เมนู

ว่าด้วยมรรคจิตพันนัยเป็นต้น



ในมรรคทั้งหมดมีบท 60 ถ้วน โดยลำดับ รวมกับองค์อปัณณกะ
(ไม่ผิดกัน) 4 เป็น 64 บท ก็บทที่ไม่ปะปนกัน 33 บทในโกฏฐาสวาร และ
สุญญตวาร ตามปกตินั่นแหละ. พระธรรมราชาทรงจำแนกมรรคทั้ง 4 แสดงไว้
4,00 นัย คือ แม้ในมรรคจิตดวงที่ 2 เป็นต้น ก็เป็นดวงละพันนัยเหมือน
ปฐมมรรคนั่นแหละ.
ก็ในสัจจวิภังค์ พระองค์ทรงตั้งโลกุตระไว้ 6 หมื่นนัย ด้วยอำนาจ
แห่งมรรคจิตเหล่านั้นนั่นแหละ ในสติปัฏฐานวิภังค์ทรงตั้งโลกุตระไว้ 2 หมื่นนัย
ในสัมมัปปธานวิภังค์ 2 หมื่นนัย ในอิทธิบาทวิภังค์ 3 หมื่น 2 พันนัย ใน
โพชฌงค์ 3 หมื่น 2 พันนัย ในมรรควิภังค์ทรงตั้งโลกุตระไว้ 2 หมื่น
8 พันนัย ด้วยอำนาจมรรคจิตเหล่านั้นแหละ.
แต่ในที่นี้ ทรงตั้งโลกุตระไว้ 4 พันนัย ในมรรคจิตทั้ง 4 ดวง ใน
บรรดามรรคจิตเหล่านั้น ในมรรคจิตดวงที่หนึ่งประกอบด้วยปฐมฌาน ทรง
จำแนกองค์ไว้ 8 ในทุติยมรรคเป็นต้นก็เหมือนกัน. บรรดาองค์มรรคเหล่านั้น
สัมมาทิฏฐิในมรรคที่หนึ่ง ชื่อว่า สัมมาทิฏฐิ เพราะอรรถว่า ย่อมละมิจฉาทิฏฐิ
มรรคแม้มีสัมมาสังกัปปะเป็นต้นก็พึงทราบ เพราะอรรถว่าการละมิจฉาสังกัปปะ
เป็นต้นนั่นแหละ.
ถามว่า เมื่อเป็นเช่นนี้ ชื่อว่า ทิฏฐิ อันมรรคเบื้องบน 3 พึงละก็ไม่มี
เพราะความที่ทิฏฐิ 62 อันมรรคที่หนึ่งเท่านั้นละได้แล้ว ชื่อว่า สัมมาทิฏฐิ
ในมรรคเบื้องบน 3 นั้นย่อมมีอย่างไร.

ตอบว่า พิษงูมีอยู่ก็ตาม ไม่มีอยู่ก็ตาม งูท่านก็เรียกว่างูนั่นแหละ
ฉันใด มิจฉาทิฏฐิมีอยู่ก็ตามไม่มีอยู่ก็ตาม สัมมาทิฏฐิ นี้ ก็ชื่อว่า สัมมาทิฏฐิ
ฉันนั้นเหมือนกัน.
ถามว่า ผิว่าคำว่า มิจฉาทิฏฐิอย่างนี้ก็เป็นเพียงชื่อเท่านั้น แต่สัมมา-
ทิฏฐิไม่มีกิจมีอยู่ใน 3 มรรคเบื้องบน องค์มรรคก็ไม่บริบูรณ์1 เพราะฉะนั้น
สัมมาทิฏฐิ จึงควรมีกิจที่ต้องกระทำ องค์มรรค จึงจะบริบูรณ์ มิใช่หรือ.
ตอบว่า ก็สัมมาทิฏฐิมีกิจในสามมรรคเบื้องบนนี้ พึงแสดงโดยกำหนด
ตามที่ได้ ความจริง ยังมีมานะอีกหนึ่งที่มรรคเบื้องบน 3 พึงฆ่า มานะนั้น
ย่อมตั้งอยู่ในฐานะแห่งทิฏฐิ สัมมาทิฏฐินั้นชื่อว่า สัมมาทิฏฐิ เพราะอรรถว่า
ย่อมละมานะนั้น.
ก็สัมมาทิฏฐิในโสดาปัตติมรรคย่อมละมิจฉาทิฏฐิ แต่มานะที่สกทาคา-
มิมรรคพึงฆ่ามีอยู่แก่พระโสดาบัน สัมมาทิฏฐิของพระสกทาคามีนั้นชื่อว่า
สัมมาทิฏฐิ เพราะอรรถว่า ย่อมละมานะนั้น. สังกัปปะที่เกิดขึ้นพร้อมกับ
อกุศลจิต 7 ดวง2 ก็ยังมีอยู่แก่พระโสดาบันนั้นนั่นแหละ การเคลื่อนไหว
องค์แห่งวาจาก็มีอยู่ด้วยอกุศลจิตเหล่านั้นแหละ การเคลื่อนไหวองค์แห่งกายก็มี
อยู่ด้วยอกุศลจิตเหล่านั้นแหละ การบริโภคปัจจัย (มีจีวรเป็นต้น ) ก็มีอยู่ ความ
เพียรที่เกิดพร้อมกันก็มีอยู่ ความไม่มีสติก็มีอยู่ เอกัคคตาแห่งจิตที่เกิดพร้อมกัน
ก็มีอยู่ ทั้งหมดเหล่านั้น ชื่อว่า มิจฉาสังกัปปะเป็นต้น. สังกัปปะเป็นต้น
ในสกทาคามิมรรค พึงทราบว่า สัมมาสังกัปปะเป็นต้น เพราะละมิจฉาสังกัปปะ
1. ตรงนี้บาลีไทยเป็น มคฺคงคานิ ปน ปริปูเรนฺติ พม่าเป็น มคคงฺคานิ น ปริปูเรนฺติ
2 อกุศลจิต 7 คือ โทสมูลจิต 2 ดวง โลภมูลจิตที่เป็นวิปปยุต 4 ดวง โมหมูลจิตสัมปยุตด้วย
อุทธัจจะ 1 ดวง

เป็นต้นเหล่านั้น. องค์มรรค 8 ในสกทาคามิมรรคมาทำกิจของตน ด้วยประการ
ฉะนี้.
มานะของพระสกทาคามีที่พึงฆ่าด้วยอนาคามิมรรคยังมีอยู่ มานะนั้น
ย่อมตั้งอยู่ในฐานะแห่งทิฏฐิ สังกัปปะเป็นต้นที่เกิดพร้อมกับอกุศลจิต 7 ดวง
ก็ยังมีอยู่แก่พระสกทาคามีนั้นนั่นแหละ พึงทราบความที่องค์มรรค 8 ใน
อนาคามิมรรคกระทำกิจของตน ด้วยการละมิจฉาสังกัปปะเป็นต้นเหล่านั้น.
มานะของพระอนาคามีที่พึ่งฆ่าด้วยอรหัตมรรคมีอยู่ มานะนั้นย่อมตั้งอยู่ในฐานะ
แห่งทิฏฐิ. อนึ่ง อกุศลจิต 5 ดวง* เหล่าใด มีอยู่แก่พระอนาคามีนั้น มิจฉา
สังกัปปะเป็นต้นที่เกิดร่วมกับอกุศลจิตเหล่านั้น ยังมีอยู่ พึงทราบความที่องค์
มรรค 8 ในอรหัตมรรค ทำกิจด้วยการละมิจฉาสังกัปปะเป็นต้นเหล่านั้น.
ถามว่า บรรดามรรคทั้ง 4 เหล่านี้ ปฐมมรรคเห็นสัจจะทั้ง 4
มรรคสามเบื้องบนย่อมเห็นสัจจะที่ปฐมมรรคเห็นแล้วนั่นแหละ หรือย่อม
ไม่เห็นสัจจะที่ปฐมมรรคไม่เห็นแล้วหรือ ?
ตอบว่า ถ้อยคำที่เหมือนกันของพวกอาจารย์นี้ว่า มรรคสามเบื้องบน
ย่อมเห็นสัจจะที่ปฐมมรรคเห็นแล้วนั่นแหละดังนี้.
แต่อาจารย์วิตัณฑวาทีกล่าวว่า มรรคสามเบื้องบนย่อมเห็นสัจจะที่
ปฐมมรรคมิได้เห็นดังนี้. พึงโต้อาจารย์วิตัณฑวาทีนั้นว่า อินทรีย์ในปฐมมรรค
เป็นไฉน จงแจงมา ดังนี้ เมื่ออาจารย์วิตัณฑวาที่รู้อยู่ก็จักกล่าวว่า อนัญญ-
ตัญญัสสามีตินทรีย์ ดังนี้ แม้ท้วงว่า ในมรรคเบื้องบนเป็นอินทรีย์ไหน ดังนี้
ก็ย่อมบอกว่า อัญญินทรีย์. พึงกล่าวกะท่านวิตัณฑวาทีอีกว่า เมื่อการเห็น
* 5 ดวง คือ โลภมูลจิตที่เป็นทิฏฐิวิปปยุต 4 ดวง โมหมูลจิตที่สัมปยุตด้วยอุทธัจจะ 1 ดวง

สัจจะที่ปฐมมรรคไม่เห็นมีอยู่ ก็จงแจกอนัญตัญญัสสามีตินทรีย์ แม้ในมรรค
เบื้องบน ดังนี้ ด้วยอาการอย่างนี้ ปัญหาของท่านก็จักสงบ.
ถามว่า ก็มรรคอย่างหนึ่งย่อมละกิเลสอย่างหนึ่ง คือย่อมละกิเลสที่ยัง
ไม่ได้ละ มิใช่หรือ ?
ตอบว่า ผิว่า มรรคอย่างหนึ่งย่อมละกิเลสดังนี้ มรรคอย่างหนึ่งก็ย่อม
ละกิเลสอย่างหนึ่ง ที่ยังมิได้ละไซร้ บุคคลก็พึงมีวาทะอย่างนี้ว่า มรรคสาม
เบื้องบนย่อมเห็นแม้สัจจะทั้งหลายที่ปฐมรรคมิได้เห็นแล้วนั่นแหละ ดังนี้
พึงถามคำนี้ว่า ชื่อว่า สัจจะทั้งหลาย มีเท่าไร ? เมื่อทราบก็จักตอบว่า
มี 4 พึงท้วงท่านว่า ในวาทะของท่าน สัจจะปรากฏถึง 16 อย่าง ท่านย่อม
เห็นสัจจะแม้พระพุทธเจ้าไม่ทรงเห็นแล้ว ชื่อว่า มีสัจจะมาก ท่านอย่าถือ
เอาอย่างนี้เลย การเห็นสัจจะที่ยังไม่เคยเห็นย่อมไม่มี แต่มรรคย่อมละกิเลส
ทั้งหลายที่ยังมิได้ละ ดังนี้.

การอุปมาด้วยหีบรัตนะ



ในข้อที่ว่าการเห็นสัจจะที่ไม่เคยเห็นมาก่อนไม่มีในอธิการแห่งมรรค
นั้น ท่านถือเอาการเปรียบเทียบด้วยหีบรัตนะดังต่อไปนี้.
ได้ยินว่า บุรุษคนหนึ่งวางหีบรัตนะ 4 ใบไว้ในห้องอันเป็นที่เก็บ
รัตนะอันสูงสุด เขามีหน้าที่ทำเกิดขึ้นในหีบ ในเวลากลางคืนจึงเปิดประตูจุด
ประทีปให้โพลง เมื่อความมืดถูกประทีปขจัดแล้ว หีบทั้งหลายก็ปรากฏ เขาทำ
ธุระในหีบนั้นแล้วปิดประตูออกไป ความมืดก็ปกคลุมตามเดิม แม้ในครั้งที่ 2
แม้ในครั้งที่ 3 ก็ได้กระทำเหมือนอย่างนั้น ในครั้งที่ 4 เมื่อเขาจะทดลองดูว่า
เมื่อเปิดประตูแล้ว หีบรัตนะจะปรากฏในความมืดหรือไม่นั่นแหละ พระอาทิตย์