เมนู

มหาโควินทจริยา


ว่าด้วยจริยาวัตรของมหาโควินทพราหมณ์


[5] อีกเรื่องหนึ่ง ในกาลเมื่อเราเป็นพราหมณ์
นามว่ามหาโควินท์ เป็นปุโรหิตของพระราชา
พระองค์ อันนรชนและเทวดาบูชา ในกาล
นั้น เครื่องบรรณาการอันใดในราชอาณาจักร
ทั้ง ได้มีแล้วแก่เรา เราได้ให้มหาทานร้อย
ล้านแสนโกฏิ เปรียบด้วยสาครด้วยบรรณา-
การนั้น เราจะเกลียดทรัพย์และข้าวเปลือกก็
หามิได้ และเราจะไม่มีการสั่งสมก็หามิได้ แต่
พระสัพพัญญุตญาณเป็นที่รักของเรา ฉะนั้น
เราจึงให้ทานอย่างประเสริฐ ฉะนี้แล.

จบ มหาโควินทจริยาที่ 5

อรรถถกถามหาโควินทจริยาที่ 5


พึงทราบวินิจฉัยในอรรถกถามหาโควินทจริยาที่ 5 ดังต่อไปนี้. บทว่า
สตฺตราชปุโรหิโจ คือปุโรหิตผู้เป็นอนุสาสก คือผู้ถวายอนุศาสน์ ในกิจ-
การทั้งปวงแด่พระราชา 7 พระองค์ มีพระราชาพระนามว่า สัตตภู เป็นต้น.
บทว่า ปูชิโต นรเทเวหิ อันนรชนและเทวดาทั้งหลายบูชาแล้ว คือ อัน

นรชนเหล่าอื่น และกษัตริย์ทั้งหมดในชมพูทวีปบูชาแล้วด้วยปัจจัย และ
ด้วยสักการะและสัมมานะ. บทว่า มหาโควินฺทพฺราหฺมโณ คือพราหมณ์
ชื่อว่า มหาโควินทะ เพราะเป็นผู้มีอานุภาพมาก และเพราะได้รับแต่งตั้ง
โดยอภิเษกให้เป็นโควินทะ. เพราะว่าพระโพธิสัตว์ได้ชื่อนี้ตั้งแต่วันอภิเษก
ชื่อเดิมว่า โชติปาละ ได้ยินว่าในวันที่โชติปาละเกิด สรรพาวุธทั้งหลาย
สว่างไสว. แม้พระราชาก็ทอดพระเนตรเห็นมังคลาวุธของพระองค์ สว่าง
ไสวในตอนใกล้รุ่ง ทรงสะดุ้งพระทัยตรัสถามปุโรหิตของพระองค์ซึ่งเป็น
บิดาของพระโพธิสัตว์ผู้มาปฏิบัติราชการ ปุโรหิตทูลให้เบาพระทัยว่า ขอ
เดชะข้าแต่มหาราชเจ้า ขอพระองค์อย่าทรงหวาดสะดุ้งไปเลย บุตรของข้า
พระองค์เกิด ด้วยอานุภาพของบุตรนั้นมิใช่ในกรุงราชคฤห์เท่านั้น แม้ใน
นครทั้งสิ้น อาวุธทั้งหลายก็สว่างไสว อันตรายมิได้มีแด่พระองค์เพราะ
อาศัยบุตรของข้าพระองค์ อนึ่ง ในชมพูทวีปทั้งสิ้น จักหาผู้ที่มีปัญญาเสมอ
ด้วยบุตรของข้าพระองค์ไม่มี. นั่นเป็นบุรพนิมิตของเขาพระเจ้าข้า. พระ-
ราชาทรงยินดี พระราชทานทรัพย์ 1,000 โดยตรัสว่า จงเป็นค่าน้ำนม
ของพ่อกุมารเถิด แล้วตรัสว่า เมื่อบุตรของท่านเจริญวัย จงนำมาอยู่กับเรา.
ต่อมากุมารนั้นเจริญวัย เป็นผู้เห็นประโยชน์อันควรจึงเป็นอนุสาสกในกิจ
ทั้งปวงของพระราชา 7 พระองค์ ครั้นบวชแล้วก็ได้สั่งสอนสัตว์ทั้งหลาย
จากสิ่งไม่เป็นประโยชน์ แล้วชักชวนด้วยสิ่งมีประโยชน์ทั้งปัจจุบันและ
สัมปรายภพ. ด้วยเหตุนี้จึงได้ขนานนามว่า โชติปาละ เพราะเป็นผู้รุ่งเรือง
และเพราะสามารถในการอบรมสั่งสอน. ด้วยเหตุนั้นท่านจึงกล่าวว่า นาเมน

โชติปาโล นาม ชื่อเดิมว่า โชติปาละ. พึงทราบเนื้อความในบทนั้นดัง ต่อ
ไปนี้ พระโพธิสัตว์เป็นบุตรของโควินทพราหมณ์ ผู้เป็นปุโรหิตของพระ-
ราชาพระนามว่าทิสัมบดี เมื่อบิดาของตนล่วงลับไปและพระราชาสวรรคต
แล้ว ยังพระราชา 7 พระองค์ ให้ดำรงอยู่ในราชสมบัติโดยที่พระราชาทั้ง
7 พระองค์ คือ พระเรณุราชา โอรสของพระทิสัมบดีราชา พระสหายราชา
พระสัตตภูราชา พระพรหมทัตตราชา พระเวสสภูราชา พระภารตราชา
พระธตรัฐราชา มิได้ทรงวิวาทกันและกัน ถวายอนุศาสน์อรรถธรรมแด่
พระราชาเหล่านั้น พระราชาทั้งหมด พราหมณ์ เทวดา นาค และคฤหบดี
ในพื้นชมพูทวีป สักการะ นับถือ บูชา อ่อนน้อม ได้ถึงฐานะเป็นที่เคารพ
อย่างสูงสุด. เพราะความที่โควินทพราหมณ์นั้นเป็นผู้ฉลาดในอรรถและธรรม
จึงได้รับสมัญญาว่า มหาโควินทะ ด้วยประการฉะนี้. ดังที่ท่านกล่าวไว้ว่า
โควินฺโท วต โภ พฺราหฺมโณ มหาโควินฺโท วต โภ พฺราหฺมโณ ท่าน
ผู้เจริญโควินทพราหมณ์ ได้เป็นมหาโควินทพราหมณ์แล้วหนอ ด้วยเหตุ
นั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า :-
อีกเรื่องหนึ่ง ในกาลเมื่อเราเป็นพราหมณ์
นามว่ามหาโควินทะ เป็นปุโรหิตของพระราชา
7 พระองค์ อันนรชนและเทวดาบูชาแล้ว.

ลำดับนั้น ลาภสักการะอันมากมายนับไม่ถ้วน อันพระราชาผู้ตื่นเต้น
ด้วยอานุภาพของพระโพธิสัตว์ กษัตริย์ผู้นับถือพระราชาเหล่านั้น พราหมณ์

คฤหบดี และชาวนิคม ชาวชนบท น้อมนำเข้าไปถมไว้ ๆ ดุจห้วงน้ำใหญ่
ท่วมทับโดยรอบ เหมือนอย่างลาภสักการะเกิดแก่ผู้สะสมบุญอันไพบูลย์ซึ่งได้
สะสมไว้ในชาตินับไม่ถ้วน ผู้มีธรรมเกิดขึ้นแล้วมากมาย มีศิลาจารวัตร
บริสุทธิ์ มีศีลเป็นที่รัก สำเร็จศิลปศาสตร์ทุกชนิด มีหทัยอ่อนโยนน่ารักแผ่
ไปด้วยมหากรุณาในสรรพสัตว์ทั้งหลายเช่นกับบุตร. พระโพธิสัตว์ดำริว่า
บัดนี้ ลาภและสักการะมากมายเกิดขึ้นแก่เรา ถ้ากระไรเราจะให้สรรพสัตว์ทั้ง
หลาย เอิบอิ่มด้วยลาภและสักการะนี้แล้ว ยังทานบารมีให้บริบูรณ์ จึงให้สร้าง
โรงทานขึ้น 6 แห่ง คือ กลางพระนคร 1 ที่ประตูพระนคร 1 ที่ประตูพระราช
นิเวศน์ 1 แล้วยังมหาทานให้เป็นไปด้วยการบริจาคทรัพย์หาประมาณมิได้
ทุก ๆ วัน. ของขวัญใด ๆ ที่มีผู้นำมามอบให้เพื่อประโยชน์แก่ตน ทั้งหมด
นั้นส่งไปที่โรงทาน. เมื่อพระโพธิสัตว์ทำมหาบริจาคทุก ๆ วันอย่างนี้ ความ
อิ่มใจก็ดี ความพอใจก็ดี มิได้มีแก่ใจของพระโพธิสัตว์นั้นเลย. ความเหนื่อย-
หน่ายจะมีได้แต่ไหน. หมู่ชนผู้มายังโรงทานเพื่อหวังลาภของพระโพธิสัตว์
ได้รับไทยธรรมกลับไป และประการคุณวิเศษ ของพระมหาสัตว์ โดยรอบ
ด้านทั้งภายในพระนคร และภายนอกพระนคร ได้มีเสียงเซ็งแซ่อึงคะนึง
เป็นอันเดียวกันดุจมหาสมุทร มีห้วงน้ำเป็นอันเดียวกัน หมุนวนเพราะ
กระทบพายุใหญ่อันตั้งขึ้นตลอดกัป ฉะนั้น. ด้วยเหตุนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้า
จึงตรัสว่า :-
ในกาลนั้นเครื่องบรรณาการอันใดในราช-
อาณาจักรทั้ง 7 ได้มีแล้วแก่เรา เราได้ให้

มหาทานร้อยล้านแสนโกฏิ เปรียบด้วยสาคร
ด้วยบรรณาการนั้น.

ในบทเหล่านั้น บทว่า ตทาหํ คือในกาลที่เราเป็นมหาโควินท-
พราหมณ์ เป็นปุโรหิตของพระราชา 7 พระองค์. บทว่า สตฺตรชฺเชสุ คือ
ในราชอาณาจักรของพระราชา 7 พระองค์ มีพระราชาพระนามว่า เรณุ
เป็นต้น. บทว่า อกฺโขภํ ( การนับที่สูงคือเลข 1 มีศูนย์ตาม 42 ศูนย์)
ชื่อว่าอันใคร ๆ ให้กำเริบไม่ได้ เพราะข้าศึกภายในและภายนอกเกียดกั้นไม่
ได้. ปาฐะว่า อจฺจุพฺภํ บ้าง คือ กองทัพที่มีกระบวนพร้อมมูล อธิบายว่า
บริบูรณ์อย่างยิ่งด้วยความกว้างขวาง และด้วยความไพบูลย์แห่งอัธยาศัยใน
การให้อันเต็มเปี่ยม และแห่งไทยธรรม. บทว่า สาครูปมํ คือเช่นกับสาคร
อธิบายว่า ไทยธรรมในโรงทานของพระโพธิสัตว์ ดุจน้ำในสาครอันชาวโลก
ทั้งสิ้นนำไปใช้ก็ไม่สามารถให้หมดไปได้.
พึงทราบความในคาถาสุดท้ายดังต่อไปนี้ บทว่า วรํ นํ ทรัพย์
ประเสริฐ. คือทรัพย์ สูงสุดหรือทรัพย์ที่คนต้องการ. บทที่เหลือมีนัยดังกล่าว
แล้วนั่นแล.
พระมหาสัตว์ ยังฝนคือทานใหญ่ให้ตกโดยไม่หยุดยั้งดุจมหาเมฆใน
ปฐมกัป ยังฝนใหญ่ให้ตกฉะนั้น แม้เป็นผู้ขวนขวายในทานเวลาที่เหลือก็ยัง
ไม่ประมาท ถวายอนุสาสน์ อรรถธรรมแด่พระราชา 7 พระองค์ และยัง
พราหมณ์มหาศาล 7 ให้ศึกษาวิชาศิลปศาสตร์. และบอกมนต์กะช่างกัลบก

700 คน. ครั้นย่อมากิตติศัพท์อันงดงามนี้ ของพระโพธิสัตว์ขจรไปว่า
มหาโควินทพราหมณ์ เผชิญหน้าเห็นพระพรหม. มหาโควินทพราหมณ์
เผชิญหน้า สนทนา พูดจา ปรึกษากับพระพรหม. พระมหาสัตว์บำเพ็ญพรหม
วิหารภาวนาตลอด 4 เดือนในฤดูฝนโดยตั้งใจว่า เราพึงอำลาพระราชา 7
พระองค์ พราหมณ์มหาศาล 7 ช่างกัลบก 700 และบุตรภรรยาไปเฝ้า
พระพรหม. ด้วยความตั้งใจของพระโพธิสัตว์นั้น สุนังกุมารพรหมได้รู้ความ
คิดคำนึง จึงได้ปรากฏข้างหน้า. มหาบุรุษเห็นพรหมจึงถามว่า :-
ท่านผู้นิรทุกข์ ท่านเป็นใครหนอ จึงมี
ผิวพรรณ มียศ มีสิริ ข้าพเจ้าไม่รู้จักท่าน จึง
ถามข้าพเจ้าจะรู้จักท่านได้อย่างไร.

พระพรหมเมื่อจะยังพระโพธิสัตว์ให้รู้จักตน จึงกล่าวว่า :-
ท่านโควินทะ ทวยเทพทั้งปวง รู้จัก
ข้าพเจ้า ว่าเป็นกุมารพรหมอยู่ในพรหมโลกมา
เก่าแก่ ขอท่านจงรู้จักข้าพเจ้าด้วยประการ
ฉะนี้เถิด.

พระโพธิสัตว์กล่าวว่า :-
ข้าแต่ท่านผู้เป็นพรหม ข้าพเจ้าขอต้อนรับ
ท่านผู้เจริญด้วยอาสนะ น้ำ เครื่องเช็ดเท้าและ

ผักผสมน้ำผึ้ง ขอได้โปรดรับของมีค่าอันเป็น
ของข้าพเจ้าเถิด.

พระพรหมแม้ไม่มีความต้องการของต้อนรับแขก ที่พระโพธิสัตว์นำ
เข้าไปก็ยินดีรับเพื่อความเบิกบานใจของพระโพธิสัตว์ และเพื่อทำความคุ้น
เคย จึงกล่าวว่า ท่านโควินทะข้าพเจ้าขอรับของมีค่าที่ท่านบอก เมื่อให้โอกาส
จึงกล่าวว่า :-
ข้าพเจ้าให้โอกาส ท่านจงถามสิ่งที่ต้อง
การถาม เพื่อประโยชน์ในภพนั้นและเพื่อความ
สุขในภพหน้า.

ลำดับนั้น พระมหาบุรุษจึงถามถึงประโยชน์ในภพหน้าอย่างเดียวว่า :-
ข้าพเจ้าผู้มีความสงสัย ขอถามท่านสนัง-
กุมารพรหมผู้ไม่มีความสงสัย ในปัญหาอัน
ปรากฏแก่ผู้อื่นว่า สัตว์ตั้งอยู่ในอะไร และ
ศึกษาในอะไร จึงจะถึงพรหมโลกอันเป็น
อมตะ.

พระพรหมเมื่อจะพยากรณ์แก่พระโพธิสัตว์ จึงกล่าวถึงทางอันไปสู่
พรหมโลกว่า :-

ท่านผู้ประเสริฐ สัตว์ละความเป็นของ
เราในสัตว์ทั้งหลาย เป็นอยู่ผู้เดียว น้อมไป
ในกรุณา ไม่มีกลิ่นน้ำยินดี เว้นจากเมถุน
ตั้งอยู่ในธรรมเหล่านั้น และศึกษาอยู่ในธรรม
เหล่านี้ ย่อมถึงพรหมโลกอันเป็นอมตะ.

ในบทเหล่านั้น บทว่า มํ เว ภุมารํ ชานนฺติ คือทวยเทพทั้งหลาย
รู้จักข้าพเจ้าว่า เป็นกุมารพรหมโดยส่วนเดียวเท่านั้น. บทว่า พฺรหฺมโลเก
คือในโลกอันประเสริฐ. บทว่า สนนฺตนํ คือโบราณนานมาแล้ว. บทว่า
เอวํ โควินฺท ชานาหิ คือ ท่านโควินทะท่านจงจำข้าพเจ้าไว้อย่างนี้.
บทว่า อาสนํ นี้. คืออาสนะที่ปูไว้ เพื่อให้พระพรหมผู้เจริญนั่ง.
น้ำนี้สำหรับใช้เพื่อล้างเท้า น้ำดื่มเพื่อบรรเทาความกระหาย. เครื่องเช็ดเท้า
นี้ คือน้ำมันทาเท้าเพื่อบรรเทาความเหน็ดเหนื่อย. ผักผสมน้ำผึ้งนี้ ไม่ใช่
เปรียง ไม่ใช่เกลือ ไม่ใช่ลมควัน ล้างน้ำสะอาด ท่านกล่าวหมายถึงผัก.
ก็ในการนั้นพระโพธิสัตว์ พระโพธิสัตว์ประพฤติพรหมจรรย์ตลอด 4 เดือน
เป็นพรหมจรรย์ยอดเยี่ยมอย่างยิ่งในการประพฤติขัดเกลากิเลส. ข้าพเจ้าขอ
เอาของมีค่าทั้งหมดเหล่านี้ต้อนรับท่าน ขอจงรับของมีค่านี้อันเป็นของ
ข้าพเจ้าเอง. พระมหาบุรุษแม้รู้อยู่พระพรหมไม่บริโภคของเหล่านั้น แต่งตั้ง
ไว้เป็นพิธีในการปฏิบัติ เมื่อจะแสดงการบูชาแขกที่ตนเคยประพฤติมาจึง

กล่าวอย่างนั้น แม้พระพรหมก็ทราบความประสงค์ของพระโพธิสัตว์นั้น จึง
กล่าวว่า ท่านโควินทะ ข้าพเจ้าขอรับสิ่งมีค่าที่ท่านบอกนั้นไว้.
อธิบายในบทนั้นว่า ข้าพเจ้าจะนั่งบนอาสนะของท่าน. จะล้างเท้า
ด้วยน้ำล้างเท้า. จะดื่มน้ำดื่ม. จะทาเท้าด้วยเครื่องทาเท้า. จะบริโภคผักที่ล้าง
ด้วยน้ำ.
บทว่า กงฺขี อกงฺขึ ปรเวทิเยสุ คือข้าพเจ้าไม่สงสัยในปัญญาที่
ปรากฏแก่ผู้อื่น เพราะผู้อื่นสร้างปัญหาขึ้นมาเอง.
บทว่า หิตฺวา มมฺตฺตํ คือสละตัณหาอันเป็นเครื่องอุดหนุนให้เป็น
ไปอย่างนี้ว่า นี้ของเรา นี้ของเรา ดังนี้. บทว่า มนุเชสุ คือในสัตว์ทั้งหลาย
บทว่า พฺรหฺเม คือพระพรหมเรียกพระโพธิสัตว์. บทว่า เอโกทิภูโต
ชื่อว่า เอโกทิภูโต เพราะเป็นไปผู้เดียว คืออยู่ผู้เดียว. ด้วยบทนี้ ท่าน
กล่าวหมายถึงกายวิเวก. อีกชื่อว่า เอโกทิ เพราะเป็นเอกผุดขึ้นได้แก่ สมาธิ.
ชื่อว่า เอโกทิภูโต เพราะถึงความเป็นเอกผุดขึ้นนั้น. อธิบายว่า สมาธิ.
ด้วยอุปจารสมาธิและอัปปนาสมาธิ. พระพรหมเมื่อจะแสดงความเป็นเอก
ผุดขึ้นด้วยอำนาจแห่งกรุณาพรหมวิหาร จึงกล่าวว่า กรุเณธิมุตฺโต คือ
น้อมไปในฌานคือกรุณา. อธิบายว่า ยังฌานให้เกิดขึ้น. บทว่า นิรามคนฺโธ
ไม่มีกลิ่นน่ารื่นรมย์ คือปราศจากกลิ่นเป็นพิษคือกิเลส. บทว่า เอตฺถฏฺฐิโต
คือตั้งอยู่ในธรรมทั้งหลายเหล่านี้ . ยังธรรมทั้งหลายเหล่านี้ให้สมบูรณ์ บทว่า

เอตฺถ จ สิกฺขมาโน คือศึกษาอยู่ในธรรมทั้งลายเหล่านี้ อธิบายว่า
เจริญพรหมวิหารภาวนานี้. นี้เป็นความสังเขปในบทนี้. ส่วนความพิสดาร
มาแล้วในบาลีด้วยประการฉะนี้.
ลำดับนั้นพระมหาบุรุษ ได้สดับคำของพระพรหมนั้นรังเกียจกลิ่น
อันเป็นพิษ จึงกล่าวว่า ข้าพเจ้าจักบวชในบัดนี้ละ. แม้พระพรหมก็กล่าวว่า
ดีแล้วท่านมหาบุรุษ จงบวชเถิด. เมื่อเป็นอย่างนี้การที่ข้าพเจ้ามาหาท่าน จึง
เป็นการมาดีทีเดียว. พ่อเจ้าประคุณพ่อเป็นอัครบุรุษทั่วชมพูทวีปยังอยู่ใน
ปฐมวัย. ชื่อว่าการละสมบัติและความเป็นใหญ่ ถึงอย่างนี้ออกบวชเป็นความ
ประเสริฐยิ่ง ดุจคันธหัตถีทำลายเครื่องผูกทำด้วยเหล็กแล้วกลับไปป่า ฉะนั้น.
นี้ชื่อว่าเป็นเชื้อสายของพระพุทธเจ้า. แม้พระมหาสัตว์ก็ดำริว่า เราออกจาก
เมืองนี้ไปบวชไม่เป็นการไม่สมควร. เรายังถวายอนุสาสน์อรรถและธรรมแก่
ราชตระกูลอยู่. เพราะฉะนั้นเราทูลพระราชาเหล่านั้น หากว่า พระราชาเหล่า
นั้นจะบวชบ้างก็จะเป็นการดีทีเดียว. เราจักคืนตำแหน่งปุโรหิตของเราแล้ว
บวช จึงทูลแด่พระราชาเรณุก่อน พระราชาเรณุทรงปลอบโยนด้วยกามมาก
มาย จึงทูลถึงเหตุความสังเวชของตนและความประสงค์เพื่อจะบวชอย่างเดียว
แด่พระราชา. เมื่อพระราชาเรณุตรัสว่า ผิว่าเป็นอย่างนั้นแม้เราก็จักบวช
ด้วย จึงรับว่า ดีแล้วพระเจ้าข้า โดยนัยนี้จึงได้ไปอำลากษัตริย์ 6 พระองค์
มีพระราชาสัตตภูเป็นต้น พราหมณมหาศาล 7 ช่างกัลบก 700 และภรรยา
ของตนแล้วคอยตามดูใจของคนเหล่านั้นอยู่ประมาณ 7 วัน จึงออกบวช
เช่นเดียวกับมหาภิเนษกรมณ์.

ชนเหล่านั้นทั้งหมดมีพระราชา 7 พระองค์เป็นต้น ออกบวชตาม
พระโพธิสัตว์. ได้เป็นบริษัทใหญ่ขึ้นแล้ว. พระมหาบุรุษแวดล้อมด้วยบริษัท
กว้างหลายโยชน์ เที่ยวจาริกแสดงธรรมในคามนิคมชนบทและราชธานี.
ยังมหาชนให้ตั้งมั่นในบุญกุศล. ในที่ที่ไปปรากฏดุจพุทธโกลาหล. พวกมนุษย์
ได้ฟังว่าโควินทบัณฑิตจักมา จึงพากันสร้างมณฑปไว้ล่วงหน้าก่อนตกแต่ง
มณฑปนั้นแล้วต้อนรับนิมนต์ให้เข้าไปยังมณฑป อังคาสด้วยโภชนะมีรสเลิศ
ต่าง ๆ. ลาภสักการะใหญ่เกิดท่วมทับดุจห้วงน้ำใหญ่ท่วม. พระมหาบุรุษยัง
มหาชนให้ตั้งอยู่ในบุญกุศล คือในศีลสัมปทา อินทรีย์สังวร ความรู้จัก
ประมาณในการบริโภค การประกอบความเพียร บริกรรมกสิณฌาน อภิญญา
สมาบัติ 8 และพรหมวิหาร. ได้เป็นดุจกาลเกิดแห่งพระพุทธเจ้า.
พระโพธิสัตว์บำเพ็ญบารมีอยู่ตราบเท่าอายุ ยังกาลเวลาให้น้อมล่วงไป
ด้วยสุขเกิดแต่สมาบัติ เมื่อสิ้นอายุก็ไปเกิดในพรหมโลก. การประพฤติพรหม-
จรรย์ของพระโพธิสัตว์นั้นมั่นคง แพร่หลายกว้างขวาง รู้กันเป็นส่วนมาก
หนาแน่น จนเทวดาและมนุษย์ทั้งหลายประกาศดีแล้วเป็นไปสิ้นยาวนาน.
ผู้ใดรู้คำสอนของพระโพธิสัตว์นั้นโดยสิ้นเชิง. ผู้นั้นตายไปแล้วก็ได้ไปเกิด
ยังพรหมโลกอันเป็นสุคติภพ. ผู้ใดยังไม่รู้ทั่วถึง ผู้นั้นบางพวกก็เข้าถึงความ
กับเหล่าเทพชั้นนิมมานรดี ฯลฯ ดุสิต ยามา ดาวดึงส์ จาตุมมหาราชิกา.
ผู้ใดยังต่ำกว่าเขาทั้งหมด. ผู้นั้นก็ไปเกิดเป็นหมู่คนธรรพ์. มหาชนโดยมาก

ได้เข้าถึงพรหมโลก และเข้าถึงสวรรค์ด้วยประการฉะนี้. เพราะฉะนั้น
เทวโลก และพรหมโลกจึงเต็มไปหมด. อบาย 4 ได้เป็นเหมือนจะสูญไป.
แม้ในมหาโควินทจริยานี้ ก็พึงทราบการกล่าวเจาะจงลงไปถึงโพธิ-
สัมภารดุจในอกิตติชาดก.
พระราชา 7 พระองค์ในครั้งนั้น ได้เป็นพระมหาเถระทั้งหลายใน
ครั้งนี้. บริษัทที่เหลือ คือพุทธบริษัท. มหาโควินทะ คือ พระโลกนาถ.
พึงประกาศคุณานุภาพ มีอาทิอย่างนี้ คือ การประดิษฐานในรัชกาล
ของตน ๆ โดยไม่ผิดพ้องหมองใจกันและกันของพระราชา 7 พระองค์ มี
พระราชาเรณุเป็นต้น. ความไม่ประมาทในการถวายอนุศาสน์อรรถและ
ธรรมแก่พระราชาเหล่านั้นใน 7 รัชกาลอันใหญ่หลวง. การสรรเสริญอัน
เป็นไปแล้วว่า พระโพธิสัตว์สนทนาแม้กับพระพรหม. การอยู่ประพฤติ
พรหมจรรย์ถึงความยอดเยี่ยมอย่างยิ่งตลอด 4 เดือนเพื่อทำความจริง. การ
ให้พระพรหมเข้ามาถึงตนด้วยการประพฤติพรหมจรรย์นั้น. การตั้งอยู่ใน
โอวาทของพระพรหมแล้ว ทอดทิ้งลาภสักการะอันพระราชา 7 พระองค์
และชาวโลกทั้งสิ้นนำเข้าไปให้ดุจก้อนน้ำลาย แล้วยึดมั่นในบรรพชาอัน
เป็นเครื่องหมายการบวชตามของบริษัท มีกษัตริย์และพราหมณ์เป็นต้น
นับไม่ถ้วน. การติดตามคำสอนของตนดุจคำสอนของพระพุทธเจ้าตลอดกาล
นาน.
จบ อรรถกถามหาโควินจริยาที่ 5

6. เนมิราชจิยา


ว่าด้วยจริยาวัตรของพระเจ้าเนมิราช


[6] อีกเรื่องหนึ่ง ในกาลเมื่อเราเป็นมหาราชา
พระนามว่าเนมิเป็นบัณฑิต ต้องการกุศลอยู่
ในพระนครมิถิลาอันอุดม ในกาลนั้น เราให้
สร้างศาลา 4 แห่ง อันมีหน้ามุขหลังละสี่ ๆ
เรายังทานให้เป็นไปในศาลานั้นแก่ เนื้อ นก
และนรชนเป็นต้น ยังมหาทาน คือ เครื่อง
นุ่งห่ม ที่นอน และโภชนะ คือ ข้าว และ
น้ำ ให้เป็นไปแล้วไม่ขาดสาย เปรียบเหมือน
เสวก เข้าไปหานายเพราะเหตุแห่งทรัพย์
ย่อมแสวงหานายที่พึงให้ยินดีได้ ด้วยกาย-
กรรม วจีกรรม และมโนภรรมฉันใด เราก็
ฉันนั้น จักแสวงหาพระสัพพัญญุตญาณในภพ
ทั้งปวง จึงยังสัตว์ทั้งหลายให้อิ่มหนำด้วยทาน
แล้วปรารถนาโพธิญาณอันอุดม ฉะนี้แล.

จบ เนมิราชจริยาที่ 6