมหมวดติกะ และทุกะทั้งหมดด้วยนัยที่ไม่ย่อเกินไปและ
ไม่พิสดารเกินไปอีกอย่างหนึ่ง จึงทรงเริ่มนิกเขปกัณฑ์ว่า กตเม ธมฺมา
กุสลา
(ธรรมเป็นกุศล เป็นไฉน ?) ดังนี้.
จริงอยู่ จิตตุปปาทกัณฑ์ (ที่กล่าวแล้ว) เป็นเทศนาพิสดาร แต่อรรถ-
กถากัณฑ์เป็นเทศนาย่อ ก็นิกเขปกัณฑ์นี้ เทียบกับจิตตุปปาทกัณฑ์ นับว่าเป็น
เทศนาย่อ เทียบกับอรรถกถากัณฑ์ ก็เป็นเทศนาพิสดาร เพราะฉะนั้น นิกเขป-
กัณฑ์นี้จึงเป็นเทศนาที่ไม่ย่อเกินไปและไม่พิสดารเกินไป กัณฑ์นี้นั้น บัณฑิตพึง