เมนู

ฝ่ายพระสุธรรมเทวเถระผู้อยู่ในคามวาสี เมื่อจะเปลี่ยนแปลงธรรมที่
ภายใต้โลหปราสาท กล่าวไว้ว่า ปรวาทีบุคคลนี้ เป็นเหมือนประคองแขนทั้ง
สองคร่ำครวญอยู่ในป่า และสร้างคดีที่ไม่มีพยาน จึงไม่ทราบแม้พระอภิธรรม
ว่ามีนิทาน แล้วกล่าวอย่างนี้อีกว่า สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ที่
บัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ ณ ควงไม้ปาริชาต สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ในครั้งนั้นแล
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสอภิธรรมกถาแก่เทวดาชั้นดาวดึงส์ว่า กุสลา ธมฺมา
อกุสลา ธมฺมา อพฺยากตา ธมฺมา
เป็นต้น. ส่วนในพระสูตรอื่น ๆ ก็มี
นิทานอย่างเดียวกันนั่นแหละ.

พระอภิธรรมมีนิทาน 2 อย่าง



ในพระอภิธรรมมีนิทาน 2 อย่าง คือ อธิคมนิทาน และเทศนา-
นิทาน
. บรรดานิทานทั้ง 2 นั้น อธิคมนิทาน พึงทราบตั้งแต่พระทศพล
พระนามว่า ทีปังกร จนถึงมหาโพธิบัลลังก์ เทศนานิทาน พึงทราบจนถึง
การประกาศพระธรรมจักร. เพื่อความเป็นผู้ฉลาดในนิทานของพระอภิธรรม
อันสมบูรณ์ด้วยนิทานทั้ง 2 อย่างนี้บัณฑิตพึงทราบการตั้งปัญหาดังต่อไปนี้ก่อน.
ถามว่า พระอภิธรรมนี้ ให้เจริญมาด้วยอะไร ? ให้งอกงามไว้ใน
ที่ไหน ? บรรลุแล้วในที่ไหน ? บรรลุแล้วในกาลไร ? ใครบรรลุ ? วิจัย
แล้วในที่ไหน ? วิจัยแล้วในกาลไร ? ใครวิจัยแล้ว ? แสดงในที่ไหน ?
แสดงแล้วเพื่อประโยชน์แก่ใคร ? แสดงแล้วเพื่ออะไร ? พวกใครรับไว้ ?
พวกไหนกำลังศึกษา ? พวกไหนศึกษาแล้ว? พวกไหนย่อมทรงจำไว้ ?
เป็นคำของใคร ? ใครนำมา ดังนี้.
ในปัญหานั้น มีวิสัชนาดังนี้.

คำถามว่า พระอภิธรรมนี้ ให้เจริญมาด้วยอะไร มีคำตอบว่า ให้เจริญ
มาด้วยศรัทธามุ่งไปสู่ปัญญาเครื่องตรัสรู้. คำถามที่ว่า ให้งอกงามไว้ในที่ไหน ?
มีคำตอบว่า ให้งอกงามในชาดก 550. คำถามที่ว่า บรรลุแล้วในที่ไหน ?
มีคำตอบว่า ที่ควงไม้โพธิ์. คำถามที่ว่า บรรลุในกาลไร มีคำตอบว่า ใน
วันเพ็ญเดือนหก. คำถามว่า ใครบรรลุ มีคำตอบว่า พระสัพพัญญูพุทธเจ้า.
คำถามว่า วิจัยที่ไหน ตอบว่า ที่ควงไม้โพธิ์. คำถามว่า วิจัยแล้วในกาลไร
ตอบว่า ในเวลาตลอด 7 วัน ณ เรือนแก้ว. คำถามว่า ใครวิจัย ตอบว่า
พระสัพพัญญูพุทธเจ้า. คำถามว่า แสดงที่ไหน ตอบว่า ในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์.
คำถามว่า แสดงแล้ว เพื่อประโยชน์แก่ใคร ตอบว่า แก่เทวดาทั้งหลาย. คำถาม
ว่า แสดงแล้ว เพื่ออะไร ตอบว่า เพื่อออกไปจากโอฆะ 4. คำถามว่า ใคร
รับไว้ ตอบว่า พวกเทพ. คำถามว่า ใครกำลังศึกษา ตอบว่า พระเสขะ
และกัลยาณปุถุชน. คำถามว่า ใครศึกษาแล้ว ตอบว่า พระอรหันต์ขีณาสพ.
คำถามว่า ใครทรงไว้ ตอบว่า เป็นไปแก่ชนเหล่าใด ชนเหล่านั้นย่อมทรงจำไว้.
คำถามว่า เป็นถ้อยคำของใคร ตอบว่า เป็นพระดำรัสของพระผู้มีพระภาค-
อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า. คำถามว่า ใครเป็นผู้นำมา ตอบว่า อันอาจารย์
นำสืบต่อกันมา.
จริงอยู่ พระอภิธรรมนี้ อันพระเถระทั้งหลายมีอาทิอย่างนี้ คือ
พระสารีบุตรเถระ พระภัททชิ พระโสภิต พระปิยชาลี พระปิยปาละ พระ
ปิยทัสสี พระโกสิยบุตร พระสิคควะ พระสันเทหะ พระโมคคลิบุตร พระ
ติสสทัตตะ พระธัมมิยะ พระทาสกะ พระโสนกะ พระเรวตะเป็นผู้นำมาจน
ถึงกาลแห่งตติยสังคีติ ต่อจากนั้น ศิษยานุศิษย์ของพระเถระเหล่านั้นนั่นแหละ

นำมาแล้วโดยสืบต่อกันมาตามอาจารย์ ในชมพูทวีปอย่างนี้ด้วยอาการอย่างนี้
ก่อน.
ส่วนพระอภิธรรมที่พระมหานาคเหล่านั้นนำมาสู่เกาะนี้ ตามที่พระ-
โบราณาจารย์ประพันธ์เป็นคาถาไว้ว่า
ในกาลนั้น พระเถระผู้ประเสริฐ มี
ปัญญามาเหล่านี้ คือ พระมหินทเถระ 1
พระอิฎฏิยเถระ 1 พระอุตติยเถระ 1 พระ
สัมพลเถระ 1 พระเถระผู้เป็นบัณฑิต ชื่อว่า
ภัททะ 1 มาในเกาะสิงหลนี้ จากชมพูทวีป.

ต่อจากนั้น พระอภิธรรมนั้น อันอาจารย์อื่น ๆ กล่าวคือศิษยานุศิษย์
ของพระเถระเหล่านั้นนั่นแหละนำมาจนถึงกาลปัจจุบันนี้ ก็กล่าวถึงอธิคมนิทาน
อันใดนั้น จำเดิมแด่พระทศพลพระนามว่า ทีปังกร จนถึงมหาโพธิบัลลังก์
และกล่าวถึงเทศนานิทานจนถึงทรงประกาศพระธรรมจักร ของพระอภิธรรม
นั้นอันพระมหานาคทั้งหลายนำมาแล้วอย่างนี้ และเพื่อความแจ่มแจ้งแห่ง
อธิคมนิทานนั้น พึงทราบอนุปุพพิกถา ดังต่อไปนี้.

อธิคมนิทาน



ว่าด้วยเรื่องสุเมธดาบส



ได้ยินว่า ในที่สุดแห่งสี่อสงไขยยิ่งด้วยแสนกัปถอยไปแต่ภัทรกัปนี้
มีพระนคร ชื่อว่า อมรวดี พราหมณ์ ชื่อว่า สุเมธะ เป็นผู้เกิดดีแล้วทั้งสองฝ่าย
คือเป็นผู้ถือกำเนิดบริสุทธิ์ดีแล้วจากมารดาและบิดา เป็นผู้อันใคร ๆ ไม่ดูหมิ่น
ไม่รังเกียจ ด้วยการกล่าวถึงชาติตระกูล จนถึง 7 ชั่วตระกูล เป็นผู้มีรูปงาม
น่าดู นำมาซึ่งความเลื่อมใส ประกอบด้วยวรรณะและทรวดทรงงดงาม อาศัย
อยู่ในพระนครอมรวดีนั้น. พราหมณ์สุเมธะนั้นมิได้ทำการงานอื่น นอกจาก
เรียนศิลปะของพราหมณ์เท่านั้น. ในเวลาที่เขายังเป็นเด็กนั่นแหละ. มารดา
บิดาได้ทำกาละเสียแล้ว. ครั้งนั้น อำมาตย์ชื่อว่า ราสิวัฒกะ ได้นำบัญชีทรัพย์สิน
มาเปิดห้องอันเต็มไปด้วยทองคำ เงิน แก้ว มณี และแก้วมุกดาเป็นต้น แล้ว
บอกทรัพย์จนถึงชั่ว 7 ตระกูลว่า ดูก่อนกุมาร ทรัพย์เป็นของมีอยู่แห่ง
มารดาของท่านมีประมาณเท่านี้ ทรัพย์อันเป็นของมีอยู่แห่งบิดา ปู่ ย่า ของ
ท่านมีประมาณเท่านี้ เป็นต้นแล้วกล่าวว่า ท่านจงใช้สอยทรัพย์นั้น ดังนี้.
สุเมธบัณฑิต คิดว่า ปิยชนทั้งหลายของเรามีบิดาและปู่เป็นต้น
รวบรวมทรัพย์นี้ไว้แล้วพากันไปปรโลก มิได้ถือเอาแม้กหาปณะหนึ่งไป ส่วน
เราจะทำเหตุที่ให้ถือเอาไปได้จึงจะสมควร ดังนี้ จึงกราบทูลแด่พระราชา
แล้วให้ตีกลองประกาศในพระนคร ให้ทานแก่มหาชนแล้ว บวชเป็นดาบส.
บัณฑิตพึงกล่าวกถาว่าด้วยสุเมธดาบสไว้ที่นี้.
จริงอยู่ เรื่องสุเมธดาบสนี้ ท่านกล่าวไว้ในพุทธวงศ์ (ทีปังกรกถา
ที่หนึ่ง) ว่า