เมนู

อรรถกถาจิตตุปปาทกัณฑ์



อธิบายปฏิปทา 4



บัดนี้ เพื่อแสดงประเภทลำดับปฏิปทา เพราะธรรมดาว่าฌานนี้ย่อม
สำเร็จด้วยลำดับปฏิปทานั้น ฉะนั้น จึงทรงปรารภคำมีอาทิว่า กตเม ธมฺมา
กุสลา
อีก. ในปฏิปทาเหล่านั้น ฌานที่ชื่อว่า ทุกขาปฏิปทา เพราะอรรถว่า
ฌานนั้นปฏิบัติลำบาก ที่ชื่อว่า ทันธาภิญญา เพราะฌานนั้นรู้ได้ยาก ด้วย
ประการฉะนี้ แม้คำทั้ง 3 คือ ทุกขาปฏิปทาก็ดี ทันธาภิญญาก็ดี ปฐวีกสิณก็ดี
เป็นชื่อของฌานทั้งนั้น. แม้ในคำเป็นต้น ว่า ทุกฺขาปฏิปทํ ขิปฺปาภิญฺญํ
ก็นัยนี้เหมือนกัน.
บรรดาปฏิปทาเป็นต้นเหล่านั้น การเจริญฌานตั้งแต่เริ่มตั้งใจ
ครั้งแรก จนถึงอุปจารแห่งฌานนั้น ๆ เกิดขึ้นเป็นไป เรียกว่า ปฏิปทา. ส่วน
ปัญญาที่ดำเนินไปตั้งแต่อุปจาร จนถึงอัปปนา เรียกว่า อภิญญา. ก็ปฏิปทา
นี้นั้น ย่อมเป็นทุกข์แก่บุคคลบางคนอธิบายว่า ชื่อว่า ปฏิบัติยาก ไม่ได้เสพ
ความสุขเพราะความที่ปัจจนีกธรรมมีนิวรณ์เป็นต้นทำให้ฟุ้งขึ้น. ปฏิปทาของ
บางคนเป็นสุข เพราะไม่มีปัจจนิกธรรมเช่นนั้น แม้อภิญญาของบางคนก็ช้า
คือเป็นธรรมชาติอ่อน ไม่เป็นไปโดยรวดเร็ว อภิญญาของบางคนรวดเร็ว คือ
ไม่ช้า เป็นไปโดยรวดเร็ว เพราะฉะนั้น บุคคลใด เมื่อข่มกิเลสทั้งหลายด้วย
วิปัสสนาญาณตั้งแต่ต้น ลำบากอยู่ ย่อมข่มได้โดยยาก พร้อมทั้งสังขารและ
สัมปโยคะ ปฏิปทาของบุคคลนั้น ชื่อว่า ทุกขาปฏิปทา (ปฏิบัติลำบาก).
ส่วนบุคคลใด ข่มกิเลสได้แล้วอบรมอัปปนาอยู่ ย่อมบรรลุถึงความ
เป็นองค์ฌานได้โดยกาลช้านาน ปฏิปทาของบุคคลนั้น ชื่อว่า ทันธาภิญญา

(รู้ได้ช้า). บุคคลใดย่อมบรรลุถึงความเป็นองค์ฌานได้โดยเร็ว ปฏิปทาของ
บุคคลนั้น ชื่อว่า ขิปปาภิญญา (รู้ได้เร็ว). บุคคลใดเมื่อข่มกิเลสทั้งหลาย
ไม่ลำบากข่มได้โดยง่าย ปฏิปทาของบุคคลนั้น ชื่อว่า สุขาปฏิปทา (ปฏิบัติ
สะดวก).
ในอธิการแห่งฌานเหล่านั้น สัปปายะและอสัปปายะก็ดี บุรพกิจมีการ
ตัดปลิโพธเป็นต้นก็ดี อัปปนาโกศลก็ดี ข้าพเจ้าอธิบายไว้ในจิตภาวนานิทเทส
ในวิสุทธิมรรคแล้ว ในปฏิปทามีสัปปายะเป็นต้นเหล่านั้น บุคคลใดเสพ
อสัปปายะ ปฏิปทาของบุคคลนั้นก็เป็นทุกขาปฏิปทา และทันธาภิญญา. บุคคล
ใดเสพสัปปายะ ปฏิปทาของบุคคลนั้นก็เป็นสุขาปฏิปทา และขิปปาภิญญา. ส่วน
บุคคลใดเสพอสัปปายะในส่วนเบื้องต้น ย่อมเสพสัปปายะในเวลาภายหลัง หรือ
ว่า เสพสัปปายะในกาลส่วนเบื้องต้น เสพอสัปปายะในกาลภายหลัง บัณฑิตพึง
ทราบว่าปฏิปทาและอภิญญาของบุคคลนั้นปะปนกัน.
อีกอย่างหนึ่ง พึงทราบว่า พระโยคาวจรไม่ทำบุรพกิจมีการตัดปลิโพธ
เป็นต้นอย่างนั้นให้สำเร็จก่อนแล้วเจริญภาวนา ปฏิปทาของเขา เป็นทุกขาปฏิป-
ทา โดยปริยายตรงกันข้าม เป็นสุขาปฏิปทา อนึ่ง เมื่อพระโยคาวจรไม่ทำอัปปนา-
โกศลให้สำเร็จ อภิญญาของเขาก็เป็น ทันธาภิญญา เมื่อทำอัปปนาโกศลให้
สำเร็จอภิญญาของเขาก็เป็น ขิปปาภิญญา.
อีกอย่างหนึ่ง พึงทราบประเภทแห่งปฏิปทาและอภิญญาเหล่านั้นด้วย
อำนาจตัณหาและอวิชชา และด้วยอำนาจแห่งการบำเพ็ญสมถะและวิปัสสนา.
จริงอยู่ ปฏิปทาของบุคคลผู้ถูกตัณหาครอบงำแล้ว เป็นทุกขาปฏิปทา ปฏิปทา
ของผู้ไม่ถูกตัณหาครอบงำแล้ว เป็นสุขาปฏิปทาและปฏิปทาของบุคคลผู้ถูก
อวิชชาครอบงำแล้ว เป็นทุกขาภิญญา ปฏิปทาของผู้ไม่ถูกอวิชชาครอบงำแล้ว

เป็นขิปปาภิญญา อนึ่ง บุคคลใด ไม่สร้างความดีในสมถะไว้ ปฏิปทาของบุคคล
นั้นเป็นทุกขาปฏิปทา ปฏิปทาของบุคคลผู้สร้างความดีในสมถะไว้ เป็นสุขาปฏิ-
ปทา. ก็บุคคลใดไม่ทำอธิการไว้ในวิปัสสนา ปฏิปทาของบุคคลนั้นเป็นทันธา-
ภิญญา ปฏิปทาของผู้ทำอธิการไว้ในวิปัสสนาเป็นขิปปาภิญญา.
อีกอย่างหนึ่ง พึงทราบประเภทแห่งปฏิปทาและอภิญญาเหล่านั้นด้วย
สามารถแห่งกิเลส และอินทรีย์. จริงอยู่ ปฏิปทาและอภิญญาของบุคคลมีกิ-
เลสกล้า มีอินทรีย์อ่อนก็เป็นทุกขาปฏิปทา ทันธาภิญญา. ส่วนปฏิปทาและ
อภิญญาของผู้มีอินทรีย์กล้าก็เป็นขิปปาภิญญา. ปฏิปทาและอภิญญาของบุคคล
ผู้มีกิเลสอ่อน อินทรีย์อ่อนก็เป็นสุขาปฏิปทา ทันธาภิญญา. ส่วนปฏิปทาและ
อภิญญาของบุคคลผู้มีอินทรีย์กล้าก็เป็นขิปปาภิญญา.
บรรดาปฏิปทาและอภิญญาเหล่านี้ โดยประการที่กล่าวมานี้ บุคคลใด
ย่อมบรรลุฌาน เพราะปฏิบัติลำบากและรู้ได้ช้า ฌานนั้นของบุคคลนั้น เรียกว่า
ทุกขาปฏิปทา ทันธาภิญญา. แม้คำที่เหลือก็นัยนี้เหมือนกัน. ในอธิการแห่ง
ฌานนั้น บัณฑิตพึงทราบว่า สติเป็นสภาพสมควรแก่ปฐมฌานเป็นต้นนั้น
ย่อมตั้งโดยชอบ ปัญญาเป็นฐิติภาคินี (มีส่วนตั้งมั่น) และพึงทราบปฏิปทาใน
การข่มไว้ด้วยสติตามที่กล่าวแล้วอย่างนี้ หรือด้วยความใคร่ในฌานนั้น ๆ และ
พึงทราบอภิญญาในการอบรมอัปปนาของผู้บรรลุอุปจารฌานนั้น ๆ.
อนึ่ง ปฏิปทาและอภิญญาย่อมมีแม้ด้วยสามารถแห่งการบรรลุก็ได้
เหมือนกัน. เพราะว่า แม้ทุติยฌานที่บุคคลบรรลุปฐมฌานที่เป็นทุกขาปฏิปทา
ทันธาภิญญาแล้ว บรรลุก็เป็นเช่นเดียวกันนั่นแหละ แม้ในฌานที่ 3 ฌานที่ 4
ก็นัยนี้แหละ พึงทราบความต่างกัน 4 อย่างด้วยสามารถแห่งปฏิปทาแม้ในฌาน
ปัญจกนัย เหมือนในฌานจตุกนัย. พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสฌาน 2 นัย เป็น
หมวด 9 เป็น 4 เพราะอำนาจแห่งปฏิปทา ด้วยประการฉะนี้. ในฌานหมวด 9

ปฏิปทา 4 เหล่านั้น ว่าโดยพระบาลี ได้จิต 36 ดวง แต่ว่าโดยอรรถ
(ใจความ) ได้จิต 20 ดวงเท่านั้น เพราะความที่ฌานจตุกนัยก็รวมอยู่ในฌาน
ปัญจกนัยแล.
ปฏิปทา จบ

อธิบายอารมณ์ของฌาน 4



บัดนี้ ชื่อว่า ฌานนี้มี 4 อย่าง แม้โดยประเภทอารมณ์ เหมือน
ประเภทปฏิปทา เพราะฉะนั้น เพื่อทรงแสดงประเภทอารมณ์นั้นแห่งฌานนั้น
จึงเริ่มคำเป็นต้น ว่า กตเม ธมฺมา กุสลา ดังนี้อีก.
พึงทราบวินิจฉัยในรูปาวจรกุศลฌานนั้นมีคำเป็นต้น ว่า ปริตฺตํ ปริตฺ-
ตารมฺมณํ
(ฌานมีกำลังน้อย มีอารมณ์เล็กน้อย) ต่อไป ฌานใดไม่คล่องแคล่ว
(มีคุณน้อย) ไม่สามารถเป็นปัจจัยแก่ฌานในเบื้องบน ฌานนี้ ชื่อว่า ปริตตะ
ส่วนฌานใด เป็นไปในอารมณ์มีนิมิตเท่ากระด้ง หรือเท่าขันน้ำ ซึ่งขยายขึ้น
ไม่ได้ ฌานนี้ชื่อว่า ปริตตะ อารมณ์เป็นปริตตะของฌานนี้มีอยู่ เพราะเหตุนั้น
ฌานนั้น จึงชื่อว่า ปริตตารมณ์ (มีอารมณ์เล็กน้อย). ฌานใดคล่องแคล่ว
อบรมดีแล้ว สามารถเป็นปัจจัยแก่ฌานเบื้องบน ฌานนี้ ชื่อว่า อัปปมาณ. ฌาน
ใดเป็นไปในอารมณ์อันกว้างขวาง ฌานนั้นก็ ชื่อว่า อัปปมาณ เพราะกำหนด
นิมิตที่เจริญได้. อารมณ์เป็นอัปปมาณ มีอยู่แก่ฌานนั้น เพราะเหตุนั้น ฌานนั้น
จึงชื่อว่า อัปปมาณารมณ์ (อารมณ์ไม่มีประมาณ). อนึ่ง พึงทราบนัยที่
เจือกันเพราะความที่ลักษณะตามที่กล่าวแล้วเจือกัน พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัส
ธรรมหมวด 9 ไว้ 4 หมวด แม้ด้วยสามารถแห่งอารมณ์ ดังพรรณนามาฉะนี้
อนึ่ง การนับจิตในประเภทแห่งอารมณ์นี้ เหมือนกับประเภทแห่งปฏิปทานั่นแล.
อารมณ์ของฌาน 4 จบ