เมนู

เอาผลตามแต่จะหาได้ อันถึงพร้อมด้วยคุณมิใช่น้อย เพราะฉะนั้น เราจึงละ
อาหารอันเกิดแต่ธัญชาติที่เขาหว่านและปลูกแล้ว บริโภคผลไม้ ตามที่หาได้
ดังนี้ จำเดิมแต่กาลนั้น พระมหาสัตว์ก็ทำอย่างนั้น แล้วสืบต่ออยู่ พยายาม
อยู่ภายใน 7 วันก็ยังสมาบัติแปด และอภิญญาห้าให้เกิดขึ้นแล้ว.

ว่าด้วยการทำทางและได้รับพยากรณ์



ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า
เราละธัญชาติที่หว่านแล้วปลูกแล้ว
โดยไม่เหลือถือเอาผลไม้ที่ตกตามแต่หาได้
ซึ่งถึงพร้อมด้วยคุณมิใช่น้อย เราตั้งความ
เพียรในการนั่ง การยืน การจงกรมในที่
นั้น ในภายในสัปดาห์ เราก็บรรลุกำลัง
แห่งอภิญญา เมื่อเราถึงความสำเร็จเป็นผู้
ชำนาญแล้วในพระศาสนาอย่างนี้ พระชิน-
เจ้าพระนามว่า ทีปังกร ผู้เป็นนายกของโลก
ก็ทรงอุบัติขึ้น เรามัวยินดีในฌาน จึงมิได้
เห็นนิมิต 4 คือ เมื่อพระองค์ทรงอุบัติ
ทรงประสูติ ตรัสรู้ และแสดงธรรม
พวกมนุษย์ผู้มีจิตยินดี นิมนต์พระตถาคต
ให้เสด็จไปในเขตแดนประเทศชายแดน
แล้วพากันแผ้วถางทางเป็นที่เสด็จมาของ
พระตถาคต สมัยนั้น เราครองผ้าคากรอง
ของตนออกจากอาศรม เหาะไปในท้องฟ้า

ในกาลนั้น เราเห็นชนมีโสมนัส ยินดี
ร่าเริงบันเทิงใจ จึงลงจากฟ้า ถาม
พวกมนุษย์ในขณะนั้นว่า มหาชนผู้มี
โสมนัส มีความยินดีร่าเริงแล้ว ย่อมแผ้ว
ทางทางทำถนนเพื่อใคร พวกมหาชน
เหล่านั้นถูกเราถามแล้ว จึงบอกแก่เราว่า
พระชินพุทธเจ้า ทรงพระนามว่า ทีปังกร
ไม่มีผู้ยิ่งกว่า เป็นนายกของโลกทรงอุบัติ
ขึ้นในโลก มหาชนย่อมแผ้วถางทางทำ
ถนนเชื่อมต่อกันไปเพื่อพระองค์นั้นเพราะ
ฟังพระนามว่า พุทฺโธ ดังนี้ ปีติก็เกิด
ขึ้นแก่เราในทันทีทันใดนั้น เมื่อเราจะ
กล่าวว่า พุทฺโธ พุทฺโธ ดังนี้ จึงประกาศ
ถึงความโสมนัส มีความยินดีแล้ว ก็มีจิต
สลดยืนคิดอยู่ในที่นั้นว่า เราจักปลูกพืช
ทั้งหลายไว้ในที่นี้ ขอขณะ (เวลา) อย่าได้
ล่วงเราไปเสียเลย ถ้าว่าพวกท่าวแผ้วถาง
ทางเพื่อพระพุทธเจ้าไซร้ ขอพวกท่านจง
ให้ช่องว่าง ( ทาง ) ส่วนหนึ่งแก่เราเถิด
แม้เราก็จักแผ้วถางทางทำถนน พวกเขา
ได้ให้ช่องว่างทางส่วนหนึ่งแก่เราเพื่อชำระ
ทำถนนในครั้งนั้น เราคิดอยู่ว่า พุทฺโธ

พุทฺโธ ดังนี้ ชำระทางอยู่ในกาลนั้น เมื่อ
ทางถนนของเรายังไม่สำเร็จ พระชิน-
มหามุนีทีปังกร พร้อมด้วยพระขีณาสพ
ประมาณสี่แสน ผู้มีอภิญญา 6 ผู้คงที่
ปราศจากมลทินก็เสด็จดำเนินมาสู่หนทาง
การต้อนรับก็กำลังเป็นไป กลองดนตรี
ทั้งหลายเป็นอันมากก็กึกก้องขึ้น เหล่า
มนุษย์และเทพยดาทั้งหลาย ต่างก็พากัน
ยินดีปรีดา ได้ยังสาธุการให้เป็นไปแล้ว
พวกเทวดาก็มองดูพวกมนุษย์ แม้พวก
มนุษย์ก็มองเห็นเทวดาทั้งหลาย พวกเทว-
ดาและมนุษย์แม้ทั้งสองต่างก็ยกมือประณม
เดินตามพระตถาคต พวกเทวดาก็ประโคม
ดนตรีทิพย์ พวกมนุษย์ก็ประโคมดนตรี
ของมนุษย์ เทวดาและมนุษย์แม้ทั้งสองพวก
ต่างก็ประโคมดนตรีตามเสด็จพระตถาคต
พวกเทวดาไปทางอากาศโปรยดอกมณฑา-
รพ ดอกปทุม ดอกปาริฉัตตกะอันเป็น
ทิพย์ ไปสู่ทิศน้อยทิศใหญ่ ทั้งได้โปรย
จุรณจันทน์ และของหอมอันประเสริฐ
อันเป็นทิพย์ลงสู่ทิศน้อยใหญ่ทั้งสิ้น พวก
มนุษย์ซึ่งเดินตามพื้นดินต่างก็ชูดอกจำปา

ดอกสน ดอกประดู่ ดอกกระทิง ดอก
บุนนาค และดอกการะเกดทั่วทิศานุทิศ
ส่วนเราสยายผมออก และเปลื้องผ้าคากรอง
และหนังสือลาดไว้บนเปือกตมแล้ว นอน
คว่ำลง (โดยตั้งใจว่า) ขอพระพุทธเจ้าจง
ทรงเหยียบเรา อย่าได้ทรงเหยียบโคลนตมเลย
การที่พระองค์ทางดำเนินไปเช่นนั้น จักเป็น
ประโยชน์เกื้อกูลแก่เรา เมื่อเรานอนที่พื้น
ดินแล้ว ได้มีความคิดอย่างนี้ว่า เราเมื่อ
ปรารถนาอยู่ วันนี้จักฆ่ากิเลสทั้งหลายได้
การที่กระทำให้แจ้งซึ่งธรรม ด้วยเพศ
อันบุคคลอื่นไม่รู้จักในที่นี้ จะมีประโยชน์
อะไร ? เราบรรลุสัพพัญญุตญาณแล้ว จัก
เป็นพระพุทธเจ้าในโลกพร้อมทั้งเทวโลก
ความที่เราเป็นบุรุษแสดงความสามารถข้าม
ไปคนเดียว จะมีประโยชน์อะไร ? เราบรรลุ
สัพพัญญุตญาณแล้ว จักยังมนุษยโลกทั้ง
เทวโลกให้ข้ามไปพร้อมกัน ความที่เราเป็น
บุรุษมีบุญญาธิการส่องถึงความสามารถคน
เดียวนี้ จะมีประโยชน์อะไร ? เราบรรลุ
สัพพัญญุตญาณแล้ว จักยังประชุมชนอัน

มากให้ข้ามตาม เราตัดกระแสสงสารแล้ว
กำจัดภพทั้งสามขึ้นสู่ธรรมนาวาแล้ว จักยัง
มนุษย์พร้อมทั้งเทวโลกให้ข้ามไปพร้อมกัน
พระทีปังกรพุทธเจ้า ผู้รู้แจ้งโลก ผู้สมควร
รับเครื่องสักการะที่เขานำมาบูชา ประทับ
ยืนบนศีรษะเรา ได้ตรัสคำนี้ว่า
พวกเธอจงดูดาบสนี้ ผู้เป็นชฏิลมี
ตบะกล้าในกัปที่นับไม่ถ้วน แต่กัปนี้ไป
จักเป็นพระพุทธเจ้าในโลก เธอจักเป็น
พระตถาคตเสด็จออกจากนครกบิลพัสดุ์
อันน่ารื่นรมย์ จักทรงตั้งความเพียรกระทำ
ทุกรกิริยา จักประทับนั่งที่โคนไม้อชปาล-
นิโครธ ทรงรับข้าวมธุปายาสในที่นั้น
แล้ว จักเข้าไปยังแม่น้ำเนรัญชรา เสวย
ข้าวปายาสที่ริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา แล้วจัก
เสด็จไปโคนต้นโพธิ์ โดยทางอันประเสริฐ
ที่เขาตกแต่งไว้แล้ว ต่อจากนั้นก็กระทำ
ประทักษิณโพธิมณฑลอันยอดเยี่ยม แล้วจัก
ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธะผู้มียศใหญ่ ที่
โคนอัสสัตถพฤกษ์ พระมารดาของผู้เป็น
ชนนีของดาบสนี้ จักมีนามว่า มายา พระ-
บิดา มีนามว่า สุทโธทนะ ดาบสนี้จักเป็น

โคตมโคตร (เหล่ากอของพระโคดม) คือ
พระพุทธเจ้า พระโกลิตะ และพระอุปติสสะ
ผู้ไม่มีอาสวะ ปราศจากราคะ มีจิตสงบ
ตั้งมั่นแล้ว จักเป็นคู่อัครสาวก ภิกษุผู้
อุปัฏฐากชื่อว่า อานนท์ จักบำรุงพระชินะ
นั้น นางเขมาและนางอุบลวรรณา ผู้ไม่มี
อาสวะ ปราศจากราคะ มาจิตสงบตั้งมั่นแล้ว
จักเป็นคู่อัครสาวิกา ต้นไม้ที่ตรัสรู้ของพระ-
ผู้มีพระภาคเจ้านั้น เรียกว่า อัสสัตถพฤกษ์
ดังนี้.
พวกมนุษย์ และเทวดาฟังพระดำรัส
ของพระมเหสีเจ้า ผู้ไม่มีใครเสมอว่า ดาบส
นี้จักเป็นพุทธางกูร (คือเป็นหน่อเนื้อแห่ง
พระพุทธเจ้า) ก็พากันยินดีเบิกบานใจทั่ว
เสียงเกิดจากความปรีดาปราโมทย์อันยิ่งก็
บันลือลั่น พวกมนุษย์และเหล่าเทวดาทั้ง
หมื่นโลกธาตุก็ปรบมือร่าเริง ประนมมือ
นมัสการตั้งความปรารถนาว่า แม้ถ้าพวกเรา
จักพลาดจากศาสนาของโลกนาถนั้น ใน
อนาคตกาล พวกเราก็จักพบกับดาบสนี้
เปรียบเหมือนมนุษย์ทั้งหลาย ผู้ข้ามแม่น้ำ
ใหญ่พลาดท่าที่ตั้งอยู่เฉพาะหน้า ก็ถือเอาท่า

ล่างข้ามมหานทีได้ฉันใด พวกเราทั้งหมด
ก็ฉันนั้นเหมือนกัน ถ้าพ้นจากพระชินะ
พระองค์นี้ ในอนาคตกาลก็จักพบดาบสนี้
พระทีปังกรพุทธเจ้าผู้รู้แจ้งโลก ผู้สมควร
รับเครื่องสักการะอันมนุษย์และเทวดานำมา
บูชาแล้ว ทรงประกาศกรรมของเราแล้ว
ก็ทรงยกพระบาทเบื้องขวาขึ้นเสด็จดำเนินไป
เหล่าชินบุตรเหล่าใดอยู่ในที่นั้น ทั้งหมด
ต่างก็กระทำประทักษิณเรา พวกมนุษย์ นาค
และคนธรรพ์ต่างก็อภิวาทแล้วก็หลีกไป เมื่อ
พระโลกนาถพร้อมทั้งหมู่ภิกษุสงฆ์ ก้าวล่วง
การมองดูของเราแล้ว เรามีจิตยินดีร่าเริง
แล้วลุกขึ้นจากอาสนะในกาลนั้น เรามี
ความสุขด้วยความสุข มีความบันเทิงด้วย
ความปราโมทย์ บริบูรณ์แล้วด้วยปีติ แล้วคู้
บัลลังก์ในกาลนั้น เราครั้นนั่งคู้บัลลังก์ใน
กาลนั้นแล้ว ได้มีความคิดอย่างนี้ว่า
เราเป็นผู้ชำนาญในฌาน ถึงอภิญญา
บารมีแล้ว ฤาษีทั้งหลายในหมื่นโลกธาตุไม่
เสมอเรา เราไม่มีใครเสมอในอิทธิธรรม
ได้ความสุขเช่นนี้ เมื่อเราคู้บัลลังก์อยู่
เหล่าเทพเจ้าในหมื่นโลกธาตุ ต่างก็เปล่งเสียง

บันลือลั่นไปว่า "ท่านจักเป็นพระพุทธเจ้า
แน่" นิมิตทั้งหลายเหล่าใดของพระโพธิสัตว์
ทั้งหลายในปางก่อนมาปรากฏแก่เราผู้นั่งคู้
บัลลังก์อันประเสริฐ นิมิตเหล่านั้นย่อม
ปรากฏในวันนี้ ความเย็นปราศไป และ
ความร้อนย่อมสงบระงับไปในกาลก่อนอันใด
นิมิตเหล่านั้นปรากฏอยู่แก่เราในวันนี้ว่า
ท่านจักเป็นพระพุทธเจ้าแน่ หมื่นโลกธาตุ
ปราศจากเสียงสับสนวุ่นวายปรากฏแก่เราในวัน
นี้ว่า ท่านจักเป็นพระพุทธเจ้าแน่ พายุใหญ่
ย่อมไม่พัด แม่น้ำทั้งหลายย่อมไม่ไหลไป
ในกาลก่อนอันใด นิมิตเหล่านั้นย่อมปรากฏ
แก่เราในวันนี้ว่า ท่านจักเป็นพระพุทธเจ้า
แน่ ดอกไม้ทั้งหลายที่เกิดบนบก ที่เกิดใน
น้ำทั้งหมดต่างก็เบ่งบานในกาลก่อนนั้น
ดอกไม้เหล่านั้นก็เบ่งบานแล้ว ในวันนี้เป็น
นิมิตว่า ท่านจักเป็นพระพุทธเจ้าแน่ เครือเถา
หรือต้นไม้เหล่านั้นทั้งหมดก็ผลิผลในวันนี้
เป็นนิมิตว่า ท่านจักเป็นพระพุทธเจ้าแน่
รัตนะทั้งหลายที่ตั้งอยู่ที่อากาศก็ดี ที่พื้นดิน

ก็ดี ย่อมส่องแสงโชติช่วงในครั้งนั้น รัตนะ
ทั้งหลายแม้เหล่านั้นก็ส่องแสงโชติช่วง ใน
วันนี้เป็นนิมิตว่า ท่านจักเป็นพระพุทธเจ้าแน่
ดนตรีทั้งหลายอันเป็นของมนุษย์ และเป็น
ทิพย์ ต่างก็บันลือลั่นในกาลนั้น ดนตรีแม้
เหล่านั้นก็บันลือลั่นในวันนี้เป็นนิมิตว่า
ท่านจักเป็นพระพุทธเจ้าแน่ ดอกไม้อัน
วิจิตรตกจากฟากฟ้าในครั้งนั้น ดอกไม้แม้
เหล่านั้น ก็กำลังตกในวันนี้เป็นนิมิตว่า ท่าน
จักเป็นพระพุทธเจ้าแน่ มหาสมุทรคะนอง
หมื่นโลกธาตุย่อมหวั่นไหวในครั้งนั้น นิมิต
แม้ทั้งสองเหล่านั้น ก็บันลือลั่นในวันนี้ว่า
ท่านจักเป็นพระพุทธเจ้าแน่ ไฟในนรกทั้ง
หมื่นโลกธาตุย่อมดับในขณะนั้น ไฟเหล่านั้น
ก็ดับแล้วในวันนี้เป็นนิมิตว่า ท่านจักเป็น
พระพุทธเจ้าแน่ พระอาทิตย์ปราศจากมลทิน
ดวงดาราทั้งปวงปรากฏในครั้งนั้น นิมิตแม้
เหล่านั้นก็ปรากฏในวันนี้ว่า ท่านจักเป็นพระ-
พุทธเจ้าแน่ น้ำพุ่งขึ้นจากแผ่นดินโดยที่ฝน
มิได้ตก ในครั้งนั้น แม้น้ำนั้นก็พุ่งขึ้นจาก
แผ่นดินในวันนี้เป็นนิมิตว่า ท่านจักเป็น
พระพุทธเจ้าแน่ กลุ่มดาวนักษัตรทั้งหลาย

ประกอบด้วยดวงจันทร์ อันเป็นวิสาขปุรณ-
มีฤกษ์ ย่อมรุ่งโรจน์ในมณฑลแห่งท้องฟ้า
เป็นนิมิตว่า ท่านจักเป็นพระพุทธเจ้าแน่
เหล่าสัตว์ที่อาศัยโพรงและอาศัยตามซอกเขา
ย่อมออกจากที่อยู่ของตน สัตว์เหล่านั้นก็
ออกจากที่อยู่ของตนแม้ในวันนี้ เป็นนิมิตว่า
ท่านจักเป็นพระพุทธเจ้าแน่ สัตว์ทั้งหลาย
ไม่มีความริษยากัน มีความยินดีในครั้งนั้น
สัตว์เหล่านั้นทั้งหมดก็ยินดีแล้ว แม้ในกาลนี้
เป็นนิมิตว่า ท่านจักเป็นพระพุทธเจ้าแน่
โรคทั้งหลายย่อมสงบระงับ ความกระหาย
ย่อมพินาศไปในครั้งนั้น สิ่งเหล่านั้นย่อม
ปรากฏแม้ในวันนี้ เป็นนิมิตว่า ท่านจักเป็น
พระพุทธเจ้าแน่ ราคะย่อมเบาบาง โทสะ
และโมหะย่อมพินาศในกาลนั้น กิเลส
เหล่านั้นแม้ทั้งหมดปราศจากไปแล้ว แม้ใน
วันนี้เป็นนิมิตว่า ท่านจักเป็นพระพุทธเจ้า
แน่ ภัยไม่มีในครั้งนั้น แม้ในวันนี้ ภัยนั้น
ก็ไม่ปรากฏ เพราะนิมิตนั้น ๆ พวกข้าพเจ้า
จึงทราบว่า ท่านจักเป็นพระพุทธเจ้าแน่ ธุลี
ย่อมไม่ฟุ้งขึ้นเบื้องบนในเวลานั้น ธุลีนั้น
ย่อมไม่ปรากฏแม้ในวันนี้ เพราะนิมิตินั้น

พวกข้าพเจ้าจึงทราบว่า ท่านจักเป็นพระ-
พุทธเจ้าแน่ กลิ่นที่ไม่น่าปรารถนาย่อม
หลีกไป กลิ่นอันเป็นทิพย์ย่อมฟุ้งไปในครั้ง
นั้น กลิ่นหอมอันเป็นทิพย์นั้น ย่อมฟุ้งไป
แม้ในวันนี้ เพราะนิมิตนั้น ท่านจักเป็น
พระพุทธเจ้าแน่ เหล่าเทพทั้งหมดเว้นอรูป-
พรหม เทพทั้งหมดเหล่านั้นทั้งหมดย่อม
ปรากฏแม้ในวันนี้ เพราะนิมิตนั้น ท่านจัก
เป็นพระพุทธเจ้าแน่ ชื่อว่า นรกทั้งหลาย
ทั้งหมดย่อมปรากฏในครั้งนั้น นรกเหล่านั้น
ทั้งหมดย่อมปรากฏแม้ในวันนี้ เพราะมิมิต
นั้น ท่านจักเป็นพระพุทธเจ้าแน่ ฝาเรือน
บานหน้าต่าง และศิลาย่อมไม่เป็นเครื่องกั้น
สายตาในครั้งนั้น ทัพสัมภาระเหล่านั้นเป็น
ดุจอากาศแม้ในวันนี้ เพราะนิมิตนั้น ท่าน
จักเป็นพระพุทธเจ้าแน่ จุติและอุปบัติไม่มี
ในขณะนั้น จุติและอุปบัติย่อมไม่ปรากฏใน
วันนี้ เพราะนิมิตนั้น ท่านจักเป็นพระพุทธ-
เจ้าแน่ นิมิตทั้งหลายเหล่านี้ ย่อมปรากฏแก่
สัตว์ทั้งหลายเพื่อประโยชน์แก่การตรัสรู้ ขอ
ท่านจงประคองความเพียรไว้ให้มั่น อย่า
ถอยกลับ จงก้าวไปข้างหน้า แม้พวกเราก็

ย่อมรู้แจ้งซึ่งนิมิตนั้นว่า ท่านจักเป็นพระ-
พุทธเจ้าแน่.
เรา (สุเมธบัณฑิต) สดับพระดำรัส
ของพระพุทธเจ้าและเหล่าเทวดาหมื่นโลก-
ธาตุทั้งสองแล้ว มีความโสมนัสยินดีร่าเริง
บันเทิงใจแล้ว ได้มีความคิดในกาลครั้งนั้น
อย่างนี้ว่า พระพุทธเจ้าทั้งหลายมีถ้อยคำไม่
เป็นสอง พระชินะทั้งหลาย พระวาจาไม่เป็น
โมฆะ ถ้อยคำอันไม่เป็นจริงไม่มีแก่พระ-
พุทธเจ้าทั้งหลาย เราจักเป็นพระพุทธเจ้า
แน่ ก้อนดินบุคคลขว้างไปในท้องฟ้าย่อม
ตกลงสู่พื้นดินแน่แท้ ฉันใด พระดำรัสของ
พระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐสุดเป็นพระดำรัส
เที่ยงแท้แน่นอนฉันนั้นเหมือนกัน ความ
ตายย่อมเป็นของแท้แก่สรรพสัตว์ทั้งหลาย
แม้ฉันใด พระดำรัสของพระพุทธเจ้าผู้ประ-
เสริฐสุดก็มีพระดำรัสเที่ยงแท้ฉันนั้นเหมือน
กัน เมื่อราตรีสิ้นไปแล้วพระอาทิตย์ต้องขึ้น
ไปแน่ ฉันใด พระดำรัสของพระพุทธเจ้าผู้
ประเสริฐสุดก็เป็นพระดำรัสจริงแท้แน่นอน
ฉันนั้นเหมือนกัน เมื่อสีหะออกจากที่นอน
แล้วย่อมบันลือแน่แท้ ฉันใด พระดำรัส

ของพุทธเจ้าผู้ประเสริฐสุด ก็เป็นพระดำรัส
จริงแท้แน่นอน ฉันนั้นเหมือนกัน สัตว์
ทั้งหลายแบกของหนักไปถึงที่ประสงค์แล้ว
ย่อมวางลงแน่ ฉันใด พระดำรัสของพระ-
พุทธเจ้าผู้ประเสริฐสุด ก็เป็นพระดำรัส
เที่ยงแท้แน่นอน ฉันนั้นเหมือนกัน.


ว่าด้วยพุทธการกธรรม 10



เอาเถอะ เราจักเลือกเฟ้นธรรมทั้งหลาย อัน
กระทำซึ่งความเป็นพระพุทธเจ้า ทางโน้น
และทางนี้ ทั้งเบื้องบนเบื้องต่ำทั่วทั้งสิบทิศ
ตลอดถึงธรรมธาตุ เมื่อเราเลือกเฟ้นอยู่ใน
กาลนั้น ได้เห็นทานบารมีอันเป็นพุทธการก-
ธรรมข้อที่ 1 ซึ่งเป็นทางใหญ่ อันพระมเหสี
เจ้าทั้งหลายในกาลก่อน ทรงเลือกเฟ้นแล้ว
จึงสอนตนว่า เธอจงบำเพ็ญทานบารมี อัน
เป็นพุทธการกธรรมข้อที่ 1 นี้ สมาทานทำ
ไว้ให้มั่นก่อน ถ้าเธอปรารถนาบรรลุพระ-
โพธิญาณ เปรียบเหมือนหม้อน้ำที่ใคร ๆ
คนหนึ่งคว่ำปากลง น้ำก็ออกจากหม้อมิได้
เหลือ มิได้รักษาน้ำไว้ในหม้อนั้น แม้ฉันใด
ท่านเห็นยาจกทั้งหลายแล้ว ชั้นต่ำก็ตาม