เมนู

อากาสานัญจายตนสมาบัติ ก็เพื่อให้เกิดความอุตสาหะ และเพื่อประโลมใจ
ด้วยทรงพระดำริว่า ชนเหล่านี้อันพระองค์ให้รื่นเริงพอใจแล้ว ด้วยอานิสงส์นี้
จักทำอุตสาหะใหญ่แล้วจักยังสมาบัติให้เกิด ดังนี้ เหมือนชาวบ้านทั้งหลาย
เหล่านั้นฟังคำโฆษณาพ่อค้า แล้วให้ราคาแม้มาก ถือเอางบน้ำอ้อย ฉะนั้น

วินิจฉัยคำว่าอากาสานัญจายตนะ



พึงทราบวินิจฉัยในคำว่า อากาสานญฺจายตนสญฺญาสหคตํ
ดังต่อไปนี้. อากาศที่ชื่อว่า อนันตะ เพราะอรรถว่า ไม่มีที่สุด. อากาศ
นั่นแหละไม่มีที่สุด ชื่อว่า อากาสานันตะ อากาสานันตะนั่นแหละ ชื่อว่า
อากาสานัญจะ อากาศอันไม่มีที่สุดนั้น ชื่อว่า อายตนะ เพราะอรรถว่า
เป็นที่ตั้งมั่นของฌานพร้อมทั้งสัมปยุตธรรมนี้ ดุจที่ตั้งอยู่ของเทพทั้งหลาย
ชื่อว่า เทวายตนะ เพราะฉะนั้น ฌานนี้จึงชื่อว่า อากาสานัญจายตนะ
ด้วยประการฉะนี้ อากาสานัญจะนั้นด้วย เป็นอายตนะด้วย เพราะฉะนั้นจึง
ชื่อว่า อากาสานัญจายตนะ คำว่า อากาสานัญจายตนะนี้ เป็นชื่อของกสิ-
ณุคฆาฏิมากาส (อากาศที่เพิกกสิณ). ฌานที่สหรคตกับสัญญาที่ถึงอัปปนาใน
อากาสานัญจายตนะนั้น ชื่อว่า อากาสานัญจายตนสัญญาสหคตะ ก็ในที่
อื่นตรัสว่า อากาศเป็นอนันตะ (ไม่มีที่สุด) ฉันใด ในที่นี้มิได้ทรงถือเอา
อากาศอันไม่มีที่สุด หรือว่า เล็กน้อยฉันนั้น เพราะเมื่อทรงถือเอาอากาศอัน
ไม่มีที่สุด ก็ไม่ถือเอาอากาศเล็กน้อย เมื่อถือเอาอากาศเล็กน้อยก็ไม่ถือเอา
อากาศอันไม่มีที่สุด ครั้นเมื่อเป็นเช่นนั้น อารมณ์ 4 หมวดก็ไม่สมบูรณ์
เทศนาก็ไม่ได้ 16 ครั้ง แต่พระอัธยาศัยของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพื่อทำเทศนา
ในที่นี้ 16 ครั้ง เพราะฉะนั้น จึงไม่ตรัสคำว่า ไม่มีที่สุด หรือว่าเล็กน้อย แต่

ตรัสว่า อากาสานัญจายตนสัญญาสหคตะ (สหคตด้วยอากาสานัญจายตน-
สัญญา) ก็เมื่อเป็นเช่นนั้น คำแม้ทั้ง 2 ก็ย่อมเป็นคำที่ทรงถือเอาเหมือนกัน
อารมณ์ 4 หมวดก็สมบูรณ์ เทศนาก็ถึง 16 ครั้ง เนื้อความพระบาลีที่เหลือ
พึงทราบโดยนัยที่กล่าวไว้ในหนหลังแล.
อนึ่ง ในอากาสานัญจายตนะนี้ ชื่อว่า ทุกขาปฏิปทา เพราะความ
ลำบากในการสิ้นไปแห่งนิกันติในรูปาวจรจตุตถฌาน ชื่อว่าเป็นทันธาภิญญา
เพราะความชักช้าในการอบรมอัปปนาของผู้มีความยินดีในนิกันติอันสิ้นไปแล้ว.
และพึงทราบสุขาปฏิปทา และขิปปาภิญญา โดยปริยายตรงกันข้าม. ก็ฌานที่เป็น
ไปในอากาศที่เพิกกสิณเล็กน้อย พึงทราบว่าเป็นปริตตารมณ์ ฌานที่เป็นไปใน
อากาศที่เพิกกสิณกว้างขวางพึงทราบว่าเป็นอัปปมาณารมณ์. แม้ในฌานนี้ มี
ธรรมหมวดละ 25 ด้วยอำนาจจตุตถฌาน เหมือนในอุเบกขาพรหมวิหาร
ก็ในอากาสานัญจายตนะนี้ ฉันใด แม้ในวิญญาณัญจายตนะเป็นต้น นอกจากนี้
ก็มีธรรมหมวดละ 25 ฉันนั้น แต่ข้าพเจ้าจักพรรณนาเหตุสักว่าการต่างกันใน
วิญญาณัญจายตนะเป็นต้นเหล่านั้นเท่านั้น.
พึงทราบวินิจฉัยในคำว่า อากาสานญฺจายตนํ สมติกฺกมา (เพราะ
ก้าวล่วงอากาสานัญจายตนะ) นี้ต่อไป. ก็อากาสานัญจะ ชื่อว่า อายตนะ
เพราะอรรถว่าเป็นที่ตั้งมั่นของฌานนั้นโดยนัยที่กล่าวไว้ก่อนนั่นแหละ เพราะ
เหตุนั้น แม้ฌานนี้ก็ชื่อว่า อากาสานัญจายตนะ. แม้อารมณ์ของอากาสา-
นัญจายตนะนั้น ก็พึงทราบโดยนัยที่กล่าวแล้ว พระโยคาวจรพึงก้าวล่วงธรรม
แม้ทั้ง 2 คือ ฌานนี้และอารมณ์นี้ ด้วยการไม่ทำให้เป็นไปและไม่มนสิการ
แล้วพึงเข้าถึงวิญญาณัญจายตนะนี้อยู่ เพราะฉะนั้น พึงทราบว่า ทรงรวมสิ่ง
ทั้ง 2 นี้ แล้วตรัสคำนี้ว่า เพราะการก้าวล่วงอากาสานัญจายตนะ ดังนี้.

พึงทราบวินิจฉัยในคำว่า วิญฺญาณญฺจายตนสญฺญาสหคตํ นี้ต่อไป
ที่สุดแห่งวิญญาณนั้นไม่มี ด้วยสามารถที่พึงทำไว้ในใจว่า อนันตัง เพราะเหตุ
นั้น วิญญาณนั้นจึงชื่อว่า อนันตะ อนันตะนั่นแหละ ชื่อว่า อานัญจัง พระ-
ผู้มีพระภาคเจ้า ไม่ตรัสว่าวิญญาณอันไม่มีที่สุด ชื่อว่า วิญญาณานัญจะ แต่
ตรัสว่า วิญญาณัญจะ ดังนี้ เพราะว่า ในคำว่า วิญญาณัญจะนี้ เป็นรุฬหีศัพท์
(ศัพท์ที่นิยมใช้กัน ). วิญญาณัญจะนั้นแหละ ชื่อว่า อายตนะ เพราะอรรถว่า
ตั้งมั่นด้วยสัญญานี้ เพราะเหตุนั้น จึงชื่อว่า วิญญาณัญจายตนะ ฌานที่
สหรคตด้วยสัญญาที่เป็นไปในวิญญาณัญจายตนะนั้น เพราะเหตุนั้น ฌานนั้น
จึงชื่อว่า วิญญาณัญจายตนสัญญาสหคตะ คำว่า วิญญาณัญจายตนสัญญา-
สหคตะ นี้เป็นชื่อของฌานซึ่งมีวิญญาณที่เป็นไปในอากาศเป็นอารมณ์. ในวิญ-
ญาณัญจายตนะนี้เป็นทุกขาปฏิปทา เพราะลำบากในความสิ้นไปแห่งนิกันติใน
อากาสานัญจายตนสมาบัติ เป็นทันธาภิญญา เพราะความชักช้าในการอบรม
อัปปนาของผู้มีนิกันติให้สิ้นไป เป็นสุขาปฏิปทาและเป็นขิปปาภิญญาโดยปริยาย
ตรงกันข้าม พึงทราบฌานนี้ว่าเป็นปริตตารมณ์ เพราะปรารภสมาบัติที่มีการ
เพิกกสิณเล็กน้อยเป็นอารมณ์เป็นไป พึงทราบว่า เป็นอัปปมาณารมณ์ โดยปริ-
ยายตรงกันข้าม คำที่เหลือเช่นเดียวกับคำก่อนนั่นแหละ.
พึงทราบวินิจฉัยในคำแม้นี้ว่า วิญฺญาณญฺจายตนํ สมติกฺกมา
(เพราะก้าวล่วงวิญญาณัญจายตนะ) ต่อไป.
วิญญาณัญจะ ชื่อว่า อายตนะ เพราะอรรถว่าเป็นที่ตั้งมั่นของฌาน
นั้นโดยนัยที่กล่าวไว้ในก่อนนั่นแหละ เพราะฉะนั้น แม้ฌานก็ชื่อว่า วิญญา-
ณัญจายตนะ
แม้อารมณ์ของฌานนั้นโดยนัยที่กล่าวแล้วนั่นแหละ ก็เรียกว่า

วิญญาณัญจายตนะ พระโยคาวจรก้าวล่วงสิ่งทั้ง 2 คือ ฌานนี้ และอารมณ์นี้
ด้วยประการฉะนี้ ด้วยการไม่ให้เป็นไป และด้วยไม่มนสิการ แล้วจึงเข้าถึง
อากิญจัญญายตนะนี้อยู่ เพราะฉะนั้น พึงทราบว่า ทรงรวมสิ่งทั้ง 2 นี้เข้าด้วย
กันแล้วตรัสคำนี้ว่า เพราะก้าวล่วงวิญญาณณัญจายตนะ ดังนี้.
พึงทราบวินิจฉัยในคำว่า อากิญฺจญฺญายตนสญฺญาสหคตํ นี้
ต่อไป
ก็ฌานนี้ ชื่อว่า อากิญจนะ เพราะอรรถว่า ไม่มีอะไรแม้หน่อยหนึ่ง
มีอธิบายว่า โดยที่สุดแม้เพียงภังคขณะก็ไม่พึงเหลือ คือ มิได้มีอยู่. ดังนี้.
ความเป็นแห่งความไม่มีอะไรหน่อยหนึ่ง ชื่อว่า อากิญจัญญะ. คำว่า
อากิญจัญญะนี้ เป็นชื่อของฌานที่ปราศจากอากาสานัญจายตนะและวิญญาณ
เป็นอารมณ์. อากิญจัญญะนั้น เป็นอายตนะด้วยอรรถว่าเป็นที่ตั้งมั่นด้วยสัญญานี้
เพราะฉะนั้น ฌานนี้จึงชื่อว่า อากิญจัญญายตนะ ฌานที่สหรคตด้วยสัญญา
เป็นไปในอากิญจัญญายตนะนั้น ชื่อว่า อากิญจัญญายตนสหคตะ คำว่า
อากิญจัญญายตนสหคตะนี้ เป็นชื่อของฌานที่มีอารมณ์ปราศจากวิญญาณที่เป็น
ไปในอากาศ. ในอากิญจัญญายตนะนี้ เป็นทุกขาปฏิปทา เพราะลำบากในการ
สิ้นแห่งนิกันติ แห่งวิญญาณัญจายตนสมาบัติ เป็นทันธาภิญญา เพราะความช้า
ในการอบรมอัปปนาของผู้ใคร่ในการสิ้นไป เป็นสุขาปฏิปทา และขิปปาภิญญา
โดยปริยายตรงกันข้าม พึงทราบชื่อว่า ความเป็นปริตตารมณ์ เพราะความ
มีอารมณ์ปราศจากวิญญาณที่เป็นไปในอากาศที่เพิกกสิณเล็กน้อย ชื่อว่า ความ
เป็นอัปปมาณารมณ์
โดยปริยายตรงกันข้ามกับปริตตารมณ์. คำที่เหลือ
เช่นกับนัยก่อนทั้งนั้นแล.

พึงทราบวินิจฉัยแม้ในคำว่า อากิญฺจญฺญายตนํ สมติกฺกมา นี้
ต่อไป. อากิญจัญญะ โดยนัยก่อนนั่นแหละชื่อว่า เป็นอายตนะ เพราะ
อรรถว่าเป็นที่ตั้งมั่นของฌานนั้น เพราะฉะนั้น แม้ฌานก็ชื่อว่า อากิญจัญ-
ญายตนะ
แม้อารมณ์ชื่อว่า อากิญจัญญายตนะ โดยนัยที่กล่าวแล้ว
นั่นแหละ คำที่เหลือเช่นกับนัยก่อนทั้งนั้น พึงทราบการก้าวล่วงสิ่งแม้ทั้ง 2
คือ ฌานนั้นด้วย อารมณ์นั้นด้วย โดยการกระทำไม่ให้เป็นไป และโดยไม่
มนสิการ และพึงเข้าถึงเนวสัญญานาสัญญานี้อยู่ เพราะฉะนั้น พึงทราบว่า
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงรวมสิ่งทั้ง 2 นี้แล้วตรัสว่า เพราะการก้าวล่วงอากิญ-
จัญญายตนะ ดังนี้.
พึงทราบวินิจฉัยในคำว่า เนวสญฺญานาสญฺญายตนสหคตํ นี้
ต่อไป.
ก็ฌานนั้น ตรัสเรียกว่า เนวสัญญานาสัญญายตนะ เพราะสภาวะแห่ง
สัญญาใด สัญญานั้นย่อมมีแก่ผู้ปฏิบัติอย่างไร เพื่อแสดงสัญญานนั้นก่อน จึงทรง
ยกบทว่า เนวสัญญีนาสัญญี ขึ้นในวิภังค์ แล้วตรัสว่า พระโยคาวจรย่อม
มนสิการอากิญจัญญายตนะนั้นนั่นแหละโดยสงบ ย่อมเจริญสมาบัติอันมีสังขาร
เหลืออยู่ เพราะเหตุนั้น จึงตรัสเรียกว่า เนวสัญญีนาสัญญี ดังนี้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สนฺตโต มนสิกโรติ (ย่อมมนสิการ
โดยความสงบ) ได้แก่ ย่อมมนสิการว่า สมาบัตินี้สงบหนอ เพราะทำแม้
ความไม่มีให้เป็นอารมณ์ตั้งอยู่ได้ แล้วมนสิการสมาบัตินั้น ว่าเป็นความสงบ
เพราะอารมณ์สงบ.
ถามว่า ถ้ามนสิการโดยความสงบแล้ว การก้าวล่วงจะมีอย่างไร
ตอบว่า เพราะความเป็นผู้ต้องการจะไม่นึกถึง. จริงอยู่ พระโยคาวจรนั้นย่อม

มนสิการฌานนั้นโดยความสงบแม้ก็จริง ถึงอย่างนั้น การคำนึง การประมวลมา
มนสิการนั้นย่อมไม่มีแก่พระโยคีนั้นว่า เราจักนึกถึง เราจักเข้า เราจักอธิฐาน
เราจักออก เราจักพิจารณาฌานนั้น ดังนี้.
ถามว่า เพราะเหตุไร ?
ตอบว่า เพราะเนวสัญญานาสัญญายตนะเป็นธรรมสงบกว่า ประณีต
กว่าอากิญจัญญายตนะ.
เหมือนอย่างว่า พระราชาเสด็จขึ้นทรงบนคอช้างตัวประเสริฐ เสด็จ
เที่ยวไปในทางพระนคร โดยอานุภาพแห่งพระราชาผู้เป็นใหญ่ ทรงทอด
พระเนตรคนมีศิลปะมีช่างแกะสลักงาเป็นต้นนุ่งผ้าผืนหนึ่ง โผกผ้าผืนหนึ่งที่
ศีรษะทะมัดทะแมงมีตัวเกลื่อนกล่นด้วยผงงาเป็นต้นกำลังทำศิลปะแกะสลักงา
เป็นต้นมิใช่น้อย ก็ทรงพอพระทัยในความฉลาดของช่างเหล่านั้น อย่างนี้ว่า
น่าอัศจรรย์หนอ อาจารย์ผู้ฉลาดสามารถกระทำศิลปะทั้งหลายชื่อแม้เช่นนี้ได้
ดังนี้ แต่มิได้มีพระดำริอย่างนี้ว่า โอหนอ ตัวเราก็พึงสละราชสมบัติแล้วเป็น
นักศิลปะเช่นนี้ ดังนี้ ข้อนั้นเป็นเพราะเหตุไร เพราะความที่ราชสมบัติมีค่ามาก
พระองค์ก็ทรงเสด็จผ่านนักศิลปะทั้งหลายไป ฉันใด พระโยคาวจร ก็ฉันนั้น
เหมือนกัน ย่อมมนสิการสมาบัตินั้นโดยสงบแม้ก็จริง ถึงอย่างนั้น ท่านก็ไม่
คำนึง ไม่ประมวลมา ไม่มนสิการว่า เราจักนึกถึง จักเข้าสมาบัติ จักอธิษฐาน
จักออก จักพิจารณาสมาบัตินี้ ดังนี้ เมื่อมนสิการสมาบัตินั้นโดยสงบอยู่
ย่อมบรรลุสัญญาถึงอัปปนาอันละเอียดอย่างยิ่งนั้นโดยนัยที่กล่าวไว้ในกาลก่อน
นั่นแหละ ชื่อว่า เนวสัญญีนาสัญญี ย่อมมีด้วยสมาบัติใด ตรัสเรียกสมาบัติ
นั้นว่า พระโยคีย่อมเจริญสมาบัติมีสังขารที่เหลือเป็นอารมณ์ ดังนี้.

คำว่า สมาบัติมีสังขารที่เหลือเป็นอารมณ์ คืออรูปสมาบัติที่ 4 มี
สังขารถึงความละเอียดที่สุด.
บัดนี้ เพื่อทรงแสดงพระดำรัส ที่ตรัสว่า เนวสัญญานาสัญญายตนะ
ด้วยสามารถแห่งสัญญาที่พระโยคาวจรบรรลุอย่างนี้โดยเนื้อความ จึงตรัสว่า
บทว่า เนวสัญญานาสัญญายตนะ ได้แก่ ธรรมทั้งหลาย คือ จิตและเจตสิก
ของบุคคลผู้เข้าสมาบัติเนวสัญญานาสัญญายตนะ หรือผู้บังเกิดขึ้นในเนวสัญญา-
นาสัญญายตนภพ หรือพระขีณาสพผู้อยู่เป็นสุขในทิฏฐธรรม. บรรดาท่านทั้ง 3
เหล่านั้น ในที่นี้ทรงประสงค์เอาธรรม คือ จิตและเจตสิกของผู้เข้าสมาบัติ.
ส่วนวจนัตถะในฌานนั้นพึงทราบดังนี้. ฌานที่ชื่อว่า เนวสัญญา-
นาสัญญา
(มีสัญญาก็มิใช่ ไม่มีสัญญาก็มิใช่) เพราะอรรถว่า สัญญาของ
ฌานพร้อมทั้งสัมปยุตธรรมมีอยู่ก็มิใช่ไม่มีสัญญาก็มิใช่ คือ ไม่มีสัญญาหยาบ
มีแต่สัญญาละเอียด ฌานนั้นเป็นสภาวะที่มีสัญญา ก็มิใช่ไม่มีสัญญาก็มิใช่ด้วย
เป็นอายตนะเพราะนับเนื่องด้วยมนายตนะและธรรมายตนะด้วย เพราะเหตุนั้น
ฌานนั้น จึงชื่อว่า เนวสัญญานาสัญญายตนะ.
อีกอย่างหนึ่ง สัญญาในฌานนี้ ชื่อว่า เนวสัญญา (ไม่ใช่สัญญา)
เพราะไม่สามารถทำกิจของสัญญาได้โดยเฉพาะ และชื่อว่า นาสัญญา (ไม่มี
สัญญา) เพราะเป็นธรรมมีอยู่โดยละเอียดแห่งสังขารที่เหลือ เพราะฉะนั้น
ฌานนั้นจึงชื่อว่า เนวสัญญานาสัญญา. ฌานที่ชื่อว่า เนวสัญญานาสัญญา
นั้นด้วย ชื่อว่า เป็นอายตนะ เพราะอรรถว่าเป็นที่ตั้งมั่นแห่งธรรมที่เหลือ
ด้วย เพราะเหตุนั้น จึงชื่อว่า เนวสัญญานาสัญญายตนะ.

อนึ่ง ในเนวสัญญานาสัญญายตนฌานนี้ สัญญาเป็นเช่นนี้อย่างเดียว
ก็หาไม่ โดยที่แท้ แม้เวทนาก็ชื่อว่า เนวเวทนานาเวทนา (มีเวทนาก็มิใช่
ไม่มีเวทนาก็มิใช่) แม้จิต ก็ชื่อว่า เนวจิตตนาจิตตะ (มีจิตก็มิใช่ ไม่มี
จิตก็มิใช่) แม้ผัสสะ ก็ชื่อว่า เนวผัสสนาผัสสะ (มีผัสสะก็มิใช่ไม่มีผัสสะ
ก็มิใช่). ในสัมปยุตตธรรมที่เหลือก็นัยนี้. แต่เทศนานี้พึงทราบว่า ทรงกระทำ
สัญญาให้เป็นประธาน. บัณฑิตพึงทราบเนื้อความนี้ด้วยอุปมาทั้งหลายตั้งแต่
เรื่องน้ำมันทาบาตรเป็นต้น.
ได้ยินว่า สามเณรเอาน้ำมันทาบาตรวางไว้ ในเวลาดื่มข้าวยาคู
พระเถระกล่าวกะสามเณรว่า สามเณรจงนำบาตรมา สามเณรเรียนท่านว่า
ในบาตรมีน้ำมันขอรับ ทีนั้นพระเถระจึงกล่าวว่า สามเณรจงนำมา เราจักใส่
ให้เต็มทะนานตวงน้ำมัน สามเณรจึงเรียนว่า ท่านขอรับน้ำมันไม่มี.
ในการอุปมานั้น น้ำมัน ชื่อว่า มีอยู่ เพราะอรรถว่าเป็นของไม่ควร
กับข้าวยาคู เพราะความมีอยู่ในภายใน น้ำมันนั้น ชื่อว่า ไม่มี เพราะความ
ไม่มีใส่วัตถุทั้งหลายมีทะนานเป็นต้น ฉันใด สัญญาแม้นั้นก็ฉันนั้น ชื่อว่า
สัญญาก็มิใช่ เพราะไม่สามารถเพื่อทำกิจของสัญญาโดยเฉพาะ และชื่อว่า
ไม่มีสัญญาก็ไม่ใช่ เพราะความมีอยู่โดยความเป็นของละเอียดแห่งสังขาร
ที่เหลือ.
ถามว่า ก็ในฌานนี้ กิจของสัญญาเป็นอย่างไร ?
ตอบว่า กิจของสัญญาคือการจำได้หมายรู้อารมณ์ และการเข้าถึง
ความเป็นอารมณ์แห่งวิปัสสนาแล้วเกิดความเบื่อหน่าย.
จริงอยู่ สัญญานั้นไม่อาจทำกิจคือการจำได้หมายรู้โดยฉับพลัน ดุจ
เตโชธาตุในน้ำ (เดือดจน) แห้ง ไม่สามารถทำกิจคือการเผาไหม้. สัญญานี้

ไม่อาจเพื่อทำแม้เข้าถึงความเป็นอารมณ์แห่งวิปัสสนาแล้วให้เกิดความเบื่อหน่าย
เหมือนสัญญาในสมาบัติอื่นที่เหลือ (เว้นสัญญาในฌานนี้) เพราะว่า ภิกษุ
ไม่ได้อาศัยขันธ์เหล่าอื่นทำไว้ จึงชื่อว่า ไม่สามารถเพื่อพิจารณาขันธ์ คือ
เนวสัญญานาสัญญายตนะแล้วบรรลุนิพพิทา. ถึงท่านพระสารีบุตรเถระผู้เห็น
แจ้งโดยปกติ และท่านที่มีปัญญามากพึงสามารถเช่นกับพระสารีบุตร แม้ท่าน
นั้นก็พึงเห็นได้ด้วยสามารถการพิจารณาเป็นกลาปะ (กอง ๆ) เท่านั้นอย่างนี้ว่า
นัยว่าธรรมเหล่านี้ไม่มีแล้วก็มี ครั้นมีแล้วก็ปรวนแปรไป มิใช่เห็นด้วยสามารถ
แห่งวิปัสสนาธรรมตามบท สมาบัตินี้ ถึงความละเอียดอย่างนี้ บัณฑิตพึงทราบ
เนื้อความนี้ด้วยการอุปมาเหมือนน้ำในหนทาง เหมือนอุปมาด้วยน้ำมันทาบาตร
ต่อไป.
ได้ยินว่า สามเณรเดินไปข้างหน้าพระเถระผู้เดินทางเห็นน้ำหน่อยหนึ่ง
แล้วเรียนพระเถระว่า ท่านขอรับ มีน้ำ โปรดถอดรองเท้าเถอะครับ ลำดับนั้น
พระเถระกล่าวว่า ถ้ามีน้ำ เธอจงนำผ้าอาบน้ำมา ฉันจักสรงน้ำ สามเณรเรียนว่า
น้ำไม่มีขอรับ ดังนี้.
ในคำอุปมานั้นพึงทราบว่า ชื่อว่า น้ำมีอยู่ ด้วยอรรถว่าเพียงเปียก
รองเท้า ที่ชื่อว่า ไม่มี ด้วยอรรถว่าไม่พอที่จะอาบ ฉันใด สมาบัตินั้นก็ฉันนั้น
ชื่อว่า เนวสัญญา (ไม่มีสัญญา) เพราะไม่สามารถทำกิจของสัญญาโดยฉับ
พลันได้ ชื่อว่า ไม่มีสัญญาก็มิใช่ เพราะสัญญามีอยู่ โดยความเป็นของละ-
เอียดแห่งสังขารที่เหลือ และมิใช่จะเปรียบด้วยข้ออุปนาเหล่านี้เท่านั้น พึงยัง
เนื้อความนี้ให้แจ่มแจ้งด้วยอุปมาที่สมควรแม้อื่นอีก.
โดยนัยที่กล่าวมา ฌานชื่อว่า เนวสัญญานาสัญญายตนสัญญา-
สหคตะ
เพราะอรรถว่า สหรคตด้วยสัญญาที่เป็นไปในเนวสัญญานาสัญญายตนะ

นี้ หรือสหรคตด้วยสัญญาที่เป็นเนวสัญญานาสัญญายตนะ คำนี้เป็นชื่อของฌาน
ที่มีอารมณ์ (ก้าวล่วง)อากิญจัญญายตนสมาบัติ. ในฌานนี้ ชื่อว่า เป็น
ทุกขาปฏิปทา
เพราะเป็นทุกข์ในการสิ้นไปแห่งนิกันติในอากิญจัญญายตน-
สมาบัติ ที่ชื่อว่า ทันธาภิญญา เพราะความชักช้าในการอบรมอัปปนาของ
ผู้มีนิกันติที่สิ้นไป ชื่อว่าเป็นสุขาปฏิปทาและขิปปาภิญญา โดยปริยายตรง
กันข้าม. พึงทราบความเป็นปริตตารมณ์ เพราะปรารภสมาบัติมีอารมณ์
ปราศจากวิญญาณที่เป็นไปในอากาศซึ่งเพิกกสิณขึ้นเล็กน้อยเป็นไป พึงทราบ
ความเป็นอัปปมาณารมณ์โดยปริยายตรงกันข้าม คำที่เหลือเช่นกับนัยก่อน
นั่นแหละ.
พระพุทธเจ้าผู้ทรงเป็นนาถะ มีพระ-
รูปไม่มีใครเสมอเหมือน ตรัสอรูปฌาน 4
อย่างอันใดไว้ พระโยคีครั้นทราบอรูปฌาน
4 นั้นแล้ว พึงรู้แม้กถาปกิณณกะในอรูป
ฌานนั้น ต่อไป.

เพราะอรูปสมาบัติ
แม้ทั้ง 4 เหล่านี้ ย่อมมีเพราะการ
ก้าวล่วงอารมณ์ นักปราชญ์ผู้มีปัญญาไม่
ปรารถนา จะละเลยอธิบายขององค์แห่งสมาบัติ
เหล่านั้น.

จริงอยู่ บรรดาสมาบัติเหล่านั้น พึงทราบอรูปสมาบัติทั้ง 4 ซึ่งเกิด
ขึ้นโดยการก้าวล่วงอารมณ์โดยประการทั้งปวง คือ อรูปสมาบัติที่หนึ่งก้าวล่วง
ฌานที่มีรูปนิมิต อรูปสมาบัติที่ 2 ก้าวล่วงอากาศ อรูปสมาบัติที่ 3 ก้าวล่วง
วิญญาณที่เป็นไปในอากาศ อรูปสมาบัติที่ 4 ก้าวล่วงโดยการปราศจากวิญญาณ
ที่เป็นไปในอากาศ.

แต่บัณฑิตทั้งหลายไม่ปรารถนาการก้าวล่วงองค์ในสมาบัติเหล่านั้น
ซึ่งไม่มีเหมือนรูปาวจรสมาบัติ ด้วยว่าในรูปาวจรสมาบัติทั้งหมดเหล่านั้น ย่อม
มีองค์ของฌาน 2 เท่านั้น คือ อุเบกขา และเอกัคคตาจิต. แม้เมื่อเป็นเช่นนั้น
สมาบัติที่เกิดหลัง ๆ ในที่นี้ ก็เป็น
สภาพประณีตดีกว่าสมาบัติก่อน ๆ พึงทราบ
อุปมาในสมาบัติเหล่านั้น ดุจพื้นปราสาท
และผ้าสาฎก ต่อไป.

เหมือนอย่างว่า ปราสาท 4 ชั้น ปราสาทชั้นล่างสุดมีกามคุณ 5 อัน
ประณีตด้วยอำนาจแห่งการฟ้อนรำ ขับร้อง ประโคมดนตรี กลิ่นหอมดอกไม้
อันน่าพอใจ เครื่องดื่มโภชนะมีรสอันดี มีที่นั่งที่นอน และเสื้อผ้าอันเป็นทิพย์
เป็นต้นปรากฏแล้ว ปราสาทชั้นที่ 2 มีกามคุณเหล่านั้นประณีตกว่าชั้นที่หนึ่ง
ปราสาทชั้นที่ 3 มีกามคุณเหล่านั้นประณีตกว่าชั้นที่สอง ปราสาทชั้นที่ 4 มี
กามคุณเหล่านั้นประณีตกว่าทุกชั้น. ในปราสาทเหล่านั้น พื้นของปราสาทแม้
ทั้ง 4 เหล่านั้น ไม่มีความต่างกันแม้ก็จริง ถึงอย่างนั้น ปราสาทชั้นบน ๆ
ก็ประณีตกว่าปราสาทชั้นล่าง ๆ เพราะวิเศษกว่าด้วยสัมฤทธิ์แห่งกามคุณ 5
และเปรียบเหมือนผ้าสาฎก 4 ชั้น 3 ชั้น 2 ชั้น และ 1 ชั้นของด้ายอย่าง
หยาบ อย่างละเอียด อย่างละเอียดกว่า อย่างละเอียดที่สุดซึ่งหญิงคนหนึ่งกรอ
ไว้โดยกว้างและยาวเท่ากัน บรรดาผ้าสาฎกเหล่านั้น แม้ทั้ง 4 มีกว้างยาวเท่ากัน
ไม่แปลกกัน แต่ว่า ผ้าที่ทอครั้งหลัง ๆ ประณีตกว่าที่ทอครั้งก่อน ๆ โดยมี
สัมผัสสบาย มีเนื้อละเอียด และมีค่ามาก ฉันใด ในอรูปฌานสมาบัติแม้ทั้ง
4 เหล่านี้ ก็ฉันนั้น เหมือนกัน องค์ฌานเหล่านี้มีเพียง 2 อย่าง คือ อุเบกขา

และเอกัคคตาจิตเท่านั้นก็จริง ถึงอย่างนั้น ในที่นี้พึงทราบว่า องค์ฌานหลัง ๆ
ประณีตดีกว่า โดยความประณีตและประณีตกว่าองค์ฌานเหล่านั้น เพราะการ
เจริญวิเศษโดยแท้ ก็ฌานเหล่านั้นประณีตและประณีตโดยลำดับ ด้วยประการ
ฉะนี้. (พึงทราบอุปมาต่อไป)
บุรุษคนหนึ่ง ยืนเกาะมณฑปในที่
ไม่สะอาด อีกคนหนึ่ง ยืนอาศัยบุรุษผู้นั้น
อีกคนหนึ่ง ไม่อาศัยยืนอยู่ภายนอก อีก
คนหนึ่ง อาศัยคนที่อยู่ภายนอกยืนอยู่
บัณฑิตผู้มีปรีชา พึงทราบอรูปแม้ทั้ง 4
โดยความเป็นสภาวะเสมอกัน ดุจบุรุษ4 คน
เหล่านี้ โดยลำดับ.

ในคาถานั้น พึงทราบการประกอบเนื้อความ ดังต่อไปนี้.
ได้ยินว่า มณฑปหลังหนึ่งตั้งอยู่ในที่ไม่สะอาด ภายหลังบุรุษคนหนึ่ง
เดินมาจากบุรุษ 4 คนเหล่านั้น โดยลำดับ รังเกียจอยู่ซึ่งที่อันไม่สะอาดนั้น
จึงเอามือยึดมณฑปนั้นยืนอยู่ ดุจยึดติดที่มณฑปนั้น ภายหลังอีกคนหนึ่งมายืน
พิงบุรุษซึ่งติดที่มณฑปนั้น ต่อมาคนอื่นอีกมาแล้วคิดว่า บุคคลคนที่ยืนเกาะ
มณฑป และบุรุษที่ยืนพิงทั้ง 2 คนนี้ยืนไม่ดี และเขาทั้ง 2 นั้นจะตกไปใน
บ่อที่ไม่สะอาดของมณฑป เอาเถอะเราจักยืนในภายนอกมณฑป ด้วยเหตุนั้น
เขาจึงไม่ยืนอาศัยคนที่ยืนพิงนั้น แล้วไปยืนอยู่ภายนอกมณฑปทีเดียว ต่อมา
มีบุรุษอีกคนหนึ่งมาแล้วคิดเห็นว่า บุรุษคนที่ยืนเกาะมณฑป และบุรุษคนที่

ยืนพิงบุรุษนั้นไม่มีความเกษม รู้ว่าคนที่ยืนอยู่ภายนอกมณฑปยืนดีแล้ว จึงได้
ยืนพิงบุรุษคนนั้น.
ในคำเหล่านั้น บัณฑิตพึงเห็นอากาศที่เพิกกสิณขึ้น พึงเห็นเหมือน
มณฑปในประเทศที่ไม่สะอาด. อากาสานัญจายตนฌานซึ่งมีอากาศเป็นอารมณ์
เพราะรังเกียจรูปนิมิต พึงเห็นเหมือนบุรุษยืนเกาะมณฑป เพราะรังเกียจของ
ไม่สะอาด. วิญญาณัญจายตนฌานที่ปรารภอากาสานัญจายตนฌานซึ่งมีอากาศ
เป็นอารมณ์เป็นไปแล้ว พึงเห็นเหมือนบุรุษคนยืนพิงคนที่ยืนเกาะมณฑป.
อากิญจัญญายตนฌาน ไม่ทำอากาสานัญจายตนฌานให้เป็นอารมณ์ ทำความ
ไม่มีแห่งอากาสานัญจายตนะนั้นให้เป็นอารมณ์ เปรียบเหมือนบุรุษคิดถึงความ
ไม่เกษมของบุรุษแม้ทั้งสองนั้น จึงไม่อาศัยบุรุษนั้นแล้วไปยืนภายนอก.
เนวสัญญานาสัญญายตนฌานที่ปรารภอากิญจัญญายตนะซึ่งตั้งอยู่ในประเทศ
ภายนอก กล่าวคือความไม่มีวิญญาณเป็นไปแล้ว พึงเห็นเหมือนบุรุษคิดว่า
บุรุษผู้ยืนเกาะมณฑป และบุรุษผู้ยืนพิง ทั้งสองนั้นไม่มีความเกษม รู้ว่าบุรุษ
ผู้ยืนอยู่ภายนอกเป็นผู้ยืนดีแล้ว จึงยืนพิงบุรุษนั้นอยู่ ฉะนั้น. ก็เนวสัญญานา-
สัญญายตนะ เมื่อจะเป็นไปได้อย่างนี้
ย่อมกระทำอรูปฌาน 3 นี้ ให้เป็น
อารมณ์ เพราะความไม่มีอารมณ์อื่นเหมือน
ประชาชนยกพระราชาครองราชย์ แม้ที่
ตนเห็นว่าไม่ดี เพราะเหตุแห่งการเป็นอยู่.

จริงอยู่ เนวสัญญานาสัญญายตนะนี้ ย่อมทำอากิญจัญญายตนะนั้น
แม้อันเห็นแล้วไม่ดีอย่างนี้ว่า อากิญจัญญายตนสมาบัตินี้ มีวิญญาณัญจายตนะ

เป็นข้าศึกใกล้ให้เป็นอารมณ์ เพราะความไม่มีอารมณ์อื่น. ถามว่า เหมือน
อะไร. ตอบว่า เหมือนประชาชนยกพระราชาที่ตนเห็นว่าไม่ดีขึ้น ครองราชย์
เพราะเหตุแห่งการเป็นอยู่เป็นเหตุ. เหมือนอย่างว่า พระราชาผู้เป็นใหญ่ใน
ทวีปทั้งหมด องค์หนึ่ง ไม่สำรวมมีความประพฤติทางกาย วาจา และทางใจ
หยาบคาย ประชาชนเห็นโทษอย่างนี้ว่า พระราชาองค์นี้มีวาจาหยาบคาย แต่
เมื่อไม่ได้ความเป็นอยู่ในที่อื่น จึงต้องอาศัยพระราชาพระองค์นั้น เพราะเหตุ
แห่งการเป็นอยู่ ฉันใด เนวสัญญานาสัญญายตนะนี้ เมื่อไม่ได้อารมณ์อื่น ก็
กระทำอากิญจัญญายตนะ แม้ที่ตนเห็นแล้วว่าไม่ดีนั้นให้เป็นอารมณ์ ฉันนั้น
นั่นแหละ อนึ่ง ฌานคือเนวสัญญานาสัญญายตนะนี้ เมื่อทำอยู่ด้วยอาการ
อย่างนี้
ย่อมอาศัยอรูปฌานที่ 3 นี้ จึงเป็น
ไปได้แล เหมือนบุคคลขึ้นบันไดยาวพึงเกาะ
แม่บันไดไว้ และเหมือนบุคคลขึ้นสู่ยอดภู-
เขาพึงเกาะยอดภูเขา หรือเหมือนบุคคลขึ้น
สู่ภูเขาศิลา ก็ต้องอาศัยเข่าของตนเท่านั้น
ฉะนั้น.

อรูปาวจรกุศล จบ

เตภูมิกกุศลธรรม 3 ประเภท



กามาวจรกุศล



[193] ธรรมเป็นกุศล เป็นไฉน ?
กามาวจรกุศลจิต สหรคตด้วยโสมนัส สัมปยุตด้วยญาณ เกิดขึ้นเป็น
อย่างต่ำ ฯลฯ เป็นอย่างกลาง ฯลฯ เป็นอย่างประณีต ฯลฯ เป็นฉันทาธิบดี
ฯลฯ เป็นวิริยาธิบดี ฯลฯ เป็นจิตตาธิบดี ฯลฯ เป็นวิมังสาธิบดี ฯลฯ เป็น
ฉันทาธิบดีอย่างต่ำ ฯลฯ เป็นฉันทาธิบดีอย่างกลาง ฯลฯ เป็นฉันทาธิบดี
อย่างประณีต ฯลฯ เป็นวิริยาธิบดีอย่างกลาง ฯลฯ เป็นวิริยาธิบดีอย่างกลาง ฯลฯ
เป็นวิริยาธิบดีอย่างประณีต ฯลฯ เป็นจิตตาธิบดีอย่างต่ำ ฯลฯ เป็นจิตตาธิบดี
อย่างกลาง ฯลฯ เป็นจิตตาธิบดีอย่างประณีต ฯลฯ เป็นวิมังสาธิบดีอย่างต่ำ
ฯลฯ เป็นวิมังสาธิบดีอย่างกลาง ฯลฯ เป็นวิมังสาธิบดีอย่างประณีต อยู่ใน
สมัยใด ผัสสะ ฯลฯ อวิกเขปะ มีในสมัยนั้น ฯลฯ
สภาวธรรมเหล่านั้นชื่อว่า ธรรมเป็นกุศล.
ธรรมเป็นกุศล เป็นไฉน ?
กามาวจรกุศลจิต สหรคตด้วยโสมนัส สัมปยุตด้วยฌาน เกิดขึ้นโดย
มีการชักจูง ฯลฯ สหรคตด้วยโสมนัส วิปปยุตจากญาณ เกิดขึ้น ฯลฯ
สหรคตด้วยโสมนัส วิปปยุตจากญาณ เกิดขึ้นโดยมีการชักจูง ฯลฯ สหรคต
ด้วยอุเบกขา สัมปยุตด้วยญาณ เกิดขึ้น ฯลฯ สหรคตด้วยอุเบกขา สัมปยุต
ด้วยญาณ เกิดขึ้นโดยมีการชักจูง ฯลฯ สหรคตด้วยอุเบกขา วิปปยุตจากฌาณ
เกิดขึ้น ฯลฯ สหรคตด้วยอุเบกขา วิปปยุตจากญาณ เกิดขึ้นโดยมีการชักจูง