เมนู

วิตกเหมือนมือที่จับไว้มั่น วิจารเหมือนมือที่ขัดสี อนึ่ง เมื่อช่างหม้อใช้ไม้ตี
หมุนจักรทำภาชนะ วิตกเหมือนกับมือที่กดไว้ วิจารเหมือนกับมือที่หมุนไป
ทางโน้นและทางนี้. อนึ่ง เมื่อบุคคลทำวงกลม วิตกคือการจดจ่ออยู่ซึ่งอารมณ์
เหมือนเหล็กแหลมที่ปักยันไว้ท่ามกลาง วิจารเคล้าอารมณ์ เหมือนเหล็กแหลม
ที่หมุนไปรอบ ๆ ข้างนอก ฉะนั้น.

ความหมายของคำว่าปีติ



ปีนยตีติ ปีติ

ธรรมที่ชื่อว่า ปีติ เพราะเอิบอิ่ม ปีตินั้นมีการ
ชื่นชมยินดีเป็นลักษณะ (สมฺปิยายนลกฺขณา) มีการทำกายและจิตให้เอิบอิ่ม
เป็นรส หรือว่าซาบซ่านไปเป็นรส (กายจิตฺตปีนนรสา ผรณรสา วา)
มีการฟูกายและใจเป็นปัจจุปัฏฐาน (โอทคฺยปจฺจุปฏฺฐานา) ก็ปีตินั้นมี 5
อย่าง คือ
ขุททกาปีติ
ขณิกาปีติ
โอกกันติกาปีติ
อุพเพงคาปีติ
ผรณาปีติ.
บรรดาปีติเหล่านั้น ขุททกาปีติสามารถเพื่อทำเพียงขนในร่างกายให้
ชูชันเท่านั้น. ขณิกาปีติย่อมเป็นเช่นกับความเกิดขึ้นแห่งฟ้าแลบขณะหนึ่ง ๆ
โอกกันติกาปีติ ก้าวลงสู่กายแล้ว ครั้นก้าวลงแล้วก็แตกไป เหมือนคลื่นที่
ฝั่งสมุทร อุพเพงคาปีติ เป็นปีติมีกำลัง ทำกายให้ฟูขึ้นถึงการลอยไปในอากาศ
ได้.

จริงอย่างนั้น พระมหาติสสเถระผู้อยู่ในปุณณวัลลิกวิหารในวันปุรณมี
เวลาเย็นไปสู่ลานพระเจดีย์เห็นแสงสว่างดวงจันทร์ จึงหันหน้าไปทางพระมหา-
เจดีย์แล้วรำพึงว่า เวลานี้พวกบริษัท 4 กำลังไหว้พระมหาเจดีย์กันหนอ ดังนี้
ยังอุพเพงคาปีติมีพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์ ให้เกิดขึ้นด้วยสามารถอารมณ์ที่เห็น
ตามปกติ ลอยขึ้นไปในอากาศแล้ว ไปยืนอยู่เฉพาะที่ลานแห่งพระมหาเจดีย์
นั่นแหละ เหมือนลูกข่างอันวิจิตรที่ขว้างไปที่พื้นที่ฉาบไว้ด้วยปูนขาว.
อนึ่ง แม้กุลธิดาคนหนึ่งในบ้านวัตตกาลก ซึ่งอาศัยอยู่ใกล้คิริกัณฑ-
วิหาร ลอยขึ้นไปในอากาศด้วยอุพเพงคาปีติ มีพระพุทธคุณที่มีกำลังเป็น
อารมณ์ ได้ยินว่า มารดาบิดาของกุลธิดานั้นเมื่อไปวิหารเพื่อต้องการฟังธรรม
ในเวลาเย็นได้บอกว่า แม่เจ้ามีภาระหนัก ไม่อาจเพื่อเที่ยวไปในเวลาอันไม่ควร
กับพวกแม่ได้ พวกแม่จะฟังธรรมให้ส่วนบุญนั้นแก่เจ้า แล้วพากันไป. กุลธิดา
นั้นแม้อยากจะไป แต่ไม่อาจขัดขืนคำของมารดาบิดาได้ จึงหยุดอยู่ข้างหลัง
ยืนอยู่ที่ประตูบ้าน แลดูอยู่ซึ่งลานพระเจดีย์ที่คิริกัณฑวิหารทางอากาศด้วย
แสงจันทร์ ได้เห็นการบูชาดวงประทีปแห่งพระเจดีย์ และได้เห็นบริษัท 4
กระทำการบูชาพระเจดีย์ด้วยมาลา และของหอมเป็นต้นแล้วกระทำประทักษิณ
ได้ฟังเสียงสาธยายเป็นคณะของหมู่ภิกษุ. ทีนั้นเมื่อนางคิดว่า โอมนุษย์ผู้มีบุญ
เหล่านั้นพากันไปวิหารย่อมได้เพื่อการเดินเวียนที่เนินพระเจดีย์ และได้การฟัง
ธรรมกถาที่ไพเราะเห็นปานนี้ ดังนี้แล้ว กำลังมองดูพระเจดีย์เช่นกับกองแก้ว
มุกดานั่นแหละ อุพเพงคาปีติก็เกิดขึ้น. นางลอยไปในอากาศหยั่งลงที่ลาน
พระเจดีย์ทางอากาศก่อนกว่ามารดาบิดาทีเดียว แล้วไหว้พระเจดีย์ ยืนฟังธรรม
อยู่. ทีนั้น มารดาและบิดาจึงมาถึงแล้วถามนางกุลธิดานั้นว่า แม่เจ้ามาทางไหน
นางตอบว่า มาทางอากาศ มิได้มาตามทาง มารดาบิดากล่าวว่า แม่ชื่อว่า

พระขีณาสพทั้งหลายจึงท่องเที่ยวไปทางอากาศได้ เจ้ามาได้อย่างไร ? นาง
ตอบว่า เมื่อลูกยืนแลดูพระเจดีย์อยู่โดยแสงจันทร์ ปีติมีกำลังมีพุทธคุณเป็น
อารมณ์ก็เกิดขึ้น ทีนั้น ดิฉันไม่ทราบว่าตนยืนหรือนั่งลอยไปสู่อากาศด้วยนิมิต
ที่ถือเอานั่นแหละ แล้วยืนอยู่ที่ลานพระเจดีย์ อุพเพงคาปีติมีการลอยไปใน
อากาศ ด้วยประการฉะนี้.
ส่วนผรณาปีติเกิดขึ้นแล้วก็แผ่ไปสู่สรีระทั้งสิ้น เหมือนถุงที่เต็มด้วย
ลม และเหมือนท้องภูเขาที่ห้วงน้ำใหญ่ไหลเข้าไปซึมซาบแล้ว.
ก็ปีติ 5 อย่างเหล่านั้น เมื่อถือเอาครรภ์ถึงความแก่รอบย่อมยังปัสสัทธิ
2 อย่าง คือ กายปัสสัทธิ และจิตตปัสสัทธิ ให้บริบูรณ์. ปัสสัทธิเมื่อถือเอา
ครรภ์ถึงความแก่รอบย่อมยังสุข 2 อย่าง คือ กายิกสุข และเจตสิกสุขให้บริบูรณ์
ความสุขเมื่อถือเอาครรภ์ถึงความแก่รอบย่อมยังสมาธิ 3 อย่าง คือ ขณิกสมาธิ
อุปจารสมาธิ อัปปนาสมาธิ ให้บริบูรณ์. บรรดาปีติเหล่านั้น ปีติ 2 อย่าง
เว้นปีติที่ถึงความสมบูรณ์ด้วยอัปปนา ย่อมควรในกามาวจรนี้.

ความหมายของคำว่าสุข



สุขยตีติ สุขํ

ธรรมที่ชื่อว่า สุข เพราะอรรถว่า สบาย อธิบายว่า ความ
สุขย่อมเกิดแก่ผู้ใด ก็ทำบุคคลนั้นให้ถึงความสุข. อีกอย่างหนึ่ง ธรรมชาติใด
ย่อมเคี้ยวกินอย่างดี และย่อมขุด (ทำลาย) อาพาธทางกายทางใจ เพราะเหตุนั้น
ธรรมชาตินั้นจึงชื่อว่าสุข. สุขนี้เป็นชื่อของโสมนัสสเวทนา. บัณฑิตพึงทราบ
ลักษณะเป็นต้นของสุขนั้นโดยนัยที่กล่าวแล้วในบทแห่งเวทนานั้นแหละ อีกนัย
หนึ่ง สุขมีการยินดีเป็นลักษณะ (สาตลกฺขณํ) มีการยังสัมปยุตธรรมทั้งหลาย
ให้เจริญเป็นรส (สปฺปยุตฺตานํ อุปพฺรูหนรสํ) มีการอนุเคราะห์เป็น