เมนู

ตอบว่า ท่านกล่าวมหาจิต ที่สหรคตด้วยโสมนัสในกามาจรทั้งหลาย
ที่เป็นติเหตุกญาณสัมปยุต เป็นอสังขาริก.
จริงอยู่ ทรงถือเอากุศลจิตที่เป็นไปในภูมิ 4 ด้วย คำถามที่มิได้กำหนด
แน่นอนว่า ธรรมเป็นกุศล เป็นไฉน ดังนี้ ด้วยพระบาลีว่า กามาวจรํ
กุสลํ จิตฺตํ อุปฺปนฺนํ โหติ
(กามาวจรกุศลจิตเกิดขึ้นแล้ว) ดังนี้ ทรงเว้น
กุศลจิตเป็นไปในภูมิ 3 ทรงถือเอากามาวจรกุศลจิต 8 ดวงเท่านั้น. พระบาลีว่า
โสมนสฺสสหคตํ ดังนี้ ทรงเว้นอุเบกขาสหรคต 4 อย่าง จากกามาวจรกุศลจิต
นั้นนั่นแหละ แล้วทรงถือเอาเฉพาะโสมนัสสสหคตจิตเฉพาะ 4 อย่าง ด้วย
พระบาลีว่า ญาณสมฺปยุตฺตํ ดังนี้ ทรงเว้นจิตที่เป็นญาณวิปปยุต 2 ดวง
จากจิตที่เป็นโสมนัสสสหคตนั้นนั่นแหละ แล้วทรงถือเอาเฉพาะจิตที่เป็นญาณ
สัมปยุต 2 ดวงเท่านั้น. ส่วนความที่จิตเป็นอสังขาริกมิได้ทรงถือเอา เพราะ
ความที่จิตเป็นอสังขาริกนั้นมิได้ตรัสไว้ แม้มิได้ทรงถือเอาความที่จิตเป็นอสัง-
ขาริกแม้ก็จริง ถึงอย่างนั้น เพราะพระบาลีว่า สสงฺขาเรน ข้างหน้าแม้จะ
มิได้ตรัสว่า อสงฺขาเรน ไว้ในที่นี้ บัณฑิตก็พึงทราบความที่จิตเป็นอสังขาริก
เพราะได้ทรงกำหนดเพื่อแสดงมหาจิตนี้ตั้งแต่ต้นทีเดียว จึงทรงเริ่มเทศนานี้
ดังนี้ ในข้อนี้ พึงทราบว่าท่านทำความสันนิษฐานไว้อย่างนี้.

อธิบายคำว่าอารมณ์



บัดนี้ เพื่อแสดงจิตนั้นนั่นแหละโดยอารมณ์ จึงตรัสคำว่า รูปารมฺมณํ
วา
เป็นต้น.
จริงอยู่ พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อแสดงอรูปธรรมทั้งหลายย่อมทรงแสดง
ด้วยวัตถุ หรือด้วยอารมณ์ หรือวัตถุและอารมณ์ หรือว่าด้วยภาวะพร้อมทั้ง
รส. อรูปธรรมทั้งหลายที่ทรงแสดงด้วยวัตถุ ดังในประโยคมีอาทิว่า จักขุสัมผัส