เมนู

ปกิณณกกถา


เพื่อความฉลาดหลายประการในโพธิสมภารของกุลบุตรทั้งหลาย ผู้
ตั้งอยู่ในฐานะนั้นมีความอุตสาหะในการปฏิบัติเพื่อไปสู่มหาโพธิญาณ จึงควร
กล่าวปกิณณกกถาในบารมีทั้งปวง.
ในบารมีนั้นมีปัญหาดังต่อไปนี้ :- บารมีนั้นคืออะไร บารมีเพราะ
อรรถว่ากระไร บารมีมีกี่อย่าง ลำดับของบารมีเป็นอย่างไร อะไรเป็นลักษณะ
รสปัจจุปัฏฐานและปทัฏฐาน อะไรเป็นปัจจัย อะไรเป็นความเศร้าหมอง
อะไรเป็นความผ่องแผ้ว อะไรเป็นปฏิปักษ์ อะไรเป็นข้อปฏิบัติ อะไร
เป็นการจำแนก อะไรเป็นการสงเคราะห์ อะไรเป็นอุบายให้สำเร็จ ให้สำเร็จ
โดยกาลไหน อะไรเป็นอานิสงส์ และอะไรเป็นผลของบารมีเหล่านั้น.
คำตอบมีดังต่อไปนี้ :- บารมีคืออะไร ? บารมีคือคุณธรรมทั้งหลาย
มีทานเป็นต้น กำหนดด้วยความเป็นผู้ฉลาดในอุบาย คือกรุณาอันตัณหา
มานะ และทิฏฐิไม่เข้าไปกำจัด.
บารมีเพราะอรรถว่ากระไร ? พระมหาสัตว์พระโพธิสัตว์เป็นผู้ยอดยิ่ง
เพราะสูงกว่าสัตว์ด้วยการประกอบคุณวิเศษมีทานและศีลเป็นต้น ความเป็น
หรือการกระทำของพระโพธิสัตว์เหล่านั้นเป็นบารมี กรรมมีการบำเพ็ญเป็น
ต้น ก็เป็นบารมี.

อีกอย่างหนึ่งชื่อว่า ปรม เพราะอรรถว่าบำเพ็ญ ชื่อว่า โพธิสัตตะ< /B>
เพราะอรรถว่าเป็นผู้บำเพ็ญและเป็นผู้รักษาคุณทั้งหลายมีทานเป็นต้น. คุณ
ดังกล่าวมานี้ เป็นบารมีของผู้บำเพ็ญ. ภาวะก็ดี, กรรมก็ดีเป็นบารมีของ
ผู้บำเพ็ญ. กรรมมีการบำเพ็ญทานเป็นต้น ก็เป็นบารมีของพระโพธิสัตว์
ผู้บำเพ็ญ.
อีกอย่างหนึ่งบารมีย่อมผูกสัตว์อื่นไว้ในตนด้วยการประกอบคุณวิเศษ.
หรือบารมีย่อมขัดเกลาสัตว์อื่นให้หมดจดจากมลทินคือกิเลส. หรือบารมีย่อม
ถึงนิพพานอันประเสริฐที่สุดด้วยคุณวิเศษ หรือบารมีย่อมกำหนดรู้โลกอื่นดุจ
รู้โลกนี้ด้วยคุณวิเศษคือญาณอันเป็นการกำหนดแล้ว หรือบารมีย่อมตักตวง
คุณมีศีลเป็นต้นอื่น ไว้ในสันดานของตนเป็นอย่างยิ่ง. หรือบารมีย่อมทำลาย
ปฎิปักษ์อื่นจากธรรมกายอันเป็นอัตตา. หรือหมู่โจรคือกิเลสอันทำความ
พินาศแก่ตนนั้น เพราะเหตุนั้นจึงชื่อว่า ปรมะ. สัตว์ใดประกอบด้วยปรมะ
ดังกล่าวมานี้ สัตว์นั้นชื่อว่า มหาสัตว์. คำเป็นต้นว่า ปรมสฺส อยํ ดังนี้
ก็พึงประกอบตามนัยที่กล่าวมาแล้ว. หรือบารมีย่อมขัดเกลาคือย่อมบริสุทธิ์
ในฝั่งคือพระนิพพาน และยังสัตว์ทั้งหลายให้หมดจด. หรือบารมีย่อมผูก
ย่อมประกอบสัตว์ทั้งหลายไว้ในพระนิพพานนั้น. หรือบารมีย่อมไปย่อมถึง
ย่อมบรรลุถึงพระนิพพานนั้น. หรือบารมีย่อมกำหนดรู้ซึ่งพระนิพพานนั้น
ตามความเป็นจริง. หรือบารมีย่อมตักตวงซัดสัตว์ไว้ในพระนิพพานนั้น.
หรือบารมีย่อมกำจัดข้าศึกคือกิเลสของสัตว์ทั้งหลายไว้ในพระนิพพานนั้น.

ฉะนั้น จึงชื่อว่าบารมี. บุรุษใดบำเพ็ญบารมีดังกล่าวมานี้ บุรุษนั้นชื่อว่า
มหาบุรุษ.
ความเป็นหรือการการทำของมหาบุรุษนั้น ชื่อว่าความเป็นผู้มีบารมี.
กรรมมีการบำเพ็ญทานเป็นต้นก็เป็น ความเป็นผู้มีบารมี พึงทราบอรรถแห่ง
ศัพท์ว่าบารมีโดยนัยดังกล่าวนี้แล.
บารมีมีกี่อย่าง ? โดยย่อมี 10 อย่าง. บารมีเหล่านั้นปรากฏโดยสรุป
ในบาลี. สมดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า :-
ในกาลนั้นเราเลือกทานบารมี อันเป็นทาง
ใหญ่ ที่ท่านผู้แสวงหาคุณใหญ่แต่ก่อนประ-
พฤติมาแล้ว เป็นครั้งแรก ได้เห็นแล้ว.

ดังที่พระสารีบุตรทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
ธรรมอันทำให้เป็นพระพุทธเจ้ามีเท่าไรพระเจ้าข้า. พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัส
ว่า ดูก่อนสารีบุตร ธรรมอันทำให้เป็นพระพุทธเจ้ามี 10 ประการแล. ธรรม
10 ประการคืออะไรบ้าง ? ดูก่อนสารีบุตร ทาน ศีล เนกขัมมะ ปัญญา วิริยะ
ขันติ สัจจะ อธิษฐานะ เมตตา อุเบกขา เป็นธรรมทำให้เป็นพระพุทธเจ้า.
ดูก่อนสารีบุตร ธรรม 10 ประการเหล่านี้แล เป็นพุทธการกธรรม. พระ-
ผู้มีพระภาคเจ้าตรัสดังนี้แล้ว พระสุคตครั้นตรัสพุทธพจน์นี้ พระศาสดา
ตรัสคาถาประพันธ์ต่อไปว่า :-

บารมี 10 คือ ทาน ศีล เนกขัมมะ ปัญญา
วีริยะ ขันติ สัจจะ อธิษฐานะ เมตตา อุเบกขา.

แต่อาจารย์บางพวกกล่าวว่ามี 6 อย่าง. ท่านกล่าวดังนั้นด้วยการ
สงเคราะห์บารมีเหล่านั้น. การสงเคราะห์นั้นจักมีแจ้งข้างหน้า.
บทว่า กโม ในบทว่า โภ ตาสํ กโม ลำดับของบารมีเหล่านั้น
เป็นอย่างไร ? นี้เป็นลำดับแห่งเทศนา. อนึ่ง ลำดับนั้นเป็นเหตุแห่งการสมา-
ทานครั้งแรก. การสมาทานเป็นเหตุแห่งการค้นคว้า. ด้วยประการฉะนี้ จึง
เป็นอันแสดงโดยอาการค้นคว้าและสมาทานในเบื้องต้น. ในบารมีเหล่านั้น
ทานมีอุปการะมากแก่ศีลและทำได้ง่าย เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวทานนั้น
ไว้ในเบื้องต้น. ทานอันศีลกำหนด จึงมีผลมาก มีอานิสงส์มาก เพระเหตุนั้น
ท่านจึงกล่าวศีลในลำดับของทาน. ศีลอันเนกขัมมะกำหนด. เนกขัมมะอัน
ปัญญากำหนด. ปัญญาอันวีริยะกำหนด. วีริยะอันขันติกำหนด. ขันติอัน
สัจจะกำหนด. สัจจะอันอธิษฐานะกำหนด. อธิษฐานะอันเมตตากำหนด.
เมตตาอันอุเบกขากำหนด จึงมีผลมาก มีอานิสงส์มาก เพราะเหตุนั้น ท่าน
จึงกล่าวอุเบกขาในลำดับแห่งเมตตา. แต่พึงทราบว่า อุเบกขาอัน กรุณากำหนด
และกรุณาอันอุเบกขากำหนด. พระโพธิสัตว์ทั้งหลายมีมหากรุณา จึงเป็นผู้มี
อุเบกขาในสัตว์ทั้งหลายอย่างไร อาจารย์บางพวกกล่าวว่า พระโพธิสัตว์
ทั้งหลาย เป็นผู้วางเฉยตลอดอย่างใดอย่าหนึ่งในที่ควรวางเฉย. แต่ไม่วางเฉย
ในที่ทั้งปวง และโดยประการทั้งปวง ส่วนอาจารย์เหล่าอื่นกล่าวว่า พระ-

โพธิสัตว์ทั้งหลายไม่วางเฉยในสัตว์ทั้งหลาย. แต่วางเฉยในความไม่เหมาะสม
ที่สัตว์กระทำ.
อีกนัยหนึ่ง ท่านกล่าวทานในเบื้องต้นเพราะเป็นสิ่งทั่วไปแก่สรรพ-
สัตว์ โดยเป็นไปแม้ในชนเป็นอันมาก เพราะมีผลน้อยและเพราะทำได้ง่าย.
ท่านกล่าวศีลในลำดับของทาน เพราะความบริสุทธิ์ของผู้ให้และผู้รับด้วยศีล
เพราะกล่าวถึงการอนุเคราะห์ผู้อื่น แล้วกล่าวถึงความไม่เบียดเบียนผู้อื่น
เพราะกล่าวถึงธรรมที่ควรทำ แล้วกล่าวถึงธรรมที่ไม่ควรทำ เพราะกล่าว
ถึงเหตุแห่งโภคสมบัติ แล้วจึงกล่าวถึงเหตุแห่งภวสมบัติ. ท่านกล่าวเนกขัมมะ
ในลำดับของศีล เพราะความสำเร็จศีลสมบัติด้วยเนกขัมมะ เพราะกล่าวถึง
กายสุจริตและวจีสุจริต แล้วจึงกล่าวถึงมโนสุจริต เพราะศีลบริสุทธิ์ให้สำเร็จ
ฌานโดยง่าย เพราะกล่าวถึงความบริสุทธิ์ในความขวนขวายด้วยการละโทษ
ของกรรม แล้วกล่าวถึงความบริสุทธิ์แห่งอัธยาศัยด้วยการละโทษของกิเลส
และเพราะกล่าวถึงการละการครอบงำจิตด้วยการละความก้าวล่วง. ท่านกล่าว
ปัญญาในลำดับเนกขัมมะ เพราะความสำเร็จและความบริสุทธิ์แห่งเนกขัมมะ
ด้วยปัญญา เพราะกล่าวถึงความไม่มีปัญญาด้วยไม่มีฌาน. จริงอยู่ ปัญญามี
สมาธิเป็นปทัฏฐาน และสมาธิมีปัญญาเป็นปัจจุปัฏฐาน. เพราะกล่าวถึง
สมถนิมิต แล้วจึงกล่าวถึงอุเบกขานิมิต เพราะกล่าวถึงความฉลาดในอุบาย
อันทำประโยชน์แก่ผู้อื่นด้วยการตั้งใจทำประโยชน์เพื่อผู้อื่น. ท่านกล่าววีริยะ
ในลำดับของปัญญา เพราะความสำเร็จกิจด้วยปัญญาโดยปรารภความเพียร

เพราะกล่าวถึงความอดทนด้วยการเพ่งธรรมคือความสูญของสัตว์ แล้วจึง
กล่าวถึงความอัศจรรย์ของการปรารภเพื่อประโยชน์แก่สัตว์ เพราะกล่าวถึง
อุเบกขานิมิต แล้วจึงกล่าวถึงปัคคหนิมิต คือนิมิตในการประคับประคองจิต
และเพราะกล่าวถึงความใคร่ครวญก่อนทำแล้วจึงกล่าวถึงความเพียร เพราะ
ความเพียรของผู้ใคร่ครวญแล้วทำ ย่อมนำมาซึ่งผลวิเศษ.
ท่านกล่าวขันติในลำดับของความเพียร เพราะความสำเร็จแห่งความ
อดกลั้นด้วยความเพียร จริงอยู่คนมีความเพียรย่อมครอบงำทุกข์ที่สัตว์และ
สังขารนำเข้าไปเพราะปรารภความเพียรแล้ว. เพราะความเพียรเป็นอลัง-
การของความอดกลั้น จริงอยู่ ความอดกลั้นของผู้มีความเพียรย่อมงาม
เพราะกล่าวถึงปัคคหนิมิตแล้วจึงกล่าวถึงสมถนิมิต เพราะกล่าวถึงการละ
อุทธัจจและโทสะด้วยความเพียรยิ่ง จริงอยู่ อุทธัจจะและโทสะละได้ด้วย
ความอดทนในการเพ่งธรรม. เพราะกล่าวถึงการทำความเพียรติดต่อของผู้มี
ความเพียร. จริงอยู่ ผู้หนักด้วยขันติเป็นผู้ไม่ฟุ้งซ่านทำความเพียรติดต่อ
เพราะกล่าวถึงความไม่มีตัณหา เพื่อทำตอบในการปรารภทำประโยชน์เพื่อ
ผู้อื่นของผู้ไม่ประมาท. จริงอยู่ เมื่อความเพ่งธรรมตามความเป็นจริงมีอยู่
ตัณหาย่อมไม่มี. และเพราะกล่าวถึงความอดกลั้นทุกข์ที่ผู้อื่นทำในการปรารภ
ประโยชน์เพื่อผู้อื่น. ท่านกล่าวสัจจะในลำดับของขันติ เพราะขันติตั้งอยู่ได้
นานด้วยสัจจะ เพราะกล่าวถึงความอดทนต่อความเสียหายของผู้ทำความ
เสียหาย แล้วกล่าวถึงความไม่ผิดพลาดในการทำอุปการะนั้น. และ

เพราะกล่าวถึงความอดทนในการเพ่งธรรม คือความสูญของสัตว์ แล้วกล่าว
ถึงสัจจะอันเป็นญาณเพิ่มพูนขันตินั้น. ท่านกล่าวอธิษฐานในลำดับของสัจจะ
เพราะความสำเร็จแห่งสัจจะด้วยอธิษฐาน เพราะการงดเว้นย่อมสำเร็จ
แก่ผู้ตั้งใจไม่หวั่นไหว. เพราะกล่าวคำไม่ผิดความจริง แล้วกล่าวถึงความเป็น
ผู้ไม่หวั่นไหว ในการกล่าวคำไม่ผิดความจริงนั้น จริงอยู่ ผู้ไว้ใจได้หวั่น
ไหว ประพฤติตามสมควรแก่ปฏิญญาในทานเป็นต้น เพราะกล่าวญาณสัจจะ
แล้วจึงกล่าวถึงการเพ่งความเป็นไปในสัมภาระทั้งหลาย จริงอยู่ ผู้มีญาณ
ตามเป็นจริง ย่อมอธิษฐานโพธิสมภารทั้งหลาย และยังโพธิสมภารนั้นให้
สำเร็จ เพราะไม่หวั่นไหวด้วยปฏิปักษ์ทั้งหลาย. ท่านกล่าวเมตตาในลำดับ
แห่งอธิษฐาน เพราะความสำเร็จแห่งอธิษฐานด้วยการสมาทานทำประโยชน์
เพื่อผู้อื่นด้วยเมตตา เพราะกล่าวถึงอธิษฐานแล้วจึงกล่าวถึงการนำประโยชน์
เข้าไป เพราะผู้สำรวมในในโพธิสมภารเป็นผู้มีปกติอยู่ด้วยเมตตา. และเพราะ
ผู้มีอธิษฐานไม่หวั่นไหว ยังสมทานให้เจริญด้วยการไม่ทำลายสมาทาน.
ท่านกล่าวอุเบกขาในลำดับแห่งเมตตา เพราะความบริสุทธิ์แห่งเมตตาด้วย
อุเบกขา เพราะกล่าวถึงการนำประโยชน์ในสัตว์ทั้งหลาย แล้วจึงกล่าวถึง
ความไม่สนใจโทษผิดของผู้นั้น เพราะกล่าวถึงเมตตาภาวนา แล้วกล่าวถึง
ความเจริญอันเป็นผลของเมตตาภาวนานั้น และเพราะกล่าวถึงความเป็นคุณ
น่าอัศจรรย์ว่า ผู้วางเฉยแม้ในสัตว์ ผู้ใคร่ประโยชน์ พึงทราบลำดับแห่ง
บารมีทั้งหลายเหล่านั้นด้วยประการ ฉะนี้แล.

ในบทว่า อะไรเป็นลักษณะ รส ปัจจุปัฏฐาน และปทัฏฐานนี้พึง
ทราบความดังต่อไปนี้. โดยความไม่ต่างกัน บารมีแม้ทั้งหมดมีการอนุเคราะห์
ผู้อื่นเป็นลักษณะ มีการทำอุปการะแก่ผู้อื่นเป็นรส. หรือมีความไม่หวั่นไหว
เป็นรส. มีการแสวงหาสิ่งที่เป็นประโยชน์เป็นปัจจุปัฏฐาน หรือมีความเป็น
พระพุทธเจ้าเป็นปัจจุปัฏฐาน มีมหากรุณาเป็นปทัฏฐาน. หรือมีความเป็น
ผู้ฉลาดในอุบายแห่งกรุณาเป็นปทัฏฐาน
แต่โดยความต่างกัน เพราะเจตนาบริจาคเครื่องอุปกรณ์ของตนกำหนด
ด้วยความเป็นผู้ฉลาดในอุบายแห่งกรุณา เป็นทานบารมี. กายสุจริต วจีสุจริต
กำหนดด้วยความเป็นผู้ฉลาดในอุบายแห่งกรุณา และโดยใจความ เจตนา
เว้นสิ่งไม่ควรทำและสิ่งที่ควรทำเป็นต้นเป็นศีลบารมี. จิตเกิดขึ้นเพื่อจะ
ออกจากกามภพ มีการเห็นโทษเป็นอันดับแรก กำหนดด้วยความเป็นผู้ฉลาด
ในอุบายแห่งกรุณา เป็นเนกขัมมบารมี. ความเข้าใจถึงลักษณะวิเศษอันเสมอ
กันแห่งธรรมทั้งหลาย กำหนัดด้วยความเป็นผู้ฉลาดในอุบายแห่งกรุณา เป็น
ปัญญาบารมี. การปรารภถึงประโยชน์ของผู้อื่นด้วยกายสละจิต กำหนดด้วย
ความเป็นผู้ฉลาดในอุบายแห่งกรุณา เป็นวีริยบารมี. การอดกลั้นโทษของสัตว์
และสังขารกำหนดด้วยความเป็นผู้ฉลาดในอุบายแห่งกรุณา การตั้งอยู่ใน
อโทสะ จิตเกิดขึ้นเป็นไปในอาการของอโทสะนั้น เป็นขันติบารมี. การพูด
ไม่ผิดมีวิรัติเจตนาเป็นต้น กำหนดด้วยความเป็นผู้ฉลาดในอุบายแห่งกรุณา
เป็นสัจบารมี. การตั้งใจสมาทานไม่หวั่นไหว กำหนดด้วยความเป็นผู้ฉลาด

ในอุบายแห่งกรุณา จิตเกิดขึ้นเป็นไปในอาการแห่งความตั้งใจสมาทานไม่
หวั่นไหวนนั้น เป็นอธิษฐานบารมี. การนำประโยชน์สุขให้แก่โลก กำหนด
ด้วยความเป็นผู้ฉลาดในอุบายแห่งกรุณา โดยถือความไม่พยาบาท เป็นเมตตา-
บารมี. การกำจัดความเสื่อมและความเคียดแค้น กำหนดด้วยความเป็นผู้ฉลาด
ในอุบายแห่งกรุณา. ความเป็นไปเสมอในสัตว์และสังขารทั้งหลายทั้งที่น่า
ปรารถนาและไม่น่าปรารถนา เป็นอุเบกขาบารมี.
ฉะนั้นทานบารมี มีการบริจาคเป็นลักษณะ มีการกำจัดโลกในไทย
ธรรมเป็นรส. มีความสามารถเป็นปัจจุปัฏฐาน. หรือมีภวสมบัติและวิภว-
สมบัติเป็นปัจจุปัฏฐาน. มีวัตถุอันควรบริจาคเป็นปทัฏฐาน. ศีลบารมี มีการ
ละเว้นลักษณะ. ท่านอธิบายว่า มีการสมาทานเป็นลักษณะ และมีการตั้ง
มั่นเป็นลักษณะ. มีการกำจัดความเป็นผู้ทุศีลเป็นรส. หรือมีความไม่มีโทษ
เป็นรส. มีความสะอาดเป็นปัจจุปัฏฐาน. มีหิริโอตตัปปะเป็นปทัฏฐาน.
เนกขัมมบารมี มีการออกจากกามและจากความมีโชคเป็นลักษณะ. มีการ
ประกาศโทษของถามนั้นเป็นรส. มีความหันหลังจากโทษนั้นเป็นปัจจุปัฏ-
ฐาน. มีความสังเวชเป็นปทัฏฐาน. ปัญญาบารมี มีการรู้แจ้งแทงตลอดตาม
สภาวธรรมเป็นลักษณะ. หรือการรู้แจ้งแทงตลอดไม่พลาดเป็นลักษณะ ดุจ
การซัดธนูและยิงด้วยลูกศรของคนฉลาด. มีแสงสว่างตามวิสัยเป็นรสดุจ
ประทีป. มีความไม่หลงเป็นปัจจุปัฏฐาน. ดุจคนนำทางไปในป่า. มีสมาธิ
เป็นปทัฏฐาน. หรือมีอริยสัจ 4 เป็นปทัฏฐาน. วีริยบารมี มีอุตสาหะเป็น

ลักษณะ. มีการอุปถัมภ์เป็นรส. มีการไม่จมเป็นปัจจุปัฏฐาน. มีวัตถุปรารภ
ความเพียรเป็นปทัฏฐาน. หรือมีความสังเวชเป็นปทัฏฐาน. ขันติบารมี มี
ความอดทนเป็นลักษณะ. มีความอดกลั้นสิ่งที่น่าปรารถนาและไม่น่า
ปรารถนาเป็นรส. มีความอดกลั้นเป็นปัจจุปัฏฐาน. หรือมีความไม่โกรธเป็น
ปัจจุปัฏฐาน. มีเห็นตามความจริงเป็นปทัฏฐาน. สัจจบารมี มีการไม่พูดผิด
เป็นลักษณะ. มีการประกาศตามความเป็นจริงเป็นรส. มีความชื่นใจเป็น
ปัจจุปัฏฐาน. มีความสงบเสงี่ยมเป็นปทัฏฐาน. อธิษฐานบารมี มีความตั้งใจ
ในโพธิสมภารเป็นลักษณะ. มีการครอบงำสิ่งเป็นปฏิปักษ์ของโพธิสมภาร
เหล่านั้นเป็นรส. มีความไม่หวั่นไหวในการครอบงำสิ่งเป็นปฏิปักษ์เป็นปัจจุ-
ปัฏฐาน. มีโพธิสมภารเป็นปทัฏฐาน. เมตตบารมี มีความเป็นไปแห่งอาการ
เป็นประโยชน์เป็นลักษณะ. มีการนำประโยชน์เข้าไปเป็นรส. หรือมีการ
กำจัดความอาฆาตเป็นรส. มีความสุภาพเป็นปัจจุปัฏฐาน. มีการเห็นสัตว์
ทั้งหลายเป็นที่น่าพอใจเป็นปทัฏฐาน. อุเบกขาบารมี มีความเป็นไปโดยอาการ
ที่เป็นกลางเป็นลักษณะ. มีเห็นความเสมอกันเป็นรส. มีการสงบความเคียด
แค้นและความเสื่อมเป็นปัจจุปัฏฐาน. มีการพิจารณาความที่สัตว์มีกรรมเป็น
ของตนเป็นปทัฏฐาน.
อนึ่งในบทนี้ ควรกล่าวถึงบารมีโดยความต่างกันแห่งลักษณะ มีการ
บริจาคเป็นต้น ของทานเป็นต้น เพราะกำหนดด้วยความเป็นผู้ฉลาดใน
อุบายแห่งกรุณา. จริงอยู่ทานเป็นต้น กำหนดด้วยความเป็นผู้ฉลาดในอุบาย

แห่งกรุณา เป็นไปแล้วในสันดานของพระโพธิสัตว์ ชื่อว่าบารมี มีทานบารมี
เป็นต้น.
อะไรเป็นปัจจัย. อภินิหารเป็นปัจจัยแห่งบารมีทั้งหลาย. จริงอยู่
อภินิหารใด ยังธรรมสโมธาน 8 ให้ถึงพร้อม ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้า
ตรัสไว้อย่างนี้ว่า :-
อภินิหารย่อมสำเร็จเพราะธรรมสโมธาน
8 ประการ คือ ความเป็นมนุษย์ 1 ลิงค-
สมบัติ 1 เหตุ 1 เห็นศาสดา 1 บรรพชา 1
คุณสมบัติ 1 อธิการ 1 ความพอใจ 1.

อันเป็นไปแล้วโดยนัยมีอาทิว่า เราข้ามแล้วพึงให้สัตว์ข้าม เราพ้น
แล้วพึงให้สัตว์พ้น เราฝึกแล้วพึงให้สัตว์ฝึก เราสงบแล้วพึงให้สัตว์สงบ
เราหายใจคล่องแล้วพึงให้สัตว์หายใจคล่อง เรานิพพานแล้วพึงให้สัตว์
นิพพาน เราบริสุทธิ์แล้วพึงให้สัตว์บริสุทธิ์ เราตรัสรู้แล้วพึงให้สัตว์
ตรัสรู้ ดังนี้. อภินิหารนั้นเป็นปัจจัยแห่งบารมีทั้งปวงโดยไม่ต่างกัน . ความ
สำเร็จแห่งการค้นคว้า การตั้งมั่น การตั้งใจสมาทานบารมีให้สูงขึ้นไป
เพราะความเป็นไปแห่งปัจจัยนั้น ย่อมมีแก่พระมหาบุรุษทั้งหลาย.
ในบทเหล่านั้น บทว่า มนุสฺสตฺตํ คืออัตภาพของมนุษย์. เพราะ
ความปรารถนา ย่อมสำเร็จแก่ผู้ตั้งอยู่ในอัตภาพของมนุษย์เท่านั้นแล้ว

ปรารถนาความเป็นพระพุทธเจ้า. ไม่สำเร็จแก่ผู้ตั้งอยู่ในชาติมีนาค และ
ครุฑเป็นต้น. ถ้าถามว่าเพราะเหตุไร ? ตอบว่า เพราะสมควรแก่ความเป็น
พระพุทธเจ้า.
บทว่า ลิงฺคสมฺปตฺติ ความว่า แม้ตั้งอยู่ในอัตภาพของมนุษย์
ความปรารถนาย่อมสำเร็จแก่บุรุษเท่านั้น, ไม่สำเร็จแก่สตรี บัณเฑาะก์
คือกะเทย นปุงสกะ คือไม่มีเพศชายหญิง อุภโตพยัญชนกะ คือปรากฏทั้ง
สองเพศ. ถ้าถามว่าเพราะอะไร ? ตอบว่า เพราะเหตุตามที่ได้กล่าวแล้ว
และเพราะไม่มีความบริบูรณ์แห่งลักษณะ. สมดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัส
ไว้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อันการที่สตรีจะพึงเป็นพระอรหันตสัมมาสัม-
พุทธเจ้านั้น มิใช่ฐานะ มิใช่โอกาสที่จะเป็นได้. เพราะฉะนั้น ความ
ปรารถนาจึงไม่สำเร็จ แม้แก่มนุษย์ผู้ตั้งอยู่ในเพศสตรี หรือแก่บัณเฑาะก์
เป็นต้น.
บทว่า เหตุ คือถึงพร้อมด้วยอุปนิสัย. จริงอยู่ ความปรารถนา
ย่อมสำเร็จแก่มนุษย์บุรุษผู้สมบูรณ์ด้วยอุปนิสัย เพราะเหตุสมบัติ. นอกนั้น
ไม่สำเร็จ.
บทว่า สตฺถารทสฺสนํ คือความมีพระศาสดาอยู่เฉพาะหน้า. เพราะ
ความปรารถนาย่อมสำเร็จแก่ผู้ปรารถนาในสำนักของพระพุทธเจ้า ซึ่งยังทรง
พระชนม์อยู่. เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าปรินิพพานแล้ว ความปรารถนาย่อม
ไม่สำเร็จในสำนักของพระเจดีย์ ที่โคนโพธิ์ ที่พระปฏิมา หรือที่สำนัก

ของพระปัจเจกพุทธเจ้าและสาวกของพระพุทธเจ้า. เพราะเหตุไร ? เพราะ
ไม่มีอธิการ คือวิสัยที่ทำยิ่ง มีกำลัง. ความปรารถนาจะสำเร็จในสำนักของ
พระพุทธเจ้าเท่านั้น. เพราะอธิการนั้นยังไม่ถึงความมีกำลังโดยความเป็น
อัธยาศัยอันยิ่ง.
บทว่า ปพฺพชฺชา คือความปรารถนาย่อมสำเร็จแก่ผู้ปรารถนาใน
สำนักของพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ตรัสรู้แล้ว ผู้บวชในสำนักดาบสหรือในสำนัก
ของภิกษุทั้งหลาย ผู้เป็นกรรมกิริยวาที คือผู้เชื่อกรรมและผลของกรรม.
ไม่สำเร็จแก่ผู้ตั้งอยู่ในเพศคฤหัสถ์. เพราะเหตุไร ? เพราะไม่สมควรเป็น
พระพุทธเจ้า. เพราะบรรพชิตเท่านั้นเป็นพระมหาโพธิสัตว์ ย่อมบรรลุ
สัมมาสัมโพธิญาณได้ มิใช่เป็นคฤหัสถ์ เพราะฉะนั้น ในเวลาตั้งปณิธาน
ควรเป็นเพศของบรรพชิตเท่านั้น เพราะเป็นการอธิษฐานด้วยคุณสมบัติ
โดยแท้.
บทว่า คุณสมฺปตฺติ คือถึงพร้อมด้วยคุณมีอภิญญาเป็นต้น. เพราะ
ความปรารถนาย่อมสำเร็จแม้แก่บรรพชิต ผู้ได้สมาบัติ 8 มีอภิญญา 5
เท่านั้น. ไม่สำเร็จแก่ผู้ปราศจากคุณสมบัติตามที่กล่าวแล้ว. เพราะเหตุไร ?
เพราะสามารถค้นคว้าบารมีได้. พระมหาบุรุษบำเพ็ญอภินิหาร เป็นผู้สามารถ
ค้นคว้าบารมีได้ด้วยตนเอง เพราะประกอบด้วยอุปนิสัยสมบัติและอภิญญา-
สมบัติ.
บทว่า อธิกาโร คือมีอุปการะยิ่ง. จริงอยู่ ผู้ใดแม้ถึงพร้อมด้วย
คุณสมบัติตามที่กล่าวแล้ว แม้ชีวิตของตนก็สละแด่พระพุทธเจ้าได้ ย่อมทำ

อุปการะอันยิ่งในกาลนั้น. อภินิหารย่อมสำเร็จแก่ผู้นั้น. ไม่สำเร็จแก่คน
นอกนี้.
บทว่า ฉนฺทตา คือพอใจในกุศลด้วยความใคร่ที่จะทำ. จริงอยู่
ความปรารถนาย่อมสำเร็จแก่ผู้ประกอบด้วยธรรมตามที่กล่าวแล้ว มีความ
พอใจมาก มีความปรารถนามาก มีความใคร่เพื่อจะทำมาก เพื่อประโยชน์
แก่ธรรมอันทำให้เป็นพระพุทธเจ้าเท่านั้น. ไม่สำเร็จแก่คนนอกนี้.
ต่อไปนี้เป็นความเปรียบเทียบ เพราะความเป็นผู้มีฉันทะใหญ่. พึง
ทราบความที่ฉันทะเป็นความใหญ่หลวง ในบทว่า ฉนฺทตา นี้ โดยนัยมี
อาทิดังต่อไปนี้ :- บุคคลฟังมาว่า ผู้ใดสามารถข้ามท้องจักรวาลนี้ทั้งสิ้นอันมี
น้ำท่วมนองเป็นอันเดียวกัน ด้วยกำลังแขนของตนเท่านั้นแล้วจะถึงฝั่งได้
ผู้นั้นย่อมถึงความเป็นพระพุทธเจ้า แล้วไม่ย่อท้อเพราะทำได้ยาก กลับ
พอใจว่า เราจักข้ามถึงฝั่งได้. ไม่แสดงอาการสยิ้วหน้าในกาลนั้นเลย
อนึ่ง บุคคลฟังมาว่า ผู้ใดเหยียบจักรวาลนี้ทั้งสิ้นอันเต็มไปด้วยถ่านเพลิง
ปราศจากเปลวไฟ ปราศจากควันไฟด้วยเท้าทั้งสองสามารถก้าวเลยไปถึงฝั่ง
ได้. ผู้นั้นย่อมถึงความเป็นพระพุทธเจ้า. แล้วไม่ย่อท้อเพราะทำได้ยาก
กลับพอใจว่า เราจักก้าวเลยไปถึงฝั่งได้. เขาไม่แสดงอาการสยิ้วหน้าใน
การนั้นเลย. อนึ่ง บุคคลฟังมาว่า ผู้ใดสามารถทะลุจักรวาลทั้งสิ้นปกคลุม
ด้วยพุ่มไม้ไผ่หนาทึบ รกรุงรังไปด้วยป่าหนามและเถาวัลย์ แล้วก้าวเลยไป
ถึงฝั่งได้ ฯลฯ เขาไม่แสดงอาการสยิ้วหน้าในการนั้นเลย. อนึ่ง บุคคลฟัง

มาว่า ผู้ใดที่หมกไหม้ในนรกตลอดอสงไขยแสนกัป จะพึงบรรลุความเป็น
พระพุทธเจ้าแล้วไม่ย่อท้อเพราะได้ยากกลับพอใจว่า เราจักหมกไหม้ในนรก
นั้น แล้วบรรลุความเป็นพระพุทธเจ้า. เขาไม่แสดงอาการสยิ้วหน้าในการ
นั้นเลย.
อภินิหารประกอบด้วยองค์ 8 นี้ อย่างนี้โดยเนื้อความพึงทราบว่า
จิตตุปบาทที่เป็นไปอย่างนั้น เพราะประชุมองค์ 8 เหล่านั้น. จิตตุปบาทนั้น
มีการตั้งใจแน่วแน่เพื่อสัมมาสัมโพธิญาณโดยชอบนั่นเอง เป็นลักษณะ.
มีความปรารถนามีอาทิอย่างนี้ว่า โอ เราพึงตรัสรู้พระสัมมาสัมโพธิญาณ
เป็นลำดับไป. เราพึงยังประโยชน์สุขให้สำเร็จแก่สัตว์ เป็นรส. มีความ
เป็นเหตุแห่งโพธิสัมภารเป็นปัจจุปัฏฐาน. มีมหากรุณาเป็นปทัฏฐาน. หรือ
มีอุปนิสัยสมบัติเป็นปทัฏฐาน.
พึงเห็นว่า บุญวิเศษอันเป็นมูลแห่งธรรมอันทำให้เป็นพระพุทธเจ้า
ทั้งปวงเป็นความเจริญอย่างยิ่ง เป็นความงามอย่างยิ่ง เป็นความสง่าหา
ประมาณมิได้ โดยความเป็นไปปรารภพุทธภูมิอันเป็นอจินไตย และ
ประโยชน์ของสัตวโลกอันหาประมาณมิได้
อนึ่ง พระมหาบุรุษพร้อมด้วยการบรรลุนั้นแล เป็นผู้ชื่อว่าหยั่งลง
สู่การปฏิบัติเพื่อบรรลุมหาโพธิญาณ ย่อมได้สมัญญาว่า พระโพธิสัตว์
เพราะมีสภาพไม่กลับจากนั้น เพราะบรรลุความเป็นของแน่นอน ความ

เป็นผู้เอาใจใส่สม่ำเสมอในสัมมาสัมโพธิญาณโดยภาวะทั้งปวง และความ
เป็นผ้สามารถศึกษาโพธิสมภารย่อมตั้งอยู่พร้อมแก่พระมหาบุรุษนั้น จริงอยู่
พระมหาบุรุษทั้งหลายค้นคว้าบารมีทั้งปวงโดยชอบ ด้วยยังอภินิหารตามที่
กล่าวแล้วให้สำเร็จ ด้วยบรรลุพระสัพพัญญุตญาณ อันมีเพศเป็นเบื้องต้น
ด้วยสยัมภูญาณ แล้วบรรลุโดยลำดับด้วยการถือมั่น. เหมือนสุเมธบัณฑิต
ผู้บำเพ็ญอภินิหารไว้มากปฏิบัติแล้ว. ดังที่ท่านกล่าวไว้ว่า :-
ดูเถิด เราค้นหาธรรมอันทำให้เป็นพระ-
พุทธเจ้าจากที่โน้นที่นี่ ทั้งเบื้องบน เบื้องต่ำ
ตลอด 10 ทิศ จนถึงธรรมธาตุ เมื่อเราค้น
หาในครั้งนั้นได้เห็นทานบารมีเป็นอันดับแรก.

ได้ยินว่า พึงทราบปัจจัย 4 เหตุ 4 และพละ 4 แห่งอภินิหาร
นั้น.
ในอภินิหารนั้น ปัจจัย 4 เป็นอย่างไร ? พระมหาบุรุษในโลกนี้
ย่อมเห็นพระตถาคต ทรงกระทำปาฏิหาริย์น่าอัศจรรย์ ไม่เคยมีด้วยพุทธา-
นุภาพยิ่งใหญ่ จิตของพระมหาบุรุษนั้นย่อมตั้งอยู่ในมหาโพธิญาณ กระทำ
ปาฏิหาริย์นั้นให้เป็นอารมณ์ เพราะอาศัยพระตถาคตนั้นว่า พระผู้มีพระภาค-
เจ้ามีธรรมน่าอัศจรรย์ ไม่เคยมีและอานุภาพเป็นอจินไตยอย่างนี้ เพราะรู้

แจ้งแทงตลอด ธรรมธาตุใดธรรมธาตุนี้ มีอานุภาพมากหนอ. พระมหาบุรุษ
นั้นน้อมไปในสัมโพธิญาณนั้น ทำธรรมธาตุนั้นให้เป็นปัจจัยอาศัยการเห็น
มหานุภาพนั้นนั่นแลย่อมตั้งจิตไว้ในอภินิหารนั้น. นี้เป็นปัจจัยที่ 1 แห่ง
มหาภินิหาร.
มหาบุรุษย่อมไม่เห็นความที่พระตถาคตมีอานุภาพใหญ่ตามที่กล่าว
แล้ว แต่ฟังว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นเช่นนี้และเป็นเช่นนี้ ดังนี้. พระ-
มหาบุรุษนั้นน้อมไปในสัมโพธิญาณ ทำธรรมธาตุนั้นให้เป็นปัจจัย อาศัย
พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น ย่อมตั้งจิตไว้ในอภินิหารนั้น. นี้เป็นปัจจัยที่ 2
แห่งมหาภินิหาร.
มหาบุรุษย่อมไม่เห็นความที่พระตถาคตนั้นมีอานุภาพใหญ่ ตามที่
กล่าวแล้ว. ทั้งไม่ได้ฟังมหานุภาพนั้นจากผู้อื่น. แต่เมื่อพระตถาคตทรง
แสดงธรรม มหาบุรุษย่อมฟังธรรมปฏิสังยุตด้วยพุทธานุภาพโดยนัยมีอาทิว่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ตถาคตประกอบด้วยกำลัง 10 ดังนี้. มหาบุรุษนั้น
น้อมไปในสัมโพธิญาณ ทำธรรมธาตุนั้นให้เป็นปัจจัยอาศัยพุทธานุภาพนั้น
ย่อมตั้งจิตไว้ในอภินิหารนั้น. นี้เป็นปัจจัยที่ 3 แห่งมหาภินิหาร.
มหาบุรุษย่อมไม่เห็นความที่พระตถาคตนั้นมีอานุภาพใหญ่ ตามที่
กล่าวแล้ว. ทั้งไม่ได้ฟังอภินิหารนั้นจากผู้อื่น. ทั้งไม่ได้ฟังธรรมของ
พระตถาคต. แต่เป็นผู้มีอัธยาศัยกว้างขวาง มีความตั้งใจงามคิดว่า เราจัก
รักษาวงศ์ของพระพุทธเจ้า แบบแผนของพระพุทธเจ้า ประเพณีของ

พระพุทธเจ้า ความเป็นธรรมของพระพุทธเจ้า แล้วสักการะ เคารพนับถือ
บูชาธรรมเท่านั้น ประพฤติธรรม น้อมไปในสัมโพธิญาณ ทำธรรมธาตุ
นั้นให้เป็นปัจจัย อาศัยธรรมนั้นย่อมตั้งจิตไว้ในอภินิหารนั้น. นี้เป็นปัจจัย
ที่ 4 แห่งมหาภินิหาร.
เหตุ 4 แห่งมหาภินิหารเป็นอย่างไร ? มหาบุรุษในโลกนี้ตามปกติ
เป็นผู้สมบูรณ์ด้วยอุปนิสัย สร้างสมอธิการในพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ใน
ครั้งก่อน. นี้เป็นเหตุที่ 1 แห่งมหาภินิหาร. ยังมีข้ออื่นอีก มหาบุรุษ
ตามปกติเป็นผู้มีอัธยาศัยกรุณา น้อมไปในกรุณา ประสงค์จะนำทุกข์ของ
สัตว์ทั้งหลายออกไป สละกายและชีวิตของตน. นี้เป็นเหตุที่ 2 แห่งมหา-
ภินิหาร. ยังมีข้ออื่นอีก มหาบุรุษเพียรพยายามไม่เบื่อหน่ายจากวัฏฏทุกข์
แม้ทั้งสิ้นและจากการประพฤติกิจที่ทำได้ยากเพื่อประโยชน์แก่สัตว์ ตลอด
กาลนาน ไม่หวาดสะดุ้ง ตลอดถึงสำเร็จประโยชน์ที่ปรารถนา. นี้เป็นเหตุ
ที่ 3 แห่งมหาภินิหาร. ยังมีข้ออื่นอีก มหาบุรุษเป็นผู้อาศัยกัลยาณมิตร
ผู้ที่ห้ามจากสิ่งไม่เป็นประโยชน์ ให้ตั้งอยู่ในสิ่งเป็นประโยชน์. นี้เป็นเหตุ
ที่ 4 แห่งมหาภินิหาร.
พึงทราบอุปนิสสัยสัมปทาของมหาบุรุษ ดังต่อไปนี้ . อัธยาศัยของ
มหาบุรุษนั้น น้อมไป โน้มไป โอนไปในสัมโพธิญาณโดยส่วนเดียวเท่านั้น
ฉันใด การประพฤติประโยชน์แก่สัตว์ทั้งหลายก็ฉันนั้น เพราะมหาบุรุษนั้น

ทำความตั้งใจแน่วแน่เพื่อสัมโพธิญาณในสำนักของพระพุทธเจ้าในกาลก่อน
ด้วยใจและวาจาว่า แม้เราก็จะเป็นเช่นกับพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พึงยัง
ประโยชน์สุขให้สำเร็จแก่สัตว์ทั้งหลายโดยชอบนั่นแล. มหาบุรุษมีอุปนิสัย
สมบูรณ์อย่างนี้ ความวิเศษใหญ่ การกระทำต่างใหญ่ ด้วยสาวกโพธิสัตว์และ
ปัจเจกโพธิสัตว์ของมหาบุรุษผู้ประกอบด้วยเพศ ปรากฏด้วยอุปนิสสยสมบัติ
ย่อมปรากฏจากอินทรีย์ การปฏิบัติและความเป็นผู้ฉลาด. คนนอกนี้มิได้
ปฏิบัติเหมือนอย่างมหาบุรุษในโลกนี้ผู้ถึงพร้อมด้วยอุปนิสสัยมีอินทรีย์
บริสุทธิ์ มีญาณบริสุทธิ์ มหาบุรุษเป็นผู้ปฏิบัติเพื่อประโยชน์ผู้อื่น. มิใช่เพื่อ
ประโยชน์ตน. เป็นความจริงดังนั้น คนนอกนี้มิได้ปฏิบัติเหมือนอย่าง
มหาบุรุษนั้นปฏิบัติเพื่อประโยชน์ เพื่อสุขแก่ชนเป็นอันมาก เพื่ออนุเคราะห์
โลก เพื่อประโยชน์ เพื่อเกื้อกูล เพื่อความสุขแก่เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย
อนึ่ง มหาบุรุษย่อมนำมาซึ่งความเป็นผู้ฉลาดในประโยชน์สุขนั้น ด้วย
ปฏิภาณอันเกิดขึ้นตามฐานะ และเพราะความเป็นผู้ฉลาดในฐานะ และ
อฐานะ.
อนึ่ง พึงทราบลักษณะแห่งทานบารมีของมหาบุรุษผู้มีอัธยาศัยใน
ทาน มีอาทิว่า มหาบุรุษตามปกติเป็นผู้มีอัธยาศัยในทาน ยินดีในทาน เมื่อ
มีไทยธรรมย่อมให้ทีเดียว. ไม่เบื่อหน่ายจากการเป็นผู้มีปกติแจกจ่ายเนือง ๆ
สม่ำเสมอ มีความเบิกบาน เอื้อเฟื้อให้ มีความสนใจให้. ครั้นให้ทาน
แม้มากมาย ก็ยังไม่พอใจด้วยการให้. ไม่ต้องพูดถึงให้น้อยละ. อนึ่ง เมื่อ
จะยังอุตสาหะให้เกิดแก่ผู้อื่น ย่อมกล่าวถึงคุณในการให้. แสดงธรรม

ปฏิสังยุตด้วยการให้. อนึ่ง เห็นคนอื่นให้แก่คนอื่นก็พอใจ. ให้อภัยแก่คน
อื่นในฐานะที่เป็นภัย.
อนึ่ง พึงทราบลักษณะแห่งศีลบารมี ของมหาบุรุษผู้มีอัธยาศัยในศีล
มีอาทิอย่างนี้ว่า มหาบุรุษย่อมละอายย่อมกลัว ธรรมลามกมีการฆ่าสัตว์
เป็นต้น. เป็นผู้ไม่เบียดเบียนสัตว์ทั้งหลาย เป็นผู้ยินดีในธรรมงาม มีศีล
ไม่โอ้อวด ไม่มีมายา ชื่อตรง ว่าง่าย ประกอบด้วยธรรมอันทำให้เป็นผู้ว่าง่าย
อ่อนโยน ไม่กระด้าง ไม่ดูหมิ่นท่าน ไม่ถือเอาของคนอื่นโดยที่สุดเส้นหญ้า
หรือเมื่อคนอื่นลืมของไว้ในที่อยู่ของตน บอกให้เขารู้แล้วมอบให้โดยไม่เอา
ของของคนอื่นเก็บไว้. ไม่เป็นผู้โลภ. แม้จิตลามกในการถือเอาของคนอื่น
ก็ไม่ให้เกิดขึ้น. เว้นการทำลายหญิงเป็นต้นเสียแต่ไกล. พูดจริงไว้ใจได้ สมาน
คนที่แตกกัน เพิ่มสิ่งที่เป็นประโยชน์ให้ พูดน่ารักยิ้มแย้มแจ่มใส พูดเป็น
อรรถ พูดเป็นธรรม ไม่มีความอยากได้ ไม่มีใจพยาบาท มีความเห็นไม่
วิปริต ด้วยรู้ความที่สัตว์มีกรรมเป็นของตนด้วยกำหนดรู้อริยสัจ มีความ
กตัญญูกตเวที อ่อนน้อมต่อผู้เจริญ มีอาชีพบริสุทธิ์ ใคร่ธรรม ชักชวน
คนอื่นในธรรม ห้ามสัตว์ทั้งหลายจากสิ่งที่ไม่ควรทำด้วยประการทั้งปวง ให้
ตั้งอยู่ในสิ่งที่ควรทำ ประกอบความเพียรในกิจนั้นด้วยตน ครั้นทำสิ่งไม่
ควรทำด้วยตนเอง รีบเว้นจากสิ่งนั้นทันที.
อนึ่ง พึงทราบลักษณะแห่งเนกขัมมบารมีเป็นต้น ด้วยอำนาจแห่ง
อัธยาศัยในเนกขัมมะเป็นต้น ของมหาบุรุษมีอาทิอย่างนี้ว่า มหาบุรุษเป็น

ผู้มีกิเลสเบาบาง มีนิวรณ์เบาบาง มีอัธยาศัยในความสงัด ไม่ฟุ้งซ่าน.
วิตกลามก ไม่ไหลเข้าไปยังจิตของมหาบุรุษนั้น. อนึ่ง จิตของมหาบุรุษนั้น
ถึงความสงัดตั้งมั่นโดยไม่ยาก. ความเป็นผู้มีจิตเมตตาย่อมตั้งอยู่แม้ในฝ่ายที่
เป็นศัตรูอย่างเร็ว. ไม่ต้องพูดถึงคนนอกนี้ เป็นผู้มีสติ ระลึกถึงสิ่งที่ทำ
แม้คำพูดนานแล้วได้. เป็นผู้มีปัญญา ประกอบด้วยปัญญามีโอชะเกิดแต่
ธรรม. เป็นผู้เฉลียวฉลาดในกิจที่ควรท่านั้น ๆ. เป็นผู้ปรารภความเพียรใน
การทำประโยชน์แก่สัตว์ทั้งหลาย. เป็นผู้ประกอบด้วยกำลังขันติอดกลั้นได้
ทั้งหมด. เป็นผู้มีความตั้งใจไม่หวั่นไหว มีสมาทานมั่นคงและเป็นผู้วางเฉย
ในธรรมทั้งหลายอันเป็นที่ตั้งแห่งอุเบกขา.
เมื่อมหาบุรุษประกอบด้วยลักษณะแห่งโพธิสมภารเหล่านี้ ด้วย
ประการฉะนี้ ท่านจึงกล่าวว่า การอาศัยกัลยาณมิตรเป็นเหตุแห่งมหาภินิหาร
ดังนี้. กัลยาณมิตรในโลกนี้ เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยศรัทธา ศีล สุตะ จาคะ
วีริยะ สติ สมาธิ ปัญญา. เชื่อการตรัสรู้ของพระตถาคตและผลของกรรม
ด้วยศรัทธาสมบัติ. ไม่สละการแสวงประโยชน์ให้สัตว์ทั้งหลายอันเป็นเหตุ
แห่งสัมมาสัมโพธิญาณ. เป็นที่รัก เป็นที่ชอบใจ เป็นที่เคารพน่ายกย่องของ
สัตว์ทั้งหลาย เป็นผู้คอยตักเตือน ติเตียนความชั่ว คอยว่ากล่าว อดทนต่อ
ถ้อยคำด้วยศีลสมบัติ. เป็นผู้กล่าวธรรมลึกซึ้งนำมาซึ่งประโยชน์สุขแก่สัตว์
ทั้งหลายด้วยสุตสมบัติ. เป็นผู้มักน้อย สันโดษ สงัด ไม่คลุกคลีด้วยจาค
สมบัติ. เป็นผู้ปรารภความเพียรในการปฏิบัติเพื่อประโยชน์ของสัตว์ทั้งหลาย

ด้วยวีริยสมบัติ. เป็นผู้มีสติตั้งมั่นในธรรมอันไม่มีโทษด้วยสติสมบัติ. เป็น
ผู้ไม่ฟุ้งซ่านมีจิตตั้งมั่นด้วยสมาธิสมบัติ. ย่อมรู้ความไม่วิปริตด้วยปัญญา-
สมบัติ. มหาบุรุษนั้นแสวงหาคติแห่งกุศลธรรมและอกุศลธรรมด้วยสติ รู้
ประโยชน์และมิใช่ประโยชน์ของสัตว์ทั้งหลาย ตามความเป็นจริงด้วยปัญญา
มีจิตเป็นหนึ่งในธรรมนั้นด้วยสมาธิ ห้ามสัตว์ทั้งหลายจากสิ่งไม่เป็นประ-
โยชน์ แล้วให้ประกอบในสิ่งเป็นประโยชน์ด้วยวีริยะ. ดังที่พระผู้มี-
พระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า :-
มหาบุรุษเป็นผู้น่ารัก น่าเคารพ น่ายกย่อง
ค่อยว่ากล่าว อดทนถ้อยคำ กล่าวธรรมลึกซึ้ง
ไม่ชักชวนในทางไม่ถูก.

มหาบุรุษ อาศัยกัลยาณมิตรประกอบด้วยคุณอย่างนี้แล้ว ย่อมยัง
อุปนิสสัยสมบัติของตนให้ผ่องแผ้วโดยชอบนั่นแล. และเป็นผู้ประกอบด้วย
อัธยาศัยบริสุทธิ์ด้วยดี ประกอบด้วยพละ 4 ยังองค์ 8 ให้ประชุมกันโดย
ไม่ช้านัก ทำมหาภินิหาร มีอันไม่กลับเป็นธรรมดา เป็นผู้แน่นอน มี
สัมโพธิญาณเป็นที่ไปในเบื้องหน้า ย่อมตั้งอยู่ในความเป็นพระโพธิสัตว์.
พึงทราบพละ 4 เหล่านี้ของอภินิหารนั้น ดังต่อไปนี้. อัชฌัตติก-
พละ
คือกำลังภายใน ได้แก่ ความชอบใจด้วยเคารพในธรรมอาศัยตน ใน
สัมมาสัมโพธิญาณ เพราะเป็นผู้มีอัธยาศัยน้อมไปโดยส่วนเดียว. มหาบุรุษ

มีตนเป็นใหญ่ มีความละอายเป็นที่พึ่งอาศัย และถึงพร้อมด้วยอภินิหาร
บำเพ็ญบารมี แล้วบรรลุสัมมาสัมโพธิญาณ พาหิรพละ คือกำลังภายนอก
ได้แก่ ความพอใจอาศัยคนอื่นในสัมมาสัมโพธิญาณ เพราะเป็นผู้มีอัธยาศัย
น้อมไปโดยส่วนเดียว. มหาบุรุษมีโลกเป็นใหญ่ มีความนับถือเป็นที่พึ่งอาศัย
และถึงพร้อมด้วยอภินิหาร บำเพ็ญบารมีแล้วบรรลุสัมมาสัมโพธิญาณ. อุป-
นิสสยพละ
คือกำลังอุปนิสัย ได้แก่ ความพอใจด้วยอุปนิสสยสมบัติใน
สัมมาสัมโพธิญาณ เพราะเป็นผู้มีอัธยาศัยน้อมไปโดยส่วนเดียว. มหาบุรุษ
มีอินทรีย์กล้า มีความฉลาด อาศัยสติ ถึงพร้อมด้วยอภินิหาร บำเพ็ญบารมี
แล้วบรรลุสัมมาสัมโพธิญาณ. ปโยคพละ คือกำลังความเพียร ได้แก่
ความถึงพร้อมด้วยความเพียร ความเป็นผู้ทำด้วยความเคารพ ความเป็นผู้
ทำติดต่อ อันเกิดแต่ความเพียรนั้นในสัมมาสัมโพธิญาณ. มหาบุรุษ มีความ
เพียรบริสุทธิ์ ทำเป็นลำดับ และถึงพร้อมด้วยอภินิหาร บำเพ็ญบารมีแล้ว
บรรลุสัมมาสัมโพธิญาณ.
อภินิหารนี้อันถึงพร้อมด้วยสโมธานมีองค์ 8 มีการเริ่มสมบูรณ์ด้วย
ปัจจัย 4 เหตุ พละ อย่างนี้ เป็นปัจจัยแห่งบารมีทั้งหลาย เพราะ
ความเป็นมูลเหตุ. อนึ่ง ธรรมทั้งหลายน่าอัศจรรย์ไม่เคยมี 4 ประการ ย่อม
ตั้งอยู่ในมหาบุรุษด้วยความเป็นไปของผู้ใด. ย่อมยึดถือหมู่สรรพสัตว์ด้วยจิต
เป็นที่รักดุจบุตรเกิดแต่อกของตน. จิตของผู้นั้นจะไม่เศร้าหมองด้วยอำนาจ
ความเศร้าหมองถึงบุตร. อัธยาศัย และความเพียรของมหาบุรุษนั้นย่อมนำ

ประโยชน์สุขมาให้แก่สัตว์ทั้งหลาย. ธรรมอันทำให้เป็นพระพุทธเจ้าของตน
ย่อมเจริญ ย่อมให้มีผลยิ่ง ๆ ขึ้น. อนึ่ง มหาบุรุษประกอบด้วยความหลั่งไหล
แห่งบุญกุศลอันสูงที่สุด อันเป็นปัจจัยแห่งความเป็นไป เป็นอาหารแห่ง
ความสุข เป็นผู้ควรรับทักษิณา เป็นที่ตั้งแห่งคารวะอย่างสูง และเป็นบุญ-
เขตไม่มีใครเหมือน. มหาภินิหาร มีคุณมากมาย มีอานิสงส์มากมายอย่างนี้
พึงทราบว่าเป็นปัจจัยแห่งบารมีทั้งหลาย
มหากรุณาและความเป็นผู้ฉลาดในอุบาย ก็เหมือนอภินิหารนั้นแล.
ปัญญาอันเป็นนิมิต แห่งความเป็นโพธิสมภาร ของทานเป็นต้น ชื่อว่า
ความเป็นผู้ฉลาดในอุบาย. ความไม่คำนึงถึงสุขของตน ความขวนขวาย
ในการทำประโยชน์เพื่อผู้อื่นเป็นลำดับ ความไม่มีความตกต่ำ ด้วยความ
ประพฤติของพระมหาโพธิสัตว์แม้ทำได้ยาก และความเป็นเหตุได้ประโยชน์
สุขของสัตว์ทั้งหลาย แม้ในเวลาเลื่อมใส การรู้ การเห็น การฟัง การ
ระลึกถึง ย่อมสำเร็จแก่มหาบุรุษทั้งหลาย ด้วยความเป็นผู้ฉลาดในอุบายอัน
เป็นมหากรุณา. เป็นความจริงอย่างนั้น ความสำเร็จแห่งความเป็นพระ-
พุทธเจ้าด้วยปัญญา ของมหาบุรุษนั้น. ความสำเร็จแห่งการกระทำของพระ-
พุทธเจ้า ด้วยกรุณา. ตนเองข้ามด้วยปัญญา. ยังคนอื่นให้ข้ามด้วยกรุณา.
กำหนดรู้ทุกข์ของคนอื่น ด้วยปัญญา. ปรารภช่วยเหลือทุกข์ของคนอื่นด้วย
กรุณา. และเบื่อหน่ายในทุกข์ด้วยปัญญา. รับทุกข์ด้วยกรุณา. อนึ่ง เป็น
ผู้มุ่งต่อนิพพานด้วยปัญญา. ถึงวัฏฏะด้วยกรุณา. อนึ่ง มุ่งต่อสงสารด้วย

กรุณา. ไม่ยินดีในสงสารนั้นด้วยปัญญา. และหน่ายในที่ทั้งปวงด้วยปัญญา
เพราะไปตามด้วยการุณา จึงต้องอนุเคราะห์สัตว์ทั้งปวง. สงสารสัตว์ทั้งปวง
ด้วยกรุณา. เพราะไปตามด้วยปัญญาจึงมีจิตหน่ายในที่ทั้งปวง. ความเป็น
ผู้ไม่มีอหังการมมังการด้วยปัญญา. ความไม่มีความเกียจคร้าน ความเศร้า
ด้วยกรุณา. อนึ่ง ความเป็นที่พึ่งของตนและคนอื่น ความเป็นผู้มีปัญญา
และกล้าตามลำดับด้วยปัญญาและกรุณา. ความเป็นผู้ไม่ทำตนให้เดือดร้อน
ไม่ทำผู้อื่นให้เดือดร้อน. ความสำเร็จประโยชน์ตนและประโยชน์ผู้อื่น. ความ
เป็นผู้ไม่มีภัยไม่หวาดกลัว. ความเป็นผู้มีธรรมเป็นใหญ่และมีโลกเป็นใหญ่.
ความเป็นผู้รู้คุณท่านและทำอุปการะก่อน. ความปราศจากโมหะและตัณหา
ความสำเร็จแห่งวิชชาและจรณะ. ความสำเร็จแห่งพละและเวสารัชชะ
คือธรรมทำให้กล้า ปัญญาและกรุณา เป็นปัจจัยแห่งบารมีทั้งหลาย เพราะ
ความเป็นอุบายโดยพิเศษแห่งผลของบารมีทั้งปวง ด้วยประการฉะนี้แล.
ทั้งสองนี้เป็นปัจจัยแม้แห่งปณิธาน ดุจแห่งบารมีทั้งหลาย.
อนึ่ง ความอุตสาหะ ปัญญา ความมั่งคง และการประพฤติประ-
โยชน์ พึงทราบว่า เป็นปัจจัยแห่งบารมีทั้งหลาย. ความเพียรด้วยความ
อดกลั้นยิ่ง แห่งโพธิสมภารทั้งหลาย ชื่อว่า อุสฺสาห ในบารมีที่ท่านกล่าวว่า
เป็นพุทธภูมิ เพราะเป็นฐานะแห่งความเกิดความเป็นพระพุทธเจ้า. ปัญญา
อันเป็นความฉลาดในอุบาย ในโพธิสมภารทั้งหลาย ชื่อว่า อุมฺมงฺค.

ความตั้งใจมั่นเพราะตั้งใจไม่หวั่นไหว ชื่อว่า อวตฺถาน. เมตตาภาวนาและ
กรุณาภาวนา ชื่อว่า หิตจริยา.
อนึ่ง อัธยาศัย 6 อย่าง อันมีประเภทเป็นเนกขัมมะ ความสงัด
อโลภะ อโทสะ อโมหะและนิสสรณะ คือการออกไปจากทุกข์. พระโพธิ-
สัตว์ทั้งหลายเป็นผู้เห็นโทษในกามและในการครองเรือน ชื่อว่า มีอัธยาศัย
ในเนกขัมมะ. อนึ่ง พระโพธิสัตว์ทั้งหลายเห็นโทษในการคลุกคลี ชื่อว่า
มีอัธยาศัยสงัด. เห็นโทษในโลภะ ชื่อว่า มีอัธยาศัยไม่โลภ. เห็นโทษใน
โทสะ ชื่อว่า มีอัธยาศัยไม่โกรธ. เห็นโทษในโมหะ ชื่อว่า มีอัธยาศัย
ไม่หลง. เห็นโทษในทุกภาวะ ชื่อว่า มีอัธยาศัยออกไปจากทุกข์ ด้วยประ-
การฉะนี้. เพราะฉะนั้นอัธยาศัย 6 อย่างเหล่านี้ของพระโพธิสัตว์ทั้งหลาย.
พึงทราบว่าเป็นปัจจัยแห่งบารมีทั้งหลาย มีทานเป็นต้น. จริงอยู่บารมี มี
ทานบารมีเป็นต้น เว้นจากโทษโนโลภเป็นต้น และจากความยิ่งยวด
ของอโลภะเป็นต้น ย่อมมีไม่ได้. เพราะความเป็นผู้มีจิตน้อมไปในบริจาค
เป็นต้น ด้วยความยิ่งยวดของอโลภะเป็นต้น พึงทราบว่า เป็นผู้มีอัธยาศัย
ไม่โลภ.
อนึ่ง แม้ความเป็นผู้มีอัธยาศัยในทานก็เหมือนอย่างนั้น เป็นปัจจัย
แห่งบารมีมีทานบารมีเป็นต้น ของพระโพธิสัตว์ทั้งหลาย ผู้ประพฤติเพื่อ
โพธิญาณ. จริงอยู่เพราะความเป็นผู้อัธยาศัยในทาน พระโพธิสัตว์ทั้งหลาย

จึงเป็นผู้เห็นโทษในความตระหนี่ อันเป็นปฏิปักษ์ต่อทานนั้น ย่อมบำเพ็ญ
ทานบารมีให้บริบูรณ์โดยชอบ. เพราะเป็นผู้มีอัธยาศัยในศีล จึงเป็นผู้เห็น
โทษในความเป็นผู้ทุศีล บำเพ็ญศีลบารมีให้บริบูรณ์โดยชอบ. เพราะเป็นผู้
มีอัธยาศัยในเนกขัมมะ จึงเห็นโทษในกามและในการครองเรือน เพราะ
เป็นผู้มีอัธยาศัยในการรู้ตามความเป็นจริง จึงเห็นโทษในความไม่รู้ และ
ความสงสัย. เพราะเป็นผู้มีอัธยาศัยในความเพียร จึงเห็นโทษในความ
เกียจคร้าน. เพราะเป็นผู้มีอัธยาศัยในความอดทน จึงเห็นโทษในความไม่
อดทน. เพราะเป็นผู้มีอัธยาศัยในสัจจะ จึงเห็นโทษในการพูดผิด. เพราะ
เป็นผู้มีอัธยาศัยในความตั้งใจมั่น จึงเห็นโทษในความไม่ตั้งใจมั่น. เพราะ
เป็นผู้มีอัธยาศัยเมตตา จึงเห็นโทษในพยาบาท. เพราะเป็นผู้มีอัธยาศัยใน
ความว่างเฉย จึงเห็นโทษในโลกธรรม บำเพ็ญบารมีมีเนกขัมมบารมีเป็นต้น
ให้บริบูรณ์โดยชอบ. ความเป็นผู้มีอัธยาศัยในทานเป็นต้น เป็นปัจจัยแห่ง
บารมีมีทานบารมีเป็นต้น เพราะเป็นเหตุให้สำเร็จ.
การพิจารณาเห็นโทษและอานิสงส์ ตามลำดับในการไม่บริจาคและ
การบริจาคเป็นต้น เป็นปัจจัยแห่งบารมีมีทานบารมีเป็นต้น เหมือนกัน.
ในบทนั้น พึงทราบวิธีพิจารณาดังต่อไปนี้. การนำมาซึ่งความพินาศมาก-
มายหลายอย่างนี้ คือ จากความเป็นผู้ปรารถนามากด้วยวัตถุกามอันมีที่ดิน
เป็นต้น ของสัตว์ทั้งหลายผู้มีใจหวงแหน ข้องอยู่มีที่ดิน สวน เงิน ทอง โค
กระบือ ทาสหญิง ทาสชาย บุตรภรรยาเป็นต้น จากความเป็นสาธารณภัย

มีราชภัย โจรภัยเป็นต้น จากการตั้งใจวิวาทกัน จากการเป็นข้าศึกกัน จาก
สิ่งไม่มีแก่นสาร จากเหตุการเบียดเบียนผู้อื่น ในการได้และการคุ้มครอง
นิมิตแห่งความพินาศ เพราะนำมาซึ่งความพินาศหลายอย่าง มีความโศก
เป็นต้น และมีความไม่สามารถเป็นเหตุ เพราะความเป็นเหตุให้เกิดในอบาย
ของผู้มีจิตหมกมุ่นอยู่ในมลทิน คือ ความตระหนี่ ชื่อว่า ปริคคหวัตถุ คือ
วัตถุที่หวงแหน. ควรทำความไม่ประมาทในการบริจาคว่า การบริจาควัตถุ
เหล่านั้นเป็นความสวัสดีอย่างเดียว.
อีกอย่างหนึ่งพิจารณาว่า ผู้ขอเมื่อขอเป็นผู้คุ้นเคยของเราเพราะบอก
ความลับของตน เป็นผู้แนะนำแก่เราว่า ท่านจงละสิ่งควรถึง ถือเอาของ
ของตนไปสู่โลกหน้า เมื่อโลกถูกไฟคือมรณะเผา เหมือนเรือนถูกไฟเผา
เป็นสหายช่วยแบกของของเราออกไปจากโลกนั้น เมื่อเขายังไม่แบกออกไป
เขาก็ยังไม่เผา วางไว้ เป็นกัลยาณมิตรอย่างยิ่ง เพราะความเป็นสหายใน
กรรมงาม คือทานและเพราะความเป็นเหตุให้ถึงพุทธภูมิที่ได้ยากอย่างยิ่ง
เลิศกว่าสมบัติทั้งปวง.
อนึ่ง พึงเข้าไปตั้งความน้อมในการบริจาคว่า ผู้นี้ยกย่องเราในกรรม
อันยิ่ง. เพราะฉะนั้นควรทำความยกย่องนั้นให้เป็นความจริง. แม้เขาไม่ขอ
เราก็ให้ เพราะชีวิตของเขาแจ้งชัดอยู่แล้ว. ไม่ต้องพูดถึงขอละ. ผู้ขอมา
แล้วเองจากที่เราแสวงหาด้วยอัธยาศัยอันยิ่ง ควรให้ด้วยบุญของเรา. การ
อนุเคราะห์ของเรานี้โดยมุ่งถึงการให้แก่ยาจก. เราควรอนุเคราะห์โลก แม้

ทั้งหมดนี้เหมือนตัวเรา.เมื่อยาจกไม่มี ทานบารมีของเราจะพึงเต็มได้อย่างไร
เราควรยึดถือทั้งหมดไว้เพื่อประโยชน์แก่ยาจกเท่านั้น. เมื่อไรยาจกทั้งหลาย
ไม่ขอเราพึงถือเอาของของเราไปเอง. เราพึงเป็นที่รักและเป็นที่ชอบของ
ยาจกทั้งหลายได้อย่างไร. ยาจกเหล่านั้นพึงเป็นที่รัก เป็นที่ชอบใจของเรา
ได้อย่างไร. เราเมื่อให้ก็พอใจ แม้ให้แล้วก็ปลื้มใจ เกิดปีติโสมนัสได้อย่างไร
หรือยาจกทั้งหลายของเราพึงเป็นอย่างไร เราจึงจะเป็นผู้มีอัธยาศัยกว้าง-
ขวาง. ยาจกไม่ขอ เราจะรู้ใจของยาจกทั้งหลายได้อย่างไรแล้วจึงให้ เมื่อ
ทรัพย์มี ยาจกมี การไม่บริจาค เป็นการหลอกลวงของเราอย่างใหญ่หลวง.
เราพึงสละอวัยวะหรือชีวิตของตนแก่ยาจกทั้งหลายได้อย่างไร. อีกอย่างหนึ่ง
ควรทำจิตให้เกิดขึ้นเพราะไม่คำนึงถึงประโยชน์ว่า ชื่อว่าประโยชน์นี้ ย่อม
ติดตามทายกผู้ไม่สนใจ. เหมือนตั๊กแตนติดตามคนแผลงศรผู้ไม่สนใจ.
อนึ่ง ผิว่า ผู้ขอเป็นคนที่รัก พึงให้เกิดโสมนัสว่า ผู้เป็นที่รักขอ
เรา. แม้ผู้ขอเป็นคนเฉย ๆ พึงให้เกิดความโสมนัสว่า ยาจกนี้ขอเราย่อม
เป็นมิได้ด้วยการบริจาคนี้แน่แท้. แม้ผู้ให้ก็ย่อมเป็นที่รักของยาจกทั้งหลาย
แม้บุคคลผู้มีเวรขอ ก็พึงให้เกิดโสมนัสเป็นพิเศษว่า ศัตรูขอเรา. ศัตรูนี้
เมื่อขอเราเป็นผู้มีเวร ย่อมเป็นมิตรที่รักด้วยการบริจาคนี้แน่แท้ พึงยัง
กรุณามีเมตตาเป็นเบื้องหน้าให้ปรากฏ แล้วพึงให้แม้ในบุคคลเป็นกลางและ
บุคคลมีเวร.

ก็หากว่า โลภธรรมอันเป็นวิสัยแห่งไทยธรรม พึงเกิดขึ้นแก่โลภะ
เพราะบุคคลนั้นอบรมมาช้านาน. อันผู้ปฏิญญาเป็นพระโพธิสัตว์นั้นพึงสำ-
เหนียกว่า ดูก่อนสัตบุรุษท่านบำเพ็ญอภินิหารเพื่อความตรัสรู้มิใช่หรือ ได้
สละกายนี้เพื่อเป็นอุปการะแก่สรรพสัตว์ และบุญสำเร็จด้วยการบริจาคกาย
นั้น. ความข้องเป็นไปในวัตถุแม้ภายนอกของท่านนั้น เป็นเช่นกับอาบน้ำ
ช้าง. เพราะฉะนั้น ท่านไม่ควรให้ความข้องเกิดในที่ไหนๆ. เหมือนอย่างว่า
เมื่อต้นไม้เป็นยาใหญ่เกิดขึ้น ผู้ต้องการรากย่อมนำรากไป. ผู้ต้องการสะเก็ด
เปลือก ลำต้น ค่าคบ แก่น กิ่ง ใบ ดอก ย่อมนำไป ผู้ต้องการผล
ย่อมนำผลไป. ต้นไม้นั้นใช่เรียกร้องด้วยความวิตกว่า คนพวกนี้นำของของ
เราไป ฉันใด เมื่อกายไม่สะอาดเป็นนิจ จมอยู่ในทุกข์ใหญ่อันเราผู้ถึงความ
ขวนขวาย เพื่อประโยชน์แก่สรรพโลกประกอบการ เพื่ออุปการะแก่สัตว์
เหล่าอื่น ไม่ควรให้มิจฉาวิตกแม้เล็กน้อยเกิดขึ้นฉันนั้น หรือว่าความพิเศษ
ในธรรมเครื่องทำลาย กระจัดกระจาย และกำจัดโดยส่วนเดียว อันเป็น
มหาภูตรูปภายในและภายนอกเป็นอย่างไร. แต่ข้อนี้เป็นความหลงและความ
ซบเซาอย่างเดียว. คือการยึดถือว่า นั่นของเรา เราเป็นนั่น นั่นเป็นตนของ
เรา. เพราะฉะนั้น ผู้ไม่คำนึงในมือเท้านัยน์ตาเป็นต้น และในเนื้อเป็นต้น
แม้ในภายในดุจภายนอก พึงมีใจสละว่า ผู้มีความต้องการสิ่งนั้น ๆ จงนำไป
เถิด.
อนึ่ง เมื่อมหาบุรุษสำเหนียกอย่างนี้ ประกอบความเพียรเพื่อตรัสรู้

ไม่คำนึงในกายและชีวิต กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม เป็นอันบริสุทธิ์
ด้วยดีโดยไม่ยากเลย. มหาบุรุษนั้นมีกายกรรม วจีกรรม มโนกรรมบริสุทธิ์
ด้วยดี มีอาชีพบริสุทธิ์ตั้งอยู่ในการปฏิบัติเพื่อรู้ เป็นผู้สามารถเพื่ออนุเคราะห์
สรรพสัตว์ ด้วยการถึงพร้อมด้วยความเป็นผู้ฉลาดในความเสื่อม และฉลาด
ในอุบาย ด้วยการบริจาคไทยธรรมโดยประมาณยิ่ง และด้วยการให้อภัยให้
พระสัทธรรม นี้เป็นนัยแห่งการพิจารณาในทานบารมีด้วยประการฉะนี้.
อนึ่ง พิจารณาในศีลบารมีอย่างนี้ว่า ชื่อว่าศีลนี้เป็นน้ำล้างมลทินคือ
โทสะอันไม่อาจชำระได้ด้วยน้ำในแม่น้ำคงคาเป็นต้น. เป็นการกำจัดอันตราย
มีราคะเป็นต้น อันไม่สามารถกำจัดได้ด้วยจันทน์เหลืองเป็นต้น. เป็นเครื่อง
ประโยคดับอย่างวิเศษของคนดีทั้งหลาย ไม่ทั่วไปด้วยเครื่องประดับของชนเป็น
อันมาก มีสร้อยคอมงกุฏและต่างหูเป็นต้น. มีกลิ่นหอมฟุ้งไปทั่วทุกทิศ และ
เหมาะสมทุกกาล. มีอำนาจอย่างยิ่ง เพราะนำมาซึ่งคุณอันกษัตริย์มหาศาล
เป็นต้น และเทวดาทั้งหลายควรไว้. เป็นแถวบันใดก้าวขึ้นสู่เทวโลก มี
สวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกาเป็นต้น. เป็นอุบายบรรลุฌานและอภิญญา. เป็น
ทางให้ถึงมหานครคือนิพพาน. เป็นภูมิประดิษฐานสาวกโพธิ ปัจเจกโพธิ
และสัมมาสัมโพธิญาณ. อีกอย่างหนึ่ง ศีลย่อมอยู่บนแก้วสารพัดนึกและต้น
กัลปพฤกษ์เป็นต้น เพราะเป็นอุบายให้สิ่งที่ปรารถนาต้องการสำเร็จ.
สมดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ศีลย่อม
สำเร็จเพราะผู้มีศีล เป็นผู้บริสุทธิ์ด้วยความตั้งใจแน่วแน่. แม้ข้ออื่นก็ตรัสไว้

มีอาทิว่า ก่อนภิกษุทั้งหลาย หากภิกษุพึงหวังว่าเราพึงเป็นที่รักเป็นที่ชอบใจ
เป็นที่เคารพ เป็นที่ยกย่องของเพื่อนพรหมจารีทั้งหลาย. ภิกษุพึงเป็นผู้ทำ
ความบริบูรณ์ในศีลทั้งหลายนั้นแล. อนึ่ง ดูก่อนอานนท์ ศีลเป็นกุศลมีความ
ไม่เดือดร้อนเป็นประโยชน์. ดูก่อนคหบดีทั้งหลาย อานิสงส์ 5 อย่างเหล่านี้
ของผู้มีศีล พึงพิจารณาคุณของศีลด้วยสามารถแห่งสูตร มีศีลสัมปทาสูตร
เป็นต้น. พึงพิจารณาโทษในการปราศจากศีล ด้วยสามารถแห่งสูตร มี
อัคคิขันโธปมสูตรเป็นต้น พึงพิจารณาศีลโดยเป็นนิมิตแห่งปีติและโสมนัส
โดยความไม่มีการติเตียนตนกล่าวโทษผู้อื่น และภัยจากอาชญาและทุคติ โดย
ความเป็นสิ่งอันวิญญูชนสรรเสริญ โดยเป็นเหตุแห่งความไม่เดือดร้อน โดย
เป็นที่ตั้งแห่งความสวัสดี และโดยเป็นสิ่งยอดเยี่ยมอย่างยิ่ง กว่าการถึงพร้อม
ด้วยชนยิ่งใหญ่ สมบัติ อธิปไตย อายุ รูป ฐานะ พวกพ้องมิตร จริงอยู่
ปีติและโสมนัสใหญ่ย่อมเกิดแก่ผู้มีศีล เพราะเหตุแห่งศีลสัมปทาของตนว่า
เราได้ทำกุสลแล้ว. เราได้ทำความดีแล้ว. เราได้ทำการป้องกันความกลัวแล้ว.
อนึ่ง ผู้มีศีลย่อมไม่ติเตียนตน. วิญญูชนไม่กล่าวโทษผู้อื่น. ภัยเพราะ
อาชญาและทุคติย่อมไม่มีเกิด วิญญูชนทั้งหลายสรรเสริญว่า เป็นบุคคลผู้มี
ศีล มีธรรมงาม. อนึ่ง ความเดือดร้อนใดย่อมเกิดแก่ผู้ทุศีลว่า เราได้ทำความ
ชั่วแล้วหนอ. เราได้ทำกรรมหยาบช้าทารุณแล้ว. ความเดือดร้อนนั้นย่อม
ไม่มีแก่ผู้มีศีล. อนึ่งธรรมดาศีลนี้ชื่อว่าเป็นฐานแห่งความสวัสดี เพราะตั้งใจ
ในความไม่ประมาท เพราะยังประโยชน์ใหญ่ให้สำเร็จ ด้วยหลักการคุ้มครอง

มีความพินาศแห่งโภคะเป็นต้น และเพราะความเป็นมงคล. คนมีศีลแม้มี
ชาติตระกูลต่ำก็เป็นปูชนียบุคคล ของกษัตริย์มหาศาลเป็นต้น เพราะเหตุ-
นั้นศีลสัมปทาจึงอยู่กับกุลสมบัติ. มหาบพิตรพระองค์สำคัญข้อนั้นเป็นไฉน.
ในบทนี้ คำมีอาทิว่า ทาสกรรมกรพึงเป็นตัวอย่างแก่มหาบพิตรเป็นอย่างดีใน
เรื่องนี้. ศีลย่อมอยู่กับทรัพย์ภายนอก เพราะไม่ทั่วไปด้วยโจรเป็นต้น เพราะ
อนุเคราะห์โลกอื่น เพราะมีผลมากและเพราะอธิษฐานคุณมีสมถะเป็นต้น.
ศีลย่อมอยู่กับความเป็นอิสระของกษัตริย์เป็นต้น เพราะตั้งมั่นความอิสระ
ทางใจเป็นอย่างยิ่ง. จริงอยู่ ศีลนิมิตเป็นอิสระของสัตว์ทั้งหลายในหมู่สัตว์
นั้น ๆ. เพราะกล่าวได้ว่าชีวิตที่มีศีล แม้วันเดียวก็ประเสริฐกว่าชีวิตยั่งยืน-
ยาวประมาณ 100 ปี และเมื่อยังมีชีวิต ศีลก็ประเสริฐกว่าชีวิต เพราะกล่าว
ได้ว่า ร่างกายเมื่อตายไปก็ฝัง. ศีลย่อมอยู่กับรูปสมบัติ เพราะนำความพอใจ
มาแม้แก่ศัตรู และเพราะความชราโรคและวิบัติครอบงำไม่ได้. ศีลย่อมอยู่
กับความวิเศษของสถานที่มีปราสาทและเรือนแถวเป็นต้น เพราะตั้งใจความ
วิเศษอันเป็นสุข. ในบทนี้คำมีอาทิว่า มารดาบิดาไม่พึงทำอะไรได้ยกเป็น
ตัวอย่าง เพราะศีลให้สำเร็จประโยชน์โดยส่วนเดียว และเพราะอนุเคราะห์
โลกอื่น. อนึ่ง ศีลเท่านั้นประเสริฐกว่า กองทัพช้าง ม้า รถ และทหารราบ
และกว่าการประกอบความสวัสดีด้วยมนต์และยาวิเศษ โดยการรักษาตนที่
รักษาได้ยาก เพราะอาศัยตนไม่อาศัยผู้อื่น และเพราะวิสัยยิ่งใหญ่. ด้วย
เหตุนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้า จึงตรัสพระดำรัสมีอาทิว่า ธมฺโม หเว รกฺขติ

ธมฺมจารึ ธรรมแลย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม. เมื่อมหาบุรุษพิจารณาอยู่ว่า
ศีลประกอบด้วยคุณมากมายอย่างนี้ ศีลสัมปทาที่ยังไม่บริบูรณ์ ย่อมถึงความ
บริบูรณ์ ที่ยังไม่บริสุทธิ์ย่อมถึงความบริสุทธิ์.
ก็หากว่าธรรมทั้งหลายมีโทสะเป็นต้น เป็นปฏิปักษ์ต่อศีลพึงเกิดขึ้นแก่
มหาบุรุษนั้นในระหว่างๆ ด้วยสะสมมานาน. อันผู้ปฏิญญาเป็นพระโพธิสัตว์
นั้นพึงพิจารณาอย่างนี้ว่า ท่านตั้งใจแน่วแน่เพื่อตรัสรู้มิใช่หรือ. แม้สมบัติ
เป็นโลกิยะท่านก็ยังไม่สามารถจะถึงได้ด้วยความไม่ปกติของศีล. ไม่ต้องพูดถึง
สมบัติเป็นโลกุตระเลย. ศีลเป็นการอธิษฐานเพื่อสัมมาสัมโพธิญาณอันเลิศ
กว่าสมบัติทั้งปวง ควรให้ถึงความอุกฤษฏ์อย่างยิ่ง. เพราะฉะนั้นท่านผู้รักษา
ศีลโดยชอบตามนัยดังกล่าวแล้วมีอาทิว่า กิกีว อณฺฑํ ดุจนกต้อยตีวิดรักษาไข่
ฉะนั้นควรเป็นผู้มีศีลเป็นที่รักด้วยดียิ่ง.
อีกอย่างหนึ่ง ท่านควรทำการหยั่งลงและความเจริญแก่สัตว์ทั้งหลาย
ในยาน 3 ด้วยการแสดงธรรม. ไม่ควรปรารถนาถ้อยคำของผู้มีศีลผิดปกติ.
ดุจการเยียวยาของหมอผู้ตรวจดูอาหารผิดสำแดง. เพราะฉะนั้นควรเป็นผู้มี
ศีลบริสุทธิ์ตามสภาพว่า เราเป็นผู้มีศรัทธาพึงทำการหยั่งลงและความเจริญ
แก่สัตว์ทั้งหลายได้อย่างไร. ความเป็นผู้สามารถในการทำอุปการะแก่สัตว์
ทั้งหลายและการบำเพ็ญบารมีมีปัญญาบารมีเป็นต้นของเราด้วยการประกอบ
คุณวิเศษมีฌานเป็นต้นโดยแท้. อนึ่งคุณทั้งหลายมีฌานเป็นต้น เว้นความ

บริสุทธิ์แห่งศีลย่อมมีไม่ได้ เพราะเหตุนั้น จึงควรยังศีลให้บริสุทธิ์โดยชอบ
ทีเดียว.
อนึ่ง พึงทราบการพิจารณาในการครองเรือนโดยนัยมีอาทิว่า การ
ครองเรือนคับแคบเป็นทางแห่งธุลี. ในกามทั้งหลายโดยนัยมีอาทิว่า ถาม
ทั้งหลายอุปมาด้วยโครงกระดูก และโดยนัยมีอาทิว่า แม้มารดาก็ทะเลาะกับ
บุตร. เบื้องต้นเห็นโทษในกามฉันทะเป็นต้นโดยนัยมีอาทิว่า เหมือนอย่าง
บุรุษกู้หนี้ไปประกอบการงาน. ในเนกขัมมบารมีด้วยการพิจารณาอานิสงส์
ในบรรพชาเป็นต้นโดยนัยมีอาทิว่า. บรรพชาเป็นอัพโภกาส คือโอกาสดียิ่ง
โดยปริยายดังกล่าวแล้ว. นี้เป็นสังเขปในที่นี้ . ส่วนความพิสดารพึงทราบ
ในทุกขักขันธสูตรและอาสีวิโสปมสูตรเป็นต้น.
อนึ่ง พึงมนสิการถึงปัญญาคุณว่า ธรรมทั้งหลายมีทานเป็นต้น เว้น
จากปัญญาย่อมบริสุทธิ์ไม่ได้. ย่อมไม่มีความสามารถขวนขวายตามที่เป็น
ของตนได้. เหมือนอย่างสรีรยนต์เว้นชีวิตก็ย่อมไม่งาม. อนึ่งย่อมไม่สามารถ
ปฏิบัติในกิริยาทั้งหลายของตนได้. และอินทรีย์ทั้งหลายมีจักขุเป็นต้น
เว้นวิญญาณเสียแล้วก็ไม่พอที่จะทำกิจในวิสัยของตนได้. อินทรีย์ทั้งหลาย
มีสัทธาเป็นต้น ก็อย่างนั้นเว้นปัญญาเสียแล้วก็ไม่สามารถในการปฏิบัติ
กิจของตนได้ เพราะเหตุนั้นปัญญาจึงเป็นใหญ่ในการปฏิบัติมีการบริจาค
เป็นต้น. จริงอยู่พระมหาโพธิสัตว์ทั้งหลายผู้มีปัญญาจักษุอันลืมแล้ว ให้แม้

อวัยวะน้อยใหญ่ของตนเป็นผู้ไม่ยกตนไม่ข่มผู้อื่น. เป็นผู้เกิดโสมนัสแม้ใน
3 กาล ปราศจากการกำหนดดุจต้นไม้ที่เป็นยา. จริงอยู่การบริจาคโดย
ประกอบด้วยความฉลาดในอุบายด้วยปัญญา ย่อมเข้าถึงความเป็นทานบารมี
เพราะเป็นไปเพื่อประโยชน์แก่ผู้อื่น. เพราะว่าทานเป็นเช่นกับกำไรอันเป็น
ประโยชน์ของตน.
อนึ่ง ความบริสุทธิ์แห่งศีล โดยไม่ปราศจากความเศร้าหมองมีตัณหา
เป็นต้น ย่อมเกิดไม่ได้เพราะไม่มีปัญญา. การอธิษฐานคุณแห่งความเป็น
พระสัพพัญญูจักมีได้แต่ไหน. ผู้มีปัญญาเท่านั้นพิจารณาเห็นโทษ ในการ
ครองเรือน ในกามคุณและในสงสารและอานิสงส์ ในการบรรพชา ในฌาน
สมาบัติ และในนิพพานด้วยดี ครั้นบวชแล้วยังฌานสมาบัติให้เกิดมุ่งหน้า
ต่อนิพพาน และยังคนอื่นให้ตั้งอยู่ในฌานสมาบัตินั้น. ไม่ยังความเพียร
ปราศจากปัญญาเพียงตั้งความปรารถนาไว้ให้สำเร็จได้เพราะเริ่มไม่ดี. การไม่
เริ่มยังประเสริฐกว่าการเริ่มไม่ดี. การบรรลุยาก อย่างใดอย่างหนึ่งด้วย
ความเพียรประกอบด้วยปัญญา ไม่ประเสริฐกว่าการปฏิบัติโดยอุบาย. อนึ่ง
ผู้มีปัญญาเท่านั้นเป็นผู้มีความอดกลั้นต่อความเสียหายของผู้อื่นเป็นต้น. ผู้มี
ปัญญาทรามไม่เป็นผู้อดกลั้น. ความเสียหายที่ผู้อื่นนำไปให้แก่ผู้ปราศจาก
ปัญญา ย่อมเพิ่มพูนความเป็นปฏิปักษ์ของความอดทน. แต่ความเสียหาย
เหล่านั้นของผู้มีปัญญาย่อมเป็นไป เพื่อความมั่นคงแห่งขันตินั้นด้วยเพิ่มพูน

ความสมบูรณ์แห่งขันติ. ผู้มีปัญญาเท่านั้นรู้สัจจะ 3 อย่าง เหตุแห่งสัจจะ
เหล่านั้น และปฏิปักษ์ตามความเป็นจริงเป็นผู้ไม่กล่าวผิดแก่ผู้อื่น.
อนึ่ง ผู้อุปถัมภ์ตนด้วยกำลังปัญญาเป็นผู้ตั้งใจสมาทานไม่หวั่นไหวใน
บารมีทั้งปวงด้วยการถึงพร้อมด้วยปัญญา. ผู้มีปัญญาเท่านั้น ไม่ทำการแบ่ง
แยกคนที่รัก คนกลางและคนที่เป็นศัตรู เป็นผู้ฉลาดในการนำประโยชน์เข้า
ไปในที่ทั้งปวง. อนึ่ง เป็นผู้มีความเป็นกลางเพราะไม่มีความผิดปกติในการ
ประสบโลกธรรมมีลาภ เสื่อมลาภเป็นต้น ด้วยอำนาจแห่งปัญญา. ปัญญาเท่า
นั้นเป็นเหตุแห่งความบริสุทธิ์ของบารมีทั้งปวงด้วยประการฉะนี้ เพราะเหตุ-
นั้นควรพิจารณาคุณของปัญญา. อีกอย่างหนึ่ง เว้นปัญญาเสียแล้วทัศนสมบัติ
ย่อมมีไม่ได้. เว้นทิฏฐิสัมปทาโดยระหว่างศีลสัมปทาก็มีไม่ได้. ผู้ปราศจาก
ศีลสัมปทาและทิฏฐิสัมปทา สมาธิสัมปทาก็มิไม่ได้. อนึ่งผู้มีจิตไม่ตั้งมั่นไม่
สามารถแม้เพียงประโยชน์ตนให้สำเร็จได้. ไม่ต้องพูดถึงประโยชน์ผู้อื่นอัน
ถึงขั้นอุกฤษฏ์กันละ เพราะเหตุนั้นพระโพธิสัตว์ผู้ปฏิบัติเพื่อประโยชน์ผู้อื่น
ควรสอนตนว่า ท่านควรทำความเพียรในความเจริญด้วยปัญญาโดยเคารพ
มิใช่หรือ. จริงอยู่ พระมหาสัตว์ตั้งมั่นในอธิษฐานธรรม 4 ด้วยบุญญา-
นุภาพอนุเคราะห์โลกด้วยสังคหวัตถุ ย่อมยังสัตว์ทั้งหลายให้หยั่งลงใน
มรรคอันเป็นการออกไป. และยังอินทรีย์ของสัตว์เหล่านั้นให้เจริญงอกงาม.
อนึ่ง พึงกำหนดคุณของปัญญามีอาการไม่น้อยโดยนัยมีอาทิว่า ผู้มาก
ด้วยการค้นคว้าในขันธ์อายตนะเป็นต้น ด้วยกำลังปัญญากำหนดรู้ความเป็น

ไปและการกลับตามความเป็นจริงแนะนำคุณมีทานเป็นต้น อันเป็นส่วนแห่ง
ความรู้อย่างวิเศษเป็นผู้ทำให้บริบูรณ์ ในการศึกษาของพระโพธิสัตว์แล้วพึง
พอกพูนปัญญาบารมี.
อนึ่ง กรรมอันเป็นโลกิยะแม้ปรากฏอยู่ก็ไม่สามารถบรรลุได้ด้วย
ความเพียรชั้นต่ำ. ผู้ปรารภความเพียรไม่คำนึงถึงความลำบาก จะบรรลุได้
ไม่ยากเลย. จริงอยู่ผู้มีความเพียรต่ำไม่สามารถจะปรารภว่า เราจักยังสรรพ-
สัตว์ให้ข้ามพ้นจากห้วงใหญ่คือสงสาร. ผู้มีความเพียรปานกลางปรารภแล้ว
ย่อมถึงที่สุดในระหว่าง. ส่วนผู้มีความเพียรอุกฤษฏ์ไม่เพ่งถึงความสุขของ
สัตว์ ย่อมบรรลุบารมีที่ปรารภไว้ เพราะเหตุนั้น พึงพิจารณาถึงวิริยสมบัติ
อีกอย่างหนึ่งพึงพิจารณาถึงคุณของความเพียรโดยนัยมีอาทิอย่างนี้ว่า การ
ปรารภเพื่อถอนจากเปือกตมคือสงสารของตนของบุคคลใด การถึงที่สุดแห่ง
ความปรารถนาในความเป็นผู้มีความเพียรย่อหย่อน แม้ของบุคคลนั้นไม่
สามารถให้เกิดขึ้นได้. ไม่ต้องพูดถึงการสร้างอภินิหารเพื่อถอนโลกพร้อมกับ
เทวโลกกันละ เพราะหมู่แห่งกิเลสเป็นเครื่องประทุษร้ายมีราคะเป็นต้น
ห้ามได้ยากดุจคชสารตกมัน เพราะการสมาทานกรรมอันมีกิเลสเป็นเครื่อง
ประทุษร้ายนั้นเป็นเหตุ เช่นกับเพชฌฆาตเงื้อดาบเพราะทุคติอันเป็นนิมิต
แห่งกรรมนั้นเปิดอยู่ตลอดกาล เพราะมิตรชั่วชักชวนในกรรมนั้นได้เตรียม
ไว้แล้วทุกเมื่อ และเพราะทำตามโอวาทของมิตรชั่วนั้น. ในความมีสติของ
ความเป็นปุถุชนคนพาล จึงควรออกจากสงสารทุกข์เองได้ เพราะเหตุนั้น

มิจฉาวิตกย่อมอยู่ไกลด้วยอานุภาพของความเพียร และหากว่าสามารถบรรลุ
สัมโพธิญาณได้ด้วยความเพียรอาศัยตน. อะไรเล่าจะทำได้ยากในข้อนี้.
อนึ่งชื่อว่าขันตินี้ เป็นอาวุธไม่เบียดเบียนคนดี ในเพราะสมบูรณ์
ด้วยคุณสมบัติ เพราะกำจัดความโกรธอันเป็นปฏิปักษ์ต่อคุณธรรมไม่มีส่วน
เหลือ เป็นเครื่องประดับของผู้สามารถครอบงำผู้อื่นได้. เป็นพลสัมปทาของ
สมณพราหมณ์. เป็นสายน้ำกำจัดไฟคือความโกรธ. เป็นเครื่องชี้ถึงความ
เกิดแห่งกิตติศัพท์อันดีงาม. เมื่อเป็นมนต์และยาวิเศษระงับพิษคำพูดของคนชั่ว.
เป็นปกติของผู้มีปัญญายอดเยี่ยมของผู้ตั้งอยู่ในสังวร. เป็นสาครเพราะอาศัย
ความลึกซึ้ง. เป็นฝั่งของมหาสาครคือโทสะ. เป็นบานประตูปิดประตูอบาย.
เป็นบันไดขึ้นสู่เทวโลกและพรหมโลก. เป็นภูมิที่อยู่ของคุณทั้งปวง.
เป็นความบริสุทธิ์ กาย วาจา และใจ อย่างสูงสุด. พึงมนสิการด้วยประการ
ฉะนี้.
อีกอย่างหนึ่ง สัตว์ทั้งหลายเหล่านี้เดือดร้อนในโลกนี้ เพราะไม่มี
ขันติสมบัติ. และเพราะประกอบธรรมอันทำให้เดือดร้อนในโลกหน้า. หาก
ว่าทุกข์มีความเสียหายของผู้อื่นเป็นนิมิตเกิดขึ้น. อัตภาพอันเป็นเขตของ
ทุกข์นั้น และกรรมอันเป็นพืชของทุกข์นั้นอันเราปรุงจาแต่งแล้ว. นั่นเป็น
เหตุแห่งความเป็นหนี้ของทุกข์นั้น. เมื่อไม่มีผู้ทำให้เสียหายขันติสัมปทาของ
เราจะเกิดได้อย่างไร. แม้หากว่าบัดนี้ผู้นี้หนี้ไม่ทำให้เสียหาย. ผู้นั้นก็ได้ทำอุป-

การะแก่เรามาก่อน. อีกอย่างหนึ่งผู้ไม่ทำให้เสียหายนั่นแหละเป็นผู้มีอุปการะ
เพราะมีขันติเป็นนิมิต. สัตว์ทั้งหลายเหล่านี้ทั้งหมดเป็นเช่นบุตรของเรา.
ใครจักโกรธในความผิดที่บุตรทำได้. บุตรนี้ทำผิดแก่เราโดยมิใช่เพศของ
ปีศาจที่โกรธอันใด เราควรแนะนำบุตรผู้มีใช่เพศที่เป็นความโกรธนั้น.
ทุกข์นี้เกิดแก่เราด้วยความเสียหายใด. แม่เราก็เป็นนิมิตของความเสียหาย
นั้น. ทำความเสียหายด้วยธรรมใดและทำในที่ใด ธรรมเหล่านั้นแม้ทั้งหมดก็
ดับไปในขณะนั้นเอง. บัดนี้ใครพึงทำความโกรธแก่ใคร. และใครผิดแก่
ใครเพราะธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา พิจารณาดังนี้ควรเพิ่มพูนขันติสัมปทา
ด้วยประการฉะนี้.
อนึ่ง หากว่าความโกรธมีการทำความเสียหายต่อผู้อื่นเป็นนิมิต ด้วย
การสะสมมาตลอดกายของบุคคลนั้นพึงครอบงำจิตตั้งอยู่. บุคคลนั้นควร
สำเหนียกว่าดังนี้ ชื่อว่าขันตินี้เป็นเหตุช่วยเหลือการปฏิบัติเป็นปฏิปักษ์ต่อผู้
ไม่ทำความเสียหายต่อผู้อื่น. ขันติเป็นปัจจัยแห่งศรัทธาโดยให้ทุกข์เกิดว่า
ศรัทธาอาศัยทุกข์เป็นความเสียหายของเราและแห่งอนภิรติสัญญา คือกำหนด
ประกอบสม่ำเสมอในอารมณ์อันน่าปรารถนาและไม่น่าปรารถนาในอินทรีย์
ปกตินั้น การประกอบสม่ำเสมอในอารมณ์อันไม่น่าปรารถนาไม่พึงมีแก่เรา
ด้วยเหตุนั้น การประกอบสม่ำเสมอในอารมณ์ไม่น่าปรารถนานั้น จะพึงมีได้
ในที่นี้แต่ไหน. สัตว์ผู้ตกอยู่ในอำนาจของความโกรธมัวเมาด้วยความโกรธมี

จิตฟุ้งซ่าน. ในสัตว์ผู้ตกอยู่ในอำนาจของความโกรธนั้นจะได้อะไรด้วยการ
ช่วยเหลือ. สัตว์เหล่านี้ทั้งหมด พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงคุ้มครองดุจบุตร
เกิดแต่อกฉะนั้น. เพราะฉะนั้น เราไม่ควรทำใจโกรธในสัตว์นั้น. เมื่อผู้ทำ
ความผิดมีคุณ เราไม่ควรทำความโกรธในผู้มีคุณ. เมื่อไม่มีคุณควรแสดงความ
สงสารเป็นพิเศษ. ยศอันเป็นคุณของเราย่อมเสื่อมเพราะความโกรธ. สิ่งเป็น
ช้าศึกทั้งหลายมีผิวพรรณเศร้าหมองและการอยู่เป็นทุกข์เป็นต้น ย่อมมาถึง
เราด้วยความโกรธ. อนึ่งชื่อว่าความโกรธนี้กระทำสิ่งไม่เป็นประโยชนได้ทุก
อย่าง ยังประโยชน์ทั้งปวงให้พินาศเป็นข้าศึกมีกำลัง. เมื่อมีขันติข้าศึกไร ๆ ก็
ไม่มี. ทุกข์มีความผิดเป็นนิมิตอันผู้ทำความผิดพึงได้รับต่อไป อนึ่งเมื่อมีขันติ
เราก็ไม่มีทุกข์. ข้าศึกติดตามเราผู้คิดและโกรธ. เมื่อเราครอบงำความโกรธ
ด้วยขันติ ข้าศึกเป็นทาสของความโกรธนั้นก็จะถูกครองงำโดยชอบ. การ
สละขันติคุณอันมีความโกรธเป็นนิมิตไม่สมควรแก่เรา. เมื่อมีความโกรธอัน
เป็นข้าศึกทำลายคุณธรรม ธรรมมีศีลเป็นต้น จะพึงถึงความบริบูรณ์แก่เราได้
อย่างไร. เมื่อไม่มีธรรมมีศีลเป็นต้นเหล่านั้น เราเป็นผู้มากด้วยอุปการะแก่
สัตว์ทั้งหลาย จักถึงสมบัติสูงสุดสมควรแก่ปฏิญญาได้อย่างไร. เมื่อมีความ
อดทนสังขารทั้งหลายทั้งปวง ของผู้มีจิตตั้งมั่นเพราะไม่มีความฟุ้งซ่านในภาย
นอก ย่อมทนต่อการเพ่งโดยความเป็นของไม่เที่ยงโดยความเป็นทุกข์ ธรรม
ทั้งหลายทั้งปวงย่อมทนการเพ่งโดยความเป็นอนัตตา และนิพพานย่อมทน
ต่อการเพ่งโดยความเป็น อสังขตะ อมตะ สันตะ และปณีตะเป็นต้น และ
พุทธธรรมทั้งหลายย่อมปรากฏโดยเป็นอจินไตย และหาประมาณมิได้. ด้วย
ประการฉะนี้.

อนึ่ง แต่นั้นพึงทราบการพิจารณาขันติบารมีโดยนัยมีอาทิอย่างนี้ว่า
ผู้ตั้งอยู่ในขันติอันเหมาะสมย่อมควรแก่การเพ่ง เพราะเป็นผู้ไม่ตั้งมั่นอยู่ใน
อหังการมมังการว่า ความเป็นสิ่งธรรมดาเว้นจากการถือตัวถือตนเหล่านี้อย่าง
เดียว ย่อมเกิด ย่อมเสื่อม ด้วยปัจจัยทั้งหลายของตน. ย่อมไม่มาแต่ที่ไหน ๆ.
ย่อมไม่ไปในที่ไหนๆ. ทั้งไม่ตั้งอยู่ในที่ไหนๆ. ทั้งไม่มีความขวนขวายไร ๆ
ของใครๆ ในที่นี้ ดังนี้. พระโพธิสัตว์เป็นผู้เที่ยงต่อโพธิญาณ เป็นผู้
ไม่กลับมาเป็นธรรมดา ดังนี้.
อนึ่ง พึงพิจารณาความถึงพร้อมแห่งสัจจบารมี โดยนัยมีอาทิว่า
เพราะเว้นสัจจะเสียแล้ว ศีลเป็นต้นก็มีไม่ได้. เพราะไม่มีการปฏิบัติอัน
สมควรแก่ปฏิญญา. เพราะรวมธรรมลามกทั้งปวง ในเพราะก้าวล่วงสัจจ-
ธรรม. เพราะผู้ไม่มีสัจจะเป็นคนเชื่อถือไม่ได้. เพราะนำถ้อยคำที่ไม่ควร
ยึดถือต่อไปมาพูด. เพราะผู้มีสัจจะสมบูรณ์เป็นผู้ตั้งมั่นในคุณธรรมทั้งปวง.
เพราะเป็นผู้สามารถบำเพ็ญโพธิสมภารทั้งปวงให้บริสุทธิ์ได้. เพราะกระทำ
กิจแห่งโพธิสมภารทั้งปวง ด้วยไม่ให้ผิดสภาวธรรม และเพราะสำเร็จใน
การปฏิบัติของพระโพธิสัตว์ ดังนี้.
อนึ่ง พึงพิจารณาคุณในอธิษฐานโดยนัยมีอาทิว่า การสมาทานมั่น
ในทานเป็นต้น และการอธิษฐานไม่หวั่นไหวของคุณเหล่านั้น ในเพราะ
การประชุมธรรมเป็นปฏิปักษ์ต่อการสมาทานมั่นนั้น การสะสมบารมีมีทาน-

บารมีเป็นต้น อันมีสัมโพธิญาณเป็นนิมิต เว้นความเป็นผู้มีปัญญาและความ
กล้าในอธิษฐานนั้นเสีย ย่อมมีไม่ได้ ดังนี้.
อนึ่ง พึงพิจารณาคุณของเมตตา โดยนัยมีอาทิอย่างนี้ว่า อันผู้ตั้งลง
ในคุณเพียงประโยชน์ตน เว้นความเป็นผู้มีจิตมุ่งประโยชน์ในสัตว์ทั้งหลาย
ไม่สามารถบรรลุสมบัติในโลกนี้และในโลกหน้าได้. ไม่ต้องพูดถึงผู้ใคร่ยัง
สรรพสัตว์ให้ตั้งอยู่ในนิพพานสมบัติกันละ. บัดนี้ หวังโลกิยสมบัติก็ควรแล้ว
ภายหลังจึงค่อยหวังโลกุตรสมบัติแก่สรรพสัตว์. บัดนี้ เราไม่สามารถทำการ
นำเข้าไปซึ่งประโยชน์สุขแก่สัตว์เหล่าอื่นด้วยคุณเพียงอัธยาศัยได้ เมื่อไรจึง
จักให้ประโยชน์นั้นสำเร็จด้วยความเพียรเล่า. บัดนี้ เราให้เจริญด้วยการ
นำประโยชน์สุขเข้าไปให้ ภายหลังสหายผู้จำแนกธรรมจักมีแก่เรา. เพราะ-
ฉะนั้น พึงเข้าไปตั้งความเป็นผู้มีอัธยาศัยบำเพ็ญประโยชน์ในสรรพสัตว์
พร้อมกับความวิเศษว่า สัตว์เหล่านี้ เป็นบุญเขตอย่างยิ่ง เป็นบ่อเกิดแห่ง
กุศลอย่างเยี่ยม เป็นที่ตั้งแห่งความเคารพอย่างสูงของเรา เพราะเป็นเหตุ
ให้สำเร็จความเจริญด้วยพุทธคุณทั้งปวง. พึงเพิ่มพูนเมตตาในสรรพสัตว์
แม้โดยความอธิษฐานกรุณาอย่างแท้จริง ความเป็นผู้ใคร่เพื่อจะกำจัดสิ่งไม่มี
ประโยชน์และทุกข์ของสัตว์เหล่านั้น มีกำลัง มีรากมั่นคง ย่อมเกิดแก่ผู้
ยินดี นำประโยชน์สุขเข้าไปให้ในสัตว์ทั้งหลาย ด้วยใจที่ไม่มีขอบเขต.
อนึ่ง กรุณา เป็นเบื้องต้น เป็นจรณะ เป็นหลัก เป็นมูล เป็นหน้า
เป็นประมุขของพุทธการกธรรมทั้งหลาย ทั้งปวง.

อนึ่ง พึงพิจารณาอุเบกขาบารมี โดยนัยมีอาทิอย่างนี้ว่า ความเสีย
หายที่สัตว์ทั้งหลายทำ เพราะไม่มีอุเบกขา พึงให้เกิดความพิการทางจิต
เมื่อจิตพิการก็ไม่มีการสะสมบารมีมีทานบารมีเป็นต้น. เมื่อจิตยังผูกพันอยู่
ด้วยเมตตา เว้นอุเบกขาเสียแล้ว การสะสมบารมีก็มีไม่ได้. ผู้ไม่มีอุเบกขา
ไม่สามารถจะน้อมบุญสมภารและประโยชน์เกื้อกูล อันเป็นผลของบุญสมภาร
นั้นเข้าไปในการสะสมทั้งหลายได้. เพราะไม่มีอุเบกขา ไม่ทำการจำแนก
ไทยธรรมและปฏิคาหก แล้วไม่สามารถบริจาคได้. อันผู้ปราศจากอุเบกขา
ไม่มนสิการถึงอันตรายแห่งปัจจัยเป็นเครื่องนำมาซึ่งชีวิตและชีวิต แล้วไม่
สามารถทำศีลให้บริสุทธิ์ได้.
อนึ่ง ความสำเร็จแห่งการตั้งใจสมาทานโพธิสมภารทั้งปวงให้บริบูรณ์
ย่อมสำเร็จด้วยอานุภาพแห่งอุเบกขา คือ โดยความไม่ยินดีและความยินดี
พันหนึ่ง สำเร็จด้วยกำลังแห่งเนกขัมมะ ด้วยอำนาจแห่งอุเบกขา โดย
เกิดขึ้นด้วยอำนาจแห่งการพิจารณา โดยสำเร็จกิจแห่งการสะสมบารมีทั้งปวง
โดยไม่ทำกิจการใหญ่ ๆ ในเพราะไม่เพ่งถึงความเพียรที่เริ่มไว้มากแล้ว โดย
ความวางเฉย โดยมีความเพ่งถึงความอดกลั้นโดยไม่พูดผิดต่อสัตว์สังขาร
ด้วยอำนาจแห่งอุเบกขา โดยความสำเร็จ ความตั้งใจ อันไม่หวั่นไหวในธรรม
ที่สมาทานแล้ว ด้วยความวางเฉยต่อโลกธรรม โดยความสำเร็จแห่งเมตตา
วิหารธรรม ด้วยการไม่ผูกใจในความเสียหายของผู้อื่นเป็นต้น. การพิจารณา

โทษและอานิสงส์ ตามลำดับ ในการไม่บริจาคและการบริจาคเป็นต้น อย่างนี้
พึงเห็นว่า เป็นปัจจัยแห่งบารมีมีทานบารมีเป็นต้น.
อนึ่ง พึงทราบ จรณธรรม 15 และอภิญญา 5 พร้อมด้วยธรรมเป็น
บริวาร ดังต่อไปนี้. ศีลสังวร 1 การคุ้มครองทวารในอินทรีย์ทั้งหลาย 1 ความ
รู้จักประมาณในการบริโภค 1 การประกอบความเพียรเนืองๆ 1 สัทธรรม 7
และฌาน 4 ชื่อว่า จรณธรรม. ในจรณธรรมเหล่านั้น ธุดงค์ 13 และ
ความมักน้อยเป็นต้น เป็นบริวารของธรรม 4 มีศีลเป็นต้น. ในสัทธรรม
ทั้งหลาย ความที่จิตน้อมไปในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ศีล จาคะ
การระลึกถึงเทวดา การเว้นบุคคลเศร้าหมอง การคบหาบุคคลผู้สนิท การ
พิจารณาธรรมอันน่าเลื่อมใส เป็นบริวารของศรัทธา. ความที่จิตน้อมไปใน
การพิจารณาโทษของอกุศล ของอบาย การพิจารณาความอุปถัมภ์ของกุศล-
ธรรม การเว้นบุคคลที่ปราศจากหิริโอตตัปปะ การคบบุคคลที่ถึงพร้อม
ด้วยหิริโอตตัปปะเป็นบริวารของหิริโอตตัปปะ. ความเป็นผู้มีอินทรีย์แก่กล้า
ด้วยการสะสมมีการสอบถาม การประกอบความเพียรในเบื้องต้น การตั้งอยู่
ในพระสัทธรรม และดำรงอยู่ในวิชาอันไม่มีโทษ ความที่จิตน้อมไปในการ
เว้นการฟังน้อยถึงความไกลจากกิเลส และเสพการฟังมาก เป็นบริวารของ
พาหุสัจจะ ความที่จิตน้อมไปในการพิจารณาเห็นภัยในอบาย พิจารณา
เห็นทางดำเนิน พิจารณาถึงการบูชาธรรม พิจารณาถึงการบรรเทาถีนมิทธะ
การเว้นบุคคลเกียจคร้าน การคบบุคคลปรารภความเพียรและความเพียร

ชอบ เป็นบริวารของวีริยะ. ความที่จิตน้อมไปในการเว้นบุคคลผู้ขาด
สติสัมปชัญญะ หลง ๆ ลืม ๆ และคนบุคคลผู้มีจิตตั้งมั่นเป็นบริวารของสติ.
ความที่จิตน้อมไปในสติให้ถึงความบริบูรณ์ด้วยอินทรีย์ ทำความเฉียบแหลม
ในเรื่องที่สอบถาม เว้นบุคคลปัญญาทราม คบบุคคลมีปัญญา และพิจารณา
ถึงข้อควรประพฤติอันเป็นญาณลึกซึ้ง เป็นบริวารของปัญญา. หมวด 4
แห่งคุณมีศีลเป็นต้น, บุพภาคภาวนาในอารมณ์ 38, และการการทำวสี มี
อาวัชชนวสีเป็นต้น เป็นบริวารของฌาณทั้ง 4. พึงเจาะจงกล่าวตามสมควร
ถึงความที่จรณะเป็นต้น เป็นปัจจัยแห่งการสะสมบารมีมีทานบารมีเป็นต้น
โดยนัยมีอาทิว่า ชื่อว่า เป็นผู้สามารถในการให้อภัยสัตว์ทั้งหลาย ด้วยความ
บริสุทธิ์แห่งการประกอบด้วยศีลเป็นต้น ในการให้อามิส ด้วยความบริสุทธิ์
แห่งอัธยาศัย ในการให้ธรรมด้วยความบริสุทธิ์ทั้งสองอย่าง. เราจะไม่เจาะจง
กล่าวเพราะเกรงว่าจะพิสดารเกินไป. แม้สมบัติจักรเป็นต้น ก็พึงทราบว่า
เป็นปัจจัยแห่งทานเป็นต้น ด้วยประการฉะนี้.
อะไรเป็นความเศร้าหมอง. ความลูบคลำด้วยตัณหาเป็นต้น เป็น
ความเศร้าหมองแห่งบารมีทั้งหลาย โดยไม่ต่างกัน. แต่โดยความต่างกัน
เป็นความเศร้าหมองแห่งทานบารมี เพราะกำหนดไทยธรรมและปฏิคาหก.
เป็นความเศร้าหมองแห่งศีลบารมี เพราะกำหนดบุคคลและกาลเวลา. เป็น
ความเศร้าหมองแห่งเนกขัมมบารมี เพราะกำหนดความยินดีและความไม่

ยินดีในการเข้าไประงับกิเลสนั้นในกามภพ. เป็นความเศร้าหมองแห่งปัญญา
บารมี เพราะกำหนดว่า เรา ของเรา ดังนี้. เป็นความเศร้าหมองแห่ง
วีริยบารมี เพราะกำหนดด้วยความหดหู่และความฟุ้งซ่าน. เป็นความเศร้า
หมองแห่งขันติบารมี เพราะกำหนดตนและผู้อื่น. เป็นความเศร้าหมองแห่ง
สัจบารมี เพราะกำหนดด้วยมีการเห็นในสิ่งที่ไม่ได้เห็นเป็นต้น. เป็น
ความเศร้าหมองของอธิษฐานบารมี เพราะกำหนดด้วยโทษและคุณ ใน
โพธิสมภารและฝ่ายตรงข้ามกับโพธิสมภาร. เป็นความเศร้าหมองของเมตตา
บารมี เพราะกำหนดด้วยประโยชน์และมิใช่ประโยชน์. เป็นความเศร้าหมอง
ของอุเบกขาบารมี เพราะกำหนดด้วยสิ่งน่าปรารถนาและไม่น่าปรารถนา
พึงเห็นด้วยประการฉะนี้แล.
อะไรเป็นความผ่องแผ้ว. พึงทราบว่า การไม่เข้าไปอาฆาตด้วยตัณหา
เป็นต้น การปราศจากความกำหนดตามที่กล่าวแล้ว เป็นความผ่องแผ้วของ
บารมีเหล่านั้น. เพราะบารมีมีทานบารมีเป็นต้น ปราศจากการกำหนด
ไทยธรรมและปฏิคาหกเป็นต้น อันกิเลสทั้งหลายมี ตัณหา มานะ ทิฏฐิ โกธะ
อุปนาหะ มักขะ ปลาสะ อิสสา มัจฉริยะ มายา สาไถย ถัมภะ สารัมภะ
มทะ ปมาทะ เป็นต้น ใช่จะเข้าไปกระทบ ย่อมเป็นบารมีบริสุทธิ์ผุดผ่อง.
อะไรเป็นปฏิปักษ์ ? ความเศร้าหมองแม้ทั้งหมด อกุศลธรรมแม้
ทั้งหมด เป็นปฏิปักษ์ของบารมีเหล่านั้น โดยไม่ต่างกัน. แต่โดยความ
ต่างกัน พึงทราบว่า ความตระหนี่เป็นต้น ที่กล่าวแล้ว ในตอนก่อนเป็น

ปฏิปักษ์ของบารมีเหล่านั้น. อีกอย่างหนึ่ง ทานเป็นปฏิปักษ์แก่โลภะ โทสะ
และโมหะ เพราะประกอบด้วยคุณ คือ อโลภะ อโทสะ อโมหะ ใน
ไทยธรรม, ปฏิคาหกและผลของทานทั้งหลาย. ศีลเป็นปฏิปักษ์แก่โลภะ
เป็นต้น เพราะปราศจากความคดคือโทสะมีกายเป็นต้น. เนกขัมมะเป็น
ปฏิปักษ์แก่หมวด 3 แห่ง โทสะ เพราะเว้นจาก กามสุข การเข้าไป
เบียดเบียนผู้อื่น และการทำตนให้ลำบาก. ปัญญาเป็นปฏิปักษ์ของโลภะ
เป็นต้น เพราะทำความมืดมนแก่โลภะเป็นต้น และเพราะทำความไม่มืดมน
แก่ญาณ. วีริยะเป็นปฏิปักษ์แก่โลภเป็นต้น ด้วยไม่ย่อหย่อน ไม่ฟุ้งซ่าน
และปรารภเพื่อความรู้. ขันติเป็นปฏิปักษ์แก่โลภเป็นต้น เพราะอดทนต่อ
ความสูญของสิ่งที่น่าปรารถนาและสิ่งไม่น่าปรารถนา. สัจจะเป็นปฏิปักษ์แก่
โลภเป็นต้น เพราะเป็นไปตามความเป็นจริง เมื่อผู้อื่นทำอุปการะและทำ
ความเสียหาย. อธิษฐานะเป็นปฏิปักษ์แก่ความโลภเป็นต้น เพราะครอบงำ
โลกธรรม แล้วไม่หวั่นไหวในการสั่งสมบารมีตามที่สมาทานแล้ว. เมตตา
เป็นปฏิปักษ์แก่ความโลภเป็นต้น เพราะสงบจากนิวรณ์. อุเบกขาเป็น
ปฏิปักษ์แก่ความโลภเป็นต้น เพราะกำจัดความคล้อยตามและความคับแค้น
ในสิ่งที่น่าปรารถนาและสิ่งที่ไม่น่าปรารถนา และเพราะเป็นไปอย่างสม่ำ
เสมอ พึงเห็นด้วยประการฉะนี้.
อะไรเป็นข้อปฏิบัติ ? การทำความอนุเคราะห์สัตว์ทั้งหลายโดยส่วนมาก
ด้วยการสละเครื่องอุปกรณ์ความสุข ร่างกายและชีวิตด้วยการกำจัดภัย และ

การชี้แจงธรรมเป็นข้อปฏิบัติของทานบารมี. ในทานบารมีนั้นมีทาน 3 อย่าง
โดยเป็นวัตถุที่ควรให้ คือ อามิสทาน 1 อภัยทาน 1 ธรรมทาน 1.
ในทานเหล่านั้น วัตถุที่พระโพธิสัตว์ควรให้มี 2 อย่าง คือ วัตถุภายใน 1
วัตถุภายนอก 1. ใน 2 อย่างนั้น วัตถุภายนอกมี 10 อย่าง คือ ข้าว 1
น้ำ 1 ผ้า 1 ยาน 1 ดอกไม้ 1 ของหอม 1 เครื่องลูบไล้ 1 ที่นอน 1
ที่อาศัย 1 ประทีป 1. บรรดาวัตถุมีข้าวเป็นต้น มีวัตถุหลายอย่าง โดย
จำแนก ของควรเคี้ยวและของควรบริโภคเป็นต้น. อนึ่ง วัตถุ 6 อย่าง คือ
รูปารมณ์จนถึงธรรมารมณ์. อนึ่ง บรรดาวัตถุมีรูปารมณ์เป็นต้น วัตถุ
หลายอย่าง โดยการจำแนกเป็นสีเขียวเป็นต้น. อนึ่ง วัตถุหลายอย่าง ด้วย
เครื่องอุปกรณ์อันทำความปลาบปลื้มหลายชนิด มีแก้วมณี กนก เงิน มุกดา
ประพาฬ นา ไร่ สวน ทาสหญิง ทาสชาย โค กระบือ เป็นต้น.
ในวัตถุเหล่านั้น พระมหาบุรุษ เมื่อจะให้วัตถุภายนอกรู้ด้วยตนเอง
ว่า จะให้วัตถุแก่ผู้มีความต้องการ. แม้เขาไม่ขอก็ให้. ไม่ต้องพูดถึงขอละ.
มีของให้ จึงให้. ไม่มีของให้ ย่อมไม่ให้. ให้สิ่งที่ปรารถนา. เมื่อมีไทยธรรม
ย่อมไม่ให้สิ่งที่ไม่ปรารถนา. อาศัยอุปการะตอบย่อมให้. เมื่อไม่มีไทยธรรม
ย่อมแบ่งสิ่งที่ปรารถนาให้สมควรแก่การแจกจ่าย. อนึ่ง ไม่ให้ศัสตรายาพิษ
และของเมาเป็นต้น อันจะนำมาซึ่งความเบียดเบียนผู้อื่น. แม้ของเล่นอัน
ประกอบด้วยความพินาศ และนำมาซึ่งความประมาท ก็ไม่ให้. อนึ่ง ไม่ให้
ของไม่เป็นที่สบาย มีน้ำดื่มและของบริโภคเป็นต้น หรือของที่เว้นจากการ

กำหนดแก่ผู้ขอที่เป็นไข้. แต่ให้ของเป็นที่สบายเท่านั้นอันสมควรแก่
ประมาณ.
อนึ่ง คฤหัสถ์ขอก็ให้ของสมควรแก่คฤหัสถ์. บรรพชิตขอก็ให้ของ
สมควรแก่บรรพชิต. ให้ไม่ให้เกิดความเบียดเบียนแก่ใคร ๆ ในบรรดาบุคคล
เหล่านี้ คือ มารดาบิดา ญาติสาโลหิต มิตรอำมาตย์ บุตรภรรยา ทาส
และกรรมกร. อนึ่ง รู้ไทยธรรมดีมาก ไม่ให้ของเศร้าหมอง. อนึ่ง ไม่ให้
อาศัยลาภสักการะความสรรเสริญ. ไม่ให้อาศัยการตอบแทน. ไม่ให้หวังผล
เว้นแต่สัมมาสัมโพธิญาณ. ไม่ให้รังเกียจผู้ขอหรือไทยธรรม. อนึ่ง ไม่ให้
ทานทอดทิ้ง ยาจกผู้ไม่สำรวม แม้ผู้ด่าและผู้โกรธ. ที่แท้มีจิตเลื่อมใสให้
อนุเคราะห์ด้วยความเคารพอย่างเดียว. ไม่ให้เพราะเชื่อมงคลตื่นข่าว. ให้
เพราะเชื่อกรรมและผลแห่งกรรมเท่านั้น. ไม่ให้โดยที่ทำยาจกให้เศร้าหมอง
ด้วยการให้เข้าไปนั่งใกล้เป็นต้น. ให้ไม่ทำให้ยาจกเศร้าหมอง. อนึ่ง ไม่ให้
ประสงค์จะลวงหรือประสงค์จะทำลายผู้อื่น. ให้มีจิตไม่เศร้าหมองอย่างเดียว.
ไม่ให้ทานใช้วาจาหยาบ หน้านิ่วคิ้วขมวด. ให้พูดน่ารัก พูดก่อน พูดพอ
ประมาณ. โลภะมีมากในไทยธรรมใด เพราะความพอใจยิ่งก็ดี เพราะสะสม
มานานก็ดี เพราะความอยากตามสภาพก็ดี. พระโพธิสัตว์รู้อยู่บรรเทาไทย-
ธรรมนั้นโดยเร็ว แล้วแสวงหายาจกให้. อนึ่ง ไทยวัตถุใดนิดหน่อย
แม้ยาจกก็ปรากฏแล้ว แม้ไม่คิดถึงไทยวัตถุนั้น ก็ทำตนให้ลำบาก แล้วให้
ยาจักนับถือเหมือนอกิตติบัณฑิต ฉะนั้น. อนึ่ง มหาบุรุษ เมื่อบุตรภรรยา

ทาสกรรมกรบุรุษของตน ไม่รู้องเรียกถึงความโทมนัสขอ ย่อมไม่ให้แก่
ยาจกทั้งหลาย. แต่เมื่อชนเหล่านั้นร้องเรียกถึงความโสมนัสโดยชอบ จึงให้.
อนึ่ง เมื่อให้รู้อยู่ย่อมไม่ให้แก่ยักษ์ รากษส ปีศาจ เป็นต้น หรือแก่มนุษย์
ผู้ทำการงานหยาบช้า. อนึ่ง แม้ราชสมบัติก็ไม่ให้แก่คนเช่นนั้น. ให้แก่
ผู้ที่ไม่ปฏิบัติเพื่อความไม่เป็นประโยชน์ เพื่อทุกข์ เพื่อความพินาศแก่โลก
ผู้ที่ตั้งอยู่ในธรรม คุ้มครองโลกโดยธรรม. พึงทราบการปฏิบัติในทาน
ภายนอก ด้วยประการฉะนี้.
ส่วนทานภายในพึงทราบโดยอาการ 2 อย่าง. อย่างไร ? เหมือน
บุรุษคนใดคนหนึ่งสละตน เพราะเหตุอาหารและเครื่องปกปิดแก่ผู้อื่น. ย่อม
ถึงความเป็นผู้เชื่อฟัง ความเป็นทาสฉันใด. พระมหาบุรุษก็ฉันนั้นเหมือน
กัน มีจิตปราศจากอามิสเพราะเหตุสัมโพธิญาณ ปรารถนาประโยชน์สุขอัน
ยอดเยี่ยมแก่สัตว์ทั้งหลาย ประสงค์จะบำเพ็ญทานบารมีของตน จึงสละตน
เพื่อคนอื่น ย่อมถึงความเป็นผู้เชื่อฟัง ความเป็นผู้ต้องทำตามความประสงค์.
ไม่หวั่นไหว ไม่ท้อแท้ มอบอวัยวะน้อยใหญ่มีมือเท้าและนัยน์ตาเป็นต้น
ให้แก่ผู้ต้องการด้วยอวัยวะนั้น ๆ. ไม่ข้องใจ ไม่ถึงความสยิ้วหน้า ในการ
มอบให้นั้น เหมือนในวัตถุภายนอก. เป็นความจริงอย่างนั้น พระมหาบุรุษ
ยังความปรารถนาของยาจกเหล่านั้นให้บริบูรณ์ ด้วยการบริโภคตามสบาย
หรือด้วยความชำนาญของตน จึงสละวัตถุภายนอกด้วยอาการ 2 อย่าง ด้วย
หวังว่า เราให้ทานหมดสิ้นแล้ว จักบรรลุสัมโพธิญาณด้วยการเสียสละอย่างนี้
ดังนี้. พึงทราบการปฏิบัติในวัตถุภายใน ด้วยประการฉะนี้.

ให้วัตถุภายในที่ให้ ย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์แก่ยาจกโดยส่วนเดียว
เท่านั้น. ใช่จะให้พวกนั้น. อนึ่ง พระมหาบุรุษ เมื่อรู้ย่อมไม่ให้อัตภาพหรือ
อวัยวะน้อยใหญ่ของตนแก่มารหรือแก่เทวดาผู้เนื่องด้วยหมู่มาร ผู้ประสงค์
จะเบียดเบียน ด้วยคิดว่า ความฉิบหายอย่าได้มีแก่มารเหล่านั้น. ย่อม
ไม่ให้แม้แต่ตุ๊กตาแป้ง เหมือนไม่ให้แก่เทวดาผู้เนื่องด้วยหมู่มาร ฉะนั้น.
ไม่ให้แม้แก่คนบ้า. แต่คนพวกนั้นขอให้ตลอดไป. เพราะการขอเช่นนั้น
หาได้ยาก และเพราะการให้เช่นนั้นทำได้ยาก.
ส่วนอภัยทาน พึงทราบโดยความป้องกันจากภัย ที่ปรากฏแก่สัตว์
ทั้งหลาย จากพระราชา โจร ไฟ น้ำ ศัตรู สัตว์ร้ายมีราชสีห์ เสือโคร่ง
เป็นต้น.
ส่วนธรรมทาน ได้แก่การแสดงธรรมไม่วิปริต แก่ผู้มีจิตไม่เศร้า
หมอง. การชี้แจงประโยชน์อันสมควร นำผู้ยังไม่เข้าถึงศาสนาให้เข้าถึง
ผู้เข้าถึงแล้วให้เจริญงอกงาม ด้วยทิฏฐธรรมิกประโยชน์ สัมปรายิกและ
ปรมัตถประโยชน์. ในการแสดงธรรมนั้น พึงทราบนัยโดยสังเขป ดังนี้ก่อน
คือ ทานกถา ศีลกถา สัคคกถา โทษและความเศร้าหมองของกามและ
อานิสงส์ในการออกจากกาม. ส่วนโดยพิสดาร พึงทราบประดิษฐานและ
การทำให้ผ่องแผ้วในธรรมนั้นๆ ตามสมควร ด้วยสามารถการประกาศคุณของ
ธรรมเหล่านั้น แก่ผู้มีจิตน้อมไปแล้วในสาวกโพธิญาณ คือ การเข้าถึงสรณะ
การสำรวมศีล ความคุ้มครองทวารอินทรีย์ทั้งหลาย ความรู้จักประมาณ

ในการบริโภค การประกอบความเพียรเนือง ๆ สัทธรรม 7 การประกอบ
สมถะ ด้วยการทำกรรมในอารมณ์ 38 การประกอบวิปัสสนา ด้วยหัวข้อ
คือการยึดมั่นตามสมควรในการยึดมั่นวิปัสสนา ในรูปกายเป็นต้น. ปฏิปทา
เพื่อความหมดจดอย่างนั้น การยึดถือความถูกต้อง วิชชา 3 อภิญญา 6
ปฏิสัมภิทา 4 สาวกโพธิญาณ. อนึ่ง พึงทราบการประดิษฐาน การทำให้
ผ่องแผ้วในญาณทั้งสอง ด้วยการประกาศความเป็นผู้มีอานุภาพมาก ของ
พระพุทธเจ้าเหล่านั้น ในฐานะแม้ 3 อย่าง โดยหัวข้อประกาศมิสภาวะ
ลักษณะและรสเป็นต้น ของบารมีมีทานบารมีเป็นต้น ตามสมควรแก่สัตว์
ทั้งหลาย ผู้น้อมไปในปัจเจกโพธิญาณ และในสัมมาสัมโพธิญาณ. พระ-
มหาบุรุษย่อมให้ธรรมทานแก่สัตว์ทั้งหลาย ด้วยประการฉะนี้.
อนึ่ง พระมหาบุรุษเมื่อให้อามิสทานแก่สัตว์ทั้งหลาย ย่อมให้ทานข้าว
ด้วยตั้งใจว่า เราพึงยังสมบัติมีอายุ วรรณ สุข พล ปฏิภาณเป็นต้น และ
สมบัติคือผลเลิศน่ารื่นรมย์ให้สำเร็จแก่สัตว์ทั้งหลายด้วยทานนี้. อนึ่ง ให้น้ำ
เพื่อระงับความกระหายคือกามกิเลสของสัตว์ทั้งหลาย. ให้ผ้าเพื่อให้ผิวพรรณ
งาม และเพื่อให้สำเร็จเครื่องประดับคือหิริโอตตัปปะ. ให้ยานเพื่อให้สำเร็จ
อิทธิวิธี คือการแสดงฤทธิได้ และนิพพานสุข. ให้ของหอม เพื่อให้
สำเร็จความหอมคือศีล. ให้ดอกไม้และเครื่องลูบไล้เพื่อให้สำเร็จความงาม
ด้วยพุทธคุณ. ให้อาสนะเพื่อให้สำเร็จอาสนะ ณ โพธิมณฑล. ให้ที่นอน
เพื่อให้สำเร็จตถาคตไสยา คือนอนแบบพระตถาคต. ให้ที่พักเพื่อให้สำเร็จ

ความเป็นสรณะ. ให้ประทีปเพื่อให้ได้ปัญจจักขุ. ให้รูปเป็นทานเพื่อให้
สำเร็จรัศมีออกจากกายวาหนึ่ง. ให้เสียงเป็นทานเพื่อให้สำเร็จเสียงดุจเสียง
พรหม. ให้รสเป็นทานเพื่อเป็นที่รักของโลกทั้งปวง. ให้โผฏฐัพพะเป็นทาน
เพื่อความเป็นพุทธสุขุมาล คือความละเอียดอ่อนของพระพุทธเจ้า. ให้
เภสัชเป็นทานเพื่อความไม่แก่ไม่ตาย. ให้ความเป็นไทแก่ทาสทั้งหลายเพื่อ
ปลดเปลื้องความเป็นทาสคือกิเลส. ให้ความยินดีในของเล่นที่ไม่มีโทษ
เป็นทานเพื่อความยินดีในพระสัทธรรม. ให้บุตรเป็นทานเพื่อนำสัตว์ทั้งหมด
ออกไปจากความเป็นบุตรของตนในชาติเป็นอริยะ. ให้ภรรยาเป็นทานเพื่อ
ถึงความเป็นใหญ่แห่งโลกทั้งสิ้น. ให้ทองแก้วมณี แก้วมุกดา แก้ว
ประพาฬเป็นต้น เป็นทานเพื่อความสมบูรณ์ด้วยลักษณะงาม. ให้เครื่อง
ประดับนานาชนิดเป็นทานเพื่อความสมบูรณ์แห่งอนุพยัญชนะ. ให้คลัง
สมบัติเป็นทานเพื่อบรรลุพระสัทธรรม. ให้ราชสมบัติเป็นทานเพื่อความเป็น
พระธรรมราชา. ให้สวน สระ ป่า เป็นทานเพื่อความสมบูรณ์แห่งฌาน
เป็นต้น ให้เท้าเป็นทานเพื่อก้าวไปสู่รัศมีโพธิมณฑลด้วยเท้ามีรอยจักร.
ให้มือเป็นทานเพื่อให้มือคือพระสัทธรรมแก่สัตว์ทั้งหลาย เพื่อถอนออกจาก
โอฆะ 4. ให้หูและจมูกเป็นทานเพื่อได้อินทรีย์มีสัทธินทรีย์เป็นต้น. ให้
จักษุเป็นทานเพื่อให้สมันตจักข คือจักษุโดยรอบ. ให้เนื้อและเลือดเป็นทาน
ด้วยหวังว่า จะนำประโยชน์สุขมาให้แก่สรรพสัตว์ตลอดกาลทั้งปวง ในการ
เห็น การฟัง การระลึกถึง การบำเรอเป็นต้น. และกายของเราพึงเป็น

กายอันโลกทั้งปวงพึงเข้าไปอาศัย. ให้อวัยวะสูงที่สุด เป็นทานด้วยหวังว่า
เราจะพึงเป็นผู้สูงที่สุดในโลกทั้งปวง.
อนึ่ง มหาบุรุษเมื่อให้อย่างนี้ไม่ให้เพื่อนแสวงหาผิด ไม่ให้เพื่อเบียด
เบียนผู้อื่น ไม่ให้เพราะกลัว เพราะละอาย เพราะเคืองทักขิไณยบุคคล.
เมื่อมีของประณีตไม่ให้ของเศร้าหมอง. ไม่ให้ด้วยการยกตน ด้วยการข่ม
ผู้อื่น ด้วยหวังผล ด้วยเกลียดยาจก ด้วยไม่เคารพ. ที่แท้ให้ด้วยความ
เคารพ. ให้ด้วยมือของตน. ให้ตามกาล. ทำความเคารพแล้วให้. ให้ด้วย
ไม่แบ่งออก. ให้มีใจยินดีใน 3 กาล. ครั้นให้แล้วก็ไม่เดือดร้อนในภาย
หลัง. ไม่ยกย่องและดูหมิ่นปฏิคาหก. เปล่งถ้อยคำน่ารัก รู้คำพูด ผู้เข้าไปขอ
ให้พร้อมทั้งบริวาร. เพราะเมื่อให้ข้าวเป็นทานย่อมให้พร้อมด้วยผ้าเป็นต้น
ด้วยตั้งใจว่า เราจักทำสิ่งนั้นให้เป็นบริวารแล้วให้. อนึ่ง เมื่อให้ผ้าเป็นทาน
ย่อมให้พร้อมกับข้าวเป็นต้น ด้วยตั้งใจว่า เราจักทำผ้านั้นให้บริวารแล้วให้
แม้ในการให้ยานเป็นต้นก็มีนัยนี้เหมือนกัน.
อนึ่ง มหาบุรุษเมื่อให้รูปเป็นทานกระทำแม้อารมณ์นอกนั้น ให้เป็น
บริวารของรูปนั้นแล้วให้. แม้ในบทที่เหลือก็อย่างนี้. ได้รูปเป็นทานอย่างใด
อย่างหนึ่ง ในบรรดาดอกไม้และผ้าเป็นต้น มีสีเขียว เหลือง แดงและขาว
เป็นต้น แล้วนั่งขัดสมาธิกำหนดรูปคิดว่า เราจักให้รูปเป็นทาน. รูปเป็น

ทาน เป็นของเราทำพร้อมวัตถุยังทานให้ตั้งอยู่ในทักขิไณยบุคคลเช่นนั้น.
นี้ชื่อว่ารูปเป็นทาน.
พึงทราบการให้เสียงเป็นทานด้วยเสียงกลองเป็นต้น. ในการให้เสียง
เป็นทานนั้นไม่สามารถให้เสียงได้ดุจถอนเง่าและรากบัว และดุจวางกำดอก.
บัวเขียวลงบนมือ. แต่ทำให้พร้อมกับวัตถุ แล้วให้ชื่อว่าให้เสียงเป็นทาน.
เพราะฉะนั้น ในกาลใดทำเองและใช้ให้ทำเพลงบูชาพระรัตนตรัยด้วยดนตรี
อย่างใดอย่างหนึ่งมีกลองและตะโพนเป็นต้น ด้วยคิดว่าเราจักให้เสียงเป็น
ทาน. ตั้งไว้เองและให้ผู้อื่นตั้งกลองเป็นต้น ด้วยตั้งใจว่า เสียงเป็นทาน
ของเรา. ให้ยาเสียงมีน้ำมันและน้ำผึ้งเป็นต้นแก่พระธรรมกถึกทั้งหลาย.
ประกาศฟังธรรม. สวดสรภัญญะ. กล่าวธรรมกถา. ทำเองและให้ผู้อื่นทำ
อุปนิสินนกถา คือกถาของผู้เข้าไปนั่งใกล้ และอนุโมทนากถา คือกถา
อนุโมทนา. ในกาลนั้นชื่อว่าให้เสียงเป็นทาน.
อนึ่ง มหาบุรุษได้วัตถุมีกลิ่นหอมน่ายินดีอย่างใดอย่างหนึ่ง มีกลิ่น
หอมที่รากของต้นไม้มีกลิ่นเป็นต้น หรือกลิ่นไร ๆ ที่อบแล้ว นั่งขัดสมาธิ
กำหนดกลิ่นคิดว่า เราจักให้กลิ่นเป็นทาน. กลิ่นเป็นทานของเราแล้วทำเอง
และให้ผู้อื่นทำการบูชาพระพุทธรัตนะเป็นต้น. มหาบุรุษบริจาควัตถุมีกลิ่น
มีกฤษณาและจันทน์เป็นต้นเพื่อบูชากลิ่น. นี้ชื่อว่าให้กลิ่นทาน.

อนึ่ง มหาบุรุษได้วัตถุมีรสน่ายินดีอย่างใดอย่างหนึ่งมีรากที่รากเป็นต้น
นั่งขัดสมาธิกำหนดรสคิดว่าเราจักให้รสเป็นทาน รสเป็นทานของเราแล้ว
ให้แก่ทักขิไณยบุคคล. หรือสละข้าวเปลือกและโคเป็นต้นอันมีวัตถุเป็นรส.
นี้ชื่อว่าให้รสเป็นทาน.
อนึ่ง ให้โผฏฐัพพะเป็นทานพึงทราบด้วยสามารถเตียงและตั่งเป็นต้น
และด้วยสามารถเครื่องลาดและเครื่องคลุมเป็นต้น.
มหาบุรุษได้วัตถุเป็นโผฏฐัพพะไม่มีโทษน่ายินดี มีสัมผัสสบาย มี
เตียงตั่งฟูกหมอนเป็นต้น หรือมีผ้านุ่งผ้าห่มเป็นต้น นั่งขัดสมาธิกำหนด
โผฏฐัพพะคิดว่า เราจักให้โผฏฐัพพะเป็นทาน. โผฏฐัพพะเป็นทานของเรา
แล้วให้แก่ทักขิไณยบุคคล. ได้วัตถุเป็นโผฏฐัพพะตามที่กล่าวแล้วสละ. นี้
ชื่อว่าให้โผฏฐัพพะเป็นทาน.
อนึ่ง พึงทราบธรรมทานด้วยสามารถแห่งชีวิตดื่มด่ำมีโอชะ เพราะ
ประสงค์เอาธรรมารมณ์. จริงอยู่ มหาบุรุษได้วัตถุน่ายินดีอย่างใดอย่างหนึ่ง
มีรสโอชาเป็นต้น แล้วนั่งขัดสมาธิคิดว่า เราจักให้ธรรมเป็นทาน. ธรรม
เป็นทานของเราแล้วให้ของมีรสอร่อยมีเนยใสเนยขึ้นเป็นต้นเป็นทาน ให้
ปานะ 8 อย่าง มีอัมพปานะเป็นต้น. มหาบุรุษนั่งขัดสมาธิคิดว่าจะให้ชีวิต
เป็นทาน จึงให้สลากภัตรและปักขิกภัตรเป็นต้น. จัดหาหมอเยียวยาคนเจ็บ
ป่วย. ทำลายตาข่าย. รื้อไซดักปลา. เปิดกรงนก. ให้ปล่อยสัตว์ที่ผูกไว้

ด้วยเครื่องผูก. ตีกลองป่าวประกาศมิให้ฆ่าสัตว์. ทำเองและให้ผู้อื่นทำกรรม
อย่างอื่นและกรรมเห็นปานนี้เพื่อป้องกันชีวิตสัตว์ทั้งหลาย. นี้ชื่อว่าให้ธรรม
เป็นทาน.
มหาบุรุษน้อมทานสัมปทาตามที่กล่าวแล้วนี้ทั้งหมด เพื่อประโยชน์
สุขแก่โลกทั้งสิ้น. อนึ่ง น้อมทานสัมปทาเพื่อสัมมาสัมโพธิญาณของตน
เพื่อวิมุติไม่กำเริบ เพื่อฉันทะ วิริยะ สมาธิ ปฏิภาณ ญาณ วิมุติไม่
สิ้นไป. พระมหาสัตว์ปฏิบัติทานบารมีนี้พึงปรากฏอนิจจสัญญาในชีวิต ใน
โภคะก็เหมือนกัน. พึงมนสิการถึงความเป็นสาธารณะอย่างมากแก่สัตว์
เหล่านั้น. พึงให้ปรากฏมหากรุณาในสัตว์ทั้งหลายเนือง ๆ สม่ำเสมอ. ถือ
เอาทรัพย์สินที่ควรถือเอาไปได้ นำสมบัติทั้งหมดและตนออกจากเรือนดุจ
ออกจากบ้านที่ถูกไฟไหม้ไม่ให้มีอะไรเหลือ. ไม่ทำการแบ่งในที่ไหน ๆ.
โดยที่แท้เป็นผู้ไม่เพ่งเล็งสละหมดเลย. นี้เป็นลำดับแห่งการปฏิบัติทาน.
บารมี.
อนึ่ง พึงทราบลำดับแห่งการปฏิบัติศีลบารมีต่อไป. มหาบุรุษผู้
ประสงค์จะตกแต่งสัตว์ทั้งหลายด้วยเครื่องประดับ คือศีลของพระสัพพัญญู
ควรชำระศีลของตนตั้งแต่ต้นก่อน. อนึ่ง ศีลย่อมบริสุทธิ์โดยอาการ 4 อย่าง
คือโดยความบริสุทธิ์แห่งอัธยาศัย 1 โดยการสมาน 1 โดยไม่ก้าวล่วง 1
และโดยทำให้เป็นปกติเมือมีการก้าวล่วง 1 จริงอยู่ บางคนมีตนเป็นใหญ่

เพราะอัธยาศัยบริสุทธิ์ เกลียดบาปยังหิริให้ปรากฏในภายใน แล้วมีสมา-
จารบริสุทธิ์ด้วยดี. อนึ่ง บางคนเมื่อมีการสมาทาน ถือโลกเป็นใหญ่ สะดุ้ง
ต่อบาปยังโอตตัปปะให้ปรากฏ เป็นผู้มีสมาจารบริสุทธิ์ด้วยดี. ด้วยประการ
ฉะนี้ คนเหล่านั้นย่อมตั้งอยู่ในศีล เพราะไม่ล่วงแม้ทั้งสองอย่าง. ก็แต่ว่า
บางคราว เพราะหลงลืมไปศีลก็จะพึงขาดไปเป็นต้น. กระทำศีลที่ขาดไปนั้น
ให้เป็นปกติโดยเร็ว ด้วยการอยู่กรรมเป็นต้น เพื่อความถึงพร้อมแห่งหิริ-
โอตตัปปะตามที่กล่าวแล้วนั้น.
ศีลนี้มี 2 อย่าง คือวาริตตศีล 1 จาริตตศีล 1. ในศีล 2 อย่าง
นั้น พึงทราบลำดับการปฏิบัติ ในวาริตตศีลของพระโพธิสัตว์ดังต่อไปนี้.
พึงเป็นผู้มีจิตเอ็นดูในสรรพสัตว์โดยที่แม้ฝันก็ไม่พึงเกิดความอาฆาต. ไม่พึง
จับต้องของของคนอื่นดุจงู เพราะยินดีในการช่วยเหลือผู้อื่น หากเป็น
บรรพชิต เป็นผู้ประพฤติห่างไกลจากอพรหมจรรย์ ปราศจากเมถุนสังโยค
7 อย่าง. ไม่ต้องพูดถึงจากการล่วงภรรยาคนอื่นละ. อนึ่ง หากว่าเป็น
คฤหัสถ์ไม่ใช่บรรพชิต แม้จิตลามกก็มิให้เกิดขึ้นในภรรยาของผู้อื่นทุกเมื่อ
เมื่อพูดก็พูดคำพอประมาณเป็นคำจริงมีประโยชน์ น่ารัก แกละกล่าวธรรม
ตามกาละ. ไม่โลภ ไม่พยาบาท ไม่เห็นวิปริต ประกอบด้วยกัมมัสสกตญาณ
มีศรัทธามั่นคงในการปฏิบัติชอบ มีความรักมั่นคงในที่ทั้งปวง
เมื่อมหาบุรุษงดเว้นจากอกุศลกรรมบถอันเป็นทางแห่งอบาย 4 และ
วัฏฏทุกข์และจากอกุศลธรรม แล้วตั้งอยู่ในกุศลกรรมบถอันเป็นทางแห่ง

สวรรค์และนิพพาน ความปรารถนาอันเข้าไปประกอบประโยชน์สุขแก่สัตว์
ทั้งหลายตามปรารถนา เพราะเป็นผู้มีอัธยาศัยบริสุทธิ์ย่อมสำเร็จเร็วพลัน.
บารมีย่อมบริบูรณ์. มหาบุรุษนี้เป็นอย่างนี้. มหาบุรุษย่อมให้อภัยทานแก่
สรรพสัตว์ด้วยไม่ประพฤติเบียดเบียน. ยังเมตตาภาวนาให้สมบูรณ์โดยไม่
ยาก. ย่อมบรรลุอานิสงส์เมตตา 11 ประการ. มีอาพาธน้อย ไม่ป่วยเจ็บ
มีอายุยืน มีสุขมากย่อมถึงลักษณวิเศษ. และตัดวาสนาอันเป็นโทษได้.
อนึ่ง เพราะไม่ลักทรัพย์จึงได้โภคสมบัติอันไม่ทั่วไปด้วยโจรเป็นต้น.
คนอื่นไม่รังเกียจ เป็นที่รัก เป็นที่ชอบใจ น่าคบหามีใจไม่ข้องวิภวสมบัติ
ชอบบริจาค และตัดวาสนาอันเป็นโลภะได้.
เพราะไม่ประพฤติผิดพรหมจรรย์จึงเป็นผู้ไม่โลเลมีกายใจสงบ. เป็น
ที่รักเป็นที่ชอบใจ ไม่เป็นที่รังเกียจของสัตว์ทั้งหลาย. กิตติศัพท์อันงาม
ของเขาย่อมฟุ้งไป. ไม่มีจิตข้องในมาตุคามทั้งหลาย มีอัธยาศัยไม่โลภ.
มากไปด้วยเนกขัมมะย่อมได้ลักษณะวิเศษและตัดวาสนาอันเป็นโลภะได้.
เพราะไม่พูดเท็จจึงเป็นประมาณของสัตว์ทั้งหลาย เป็นที่เชื่อถือได้ไว้
ใจได้มีถ้อยคำควรถือได้. เป็นที่รัก เป็นที่ชอบใจของทวยเทพ. มีปากหอม
รักษากายสมาจาร วจีสมาจาร. ย่อมได้ลักษณวิเศษ. และตัดวาสนาอัน
เป็นกิเลสได้.

เพราะไม่พูดส่อเสียดจึงมีกายไม่แตกแยก มีบริวารไม่แตกแยก แม้
ด้วยความพยายามของคนอื่น. มีเสียงไม่แตกแยกในพระสัทธรรม. มีมิตร
มั่นคง เป็นที่รักของสัตว์ทั้งหลายโดยส่วนเดียวดุจสะสมไว้ในระหว่างภพ
มากด้วยความไม่เศร้าหมอง.
เพราะไม่พูดหยาบ จึงเป็นที่รัก เป็นที่ชอบใจของสัตว์ทั้งหลาย มี
ปกติอยู่เป็นสุข พูดเพราะ น่ายกย่อง. เสียงของเขาประกอบด้วยองค์ 8
ย่อมเกิดขึ้น.
เพราะไม่พูดเพ้อเจ้อจึงเป็นที่รัก เป็นที่ชอบใจ น่าเคารพ น่ายกย่อง
ของสัตว์ทั้งหลาย มีถ้อยคำควรเชื่อถือได้ พูดพอประมาณ. มีศักดิ์และ
อานุภาพมาก. ฉลาดในการแก้ปัญหาด้วยปฏิภาณฉับพลัน. สามารถในการ
แก้ปัญหามากมายของสัตว์ทั้งหลาย หลายภาษาด้วยคำคำเดียวเท่านั้นใน
พุทธภูมิ.
เพราะเป็นผู้ไม่โลภ จึงมีลาภที่ต้องการ. ได้ความชอบใจในโภคะ
มากมาย. เป็นที่ยอมรับของกษัตริย์มหาศาลเป็นต้น. ข้าศึกครอบงำไม่ได้.
ไม่ถึงความเป็นผู้มีอินทรีย์พิกลพิการ. และเป็นบุคคลหาผู้เปรียบมิได้.
เพราะไม่พยาบาทจึงเป็นผู้ดูน่ารัก. เป็นที่ยกย่องของสัตว์ทั้งหลาย
ให้สัตว์เลื่อมใสโดยไม่ยาก เพราะเป็นผู้พอใจยิ่งในประโยชน์ของผู้อื่น. อนึ่ง
เป็นผู้มีสภาวะไม่เศร้าหมอง อยู่ด้วยเมตตา. เป็นผู้มีศักดิ์มีอานุภาพมาก.

เพราะเป็นผู้ไม่เห็นผิดจึงย่อมได้สหายดี. แม้จะถึงตัดศีรษะก็ไม่ทำ
กรรมชั่ว. เป็นผู้ไม่เชื่อมงคลตื่นข่าวเพราะเห็นความที่สัตว์มีกรรมเป็นของ
ตน. ศรัทธาของเราเป็นรากตั้งมั่นในพระสัทธรรม. เชื่อการตรัสรู้ของ
พระตถาคต. ไม่ยินดีในลัทธิอื่นดุจพระยาหงส์ ไม่ยินดีในที่มีขยะฉะนั้น.
เป็นผู้ฉลาดในการกำหนดรู้ลักษณะ 3 อย่างไร. และเป็นผู้ได้อนาวรณญาณ
ในที่สุด. ยังไม่บรรลุโพธิญาณเพียงใด จะเป็นผู้เด่นในหมู่สัตว์นั้น ๆ เพียง
นั้นและถึงสมบัติมากมายก่ายกอง. พึงยังการนับถืออย่างมากให้เกิดขึ้นว่า
ชื่อว่าศีลนี้เป็นที่ตั้งแห่งสรรพสมบัติ. เป็นแดนเกิดของพระพุทธคุณทั้งปวง.
เป็นเบื้องต้น เป็นจรณะ เป็นหน้า เป็นประมุขของพุทธการกธรรมทั้งปวง
แล้ว พึงเป็นผู้ไม่ประมาทในการสำรวมกายวาจา ในการฝึกอินทรีย์ ใน
ความบริสุทธิ์ของอาชีวะและในการบริโภคปัจจัยทั้งหลาย ด้วยกำลังแห่ง
สติสัมปชัญญะ กำหนดลาภสักการะและความสรรเสริญ ดุจศัตรูต่อหน้า
ทำเป็นมิตรแล้วให้ศีล สมบูรณ์โดยเคารพตามนัยดังกล่าวแล้ว มีอาทิว่า
กิกิว อณฺฑํ ดังนี้. นี้เป็นลำดับของการปฏิบัติในวาริตตศีล.
ส่วนการปฏิบัติในจาริตตศีลพึงทราบอย่างนี้. พระโพธิสัตว์กระทำ
อภิวาท ต้อนรับ อัญชลีกรรม สามีจิกรรม แก่กัลยาณมิตรผู้ดำรงอยู่ในฐานะ
ครูตลอดเวลา. อนึ่งทำการบำรุงกัลยาณมิตรเหล่านั้นตลอดเวลา. ทำการ
ช่วยเหลือคนไข้ทั้งหลาย. ฟังบทสุภาษิตแล้วทำสาธุการ. พรรณาคุณของ

ผู้มีคุณธรรม อดทนในการทำความเสียหายของคนอื่น. ระลึกถึงผู้ทำ
อุปการะ. อนุโมทนาบุญ. น้อมบุญของตนเพื่อสัมมาสัมโพธิญาณ. อยู่ใน
ความไม่ประมาทในกุศลธรรมทั้งหลายตลอดกาล. เมื่อมีโทษเห็นโดยความ
เป็นโทษแล้ว แจ้งแก่สหธรรมิกเช่นนั้นตามความเป็นจริง. บำเพ็ญสัมมา
ปฏิบัติให้ยิ่งโดยชอบ.
อนึ่ง เมื่อควรทำสิ่งเป็นประโยชน์อันสมควรของตนแก่สัตว์ทั้งหลาย
เป็นผู้ขยัน ไม่เกียจคร้านถึงความเป็นสหาย. อนึ่ง เมื่อทุกข์มีความเจ็บป่วย
เป็นต้นเกิดขึ้นแก่สัตว์ทั้งหลาย เป็นผู้จัดการช่วยเหลือตามสมควร. เมื่อ
สัตว์ทั้งหลายตกอยู่ในความเสื่อมมีความเสื่อมจากญาติและสมบัติเป็นต้น ก็
ช่วยบรรเทาความเศร้าโศก เป็นผู้ตั้งอยู่ในสภาพที่จะช่วยเหลือ ข่มผู้ที่
ควรข่มโดยถูกธรรม เพื่อให้พ้นจากอกุศลแล้วตั้งอยู่ในกุศล. ยกย่องผู้ที่
ควรยกย่องโดยธรรม. กรรมใดที่ทำได้ยากอย่างยิ่ง กว้างขวางที่สุด มี
อานุภาพเป็นอจินไตยอันนำประโยชน์สุขมาให้แก่สัตว์ทั้งหลายโดยส่วนเดียว
อันพระมหาโพธิสัตว์แต่ก่อนได้ประพฤติแล้ว. โพธิสมภารของพระมหา-
โพธิสัตว์เหล่านั้นได้ถึงความแก่กล้าโดยชอบด้วยกรรมใด. ฟังกรรมเหล่านั้น
แล้วไม่หวาดสะดุ้ง มหาบุรุษแม้เหล่านั้นก็เป็นมนุษย์เหมือนกัน. มีอัตภาพ
อบรมเพื่อความบริบูรณ์แห่งการศึกษาตามลำดับ ได้บรรลุถึงบารมีอย่าง
อุกฤษฏ์ในโพธิสมภารเพื่อถึงพร้อม ด้วยอานุภาพอันยอดเยี่ยมเช่นนั้น.

เพราะฉะนั้น แม้เราก็พึงปฏิบัติอย่างนั้นโดยชอบในสิกขามีศีลสิกขาเป็นต้น.
ไม่สละความเพียรอันมีศรัทธาเป็นบุเรจาริกด้วยคิดว่า แม้เราก็จะบำเพ็ญ
สิกขาให้บริบูรณ์ตามลำดับด้วยการปฏิบัติ แล้วจักบรรลุตามถึงบทนั้นโดย
ส่วนเดียว ดังนี้ชื่อว่าเป็นผู้ทำความบริบูรณ์ในศีลทั้งหลายโดยชอบ.
อนึ่ง มหาบุรุษเป็นผู้ปกปิดความดี เปิดเผยโทษ. มักน้อย สันโดษ
สงัด ไม่คลุกคลี ทนต่อทุกข์ ไม่หวาดสะดุ้ง ไม่ฟุ้งซ่าน ไม่เย่อหยิ่ง ไม่
หวั่นไหว ไม่ปากร้าย ไม่แส่หาเรื่อง มีอินทรีย์สงบ ใจสงบปราศจาก
มิจฉาชีพมีการหลอกลวงเป็นต้น ถึงพร้อมด้วยอาจาระ และโคจร เห็นภัย
ในโทษ แม้มีประมาณน้อย สมาทานศึกษาในสิกขาบท ปรารภความเพียร
มีตนมั่นคง ไม่คำนึงถึงกายและชีวิต. ไม่ยอมรับละบรรเทาความเพ่งในกาย
และชีวิตแม้มีประมาณน้อย. ไม่ต้องพูดถึงมีประมาณมากละ. ละบรรเทา
อุปกิเลส มีโกรธ และผูกโกรธเป็นต้น อันเป็นเหตุแห่งความเป็นผู้ทุศีล
แม้ทั้งปวง. เป็นผู้ไม่ยินดีด้วยการบรรลุธรรมวิเศษอันมีประมาณน้อย. ไม่
ท้อแท้ใจพยายามเพื่อบรรลุธรรมวิเศษยิ่ง ๆ ขึ้นไป.
สมบัติตามที่ได้แล้ว ไม่มีส่วนแห่งความเสื่อมหรือความมั่นคง. อนึ่ง
มหาบุรุษเป็นผู้นำคนตาบอด บอกทางให้. ให้สัญญาด้วยนิ้วมือแก่คนหูหนวก
อนุเคราะห์ประโยชน์. คนใบ้ก็เหมือนกัน. ให้ตั้ง ให้ยานแก่คนพิการ หรือ
นำไป. คนไม่มีศรัทธาพยายามให้มีศรัทธา, คนเกียจคร้านพยายามให้เกิด

อุตสาหะ. คนหลงลืมพยามให้ได้สติ. คนมีใจวุ่นวายพยายามให้ได้สมาธิ.
คนมีปัญญาทรามพยายามให้มีปัญญา. คนหมกมุ่นในกามฉันทะ. พยายาม
บรรเทากามฉันทะ. คนหมกมุ่นในพยาบาท ถีนมิทธะ อุทธัจจกุกกุจจะ
และวิจิกิจฉา พยายามให้บรรเทาวิจิกิจฉา. คนไม่ปกติมีกามวิตกเป็นต้น
พยายามบรรเทามิจฉาวิตกมีกามวิตกเป็นต้น. อาศัยความเป็นผู้รู้คุณที่ทำแล้ว
แก่สัตว์ผู้เป็นบุรพการี จึงพูดขึ้นก่อน พูดน่ารัก สงเคราะห์ นับถือ โดย
ทำการตอบแทนเช่นเดียวกันหรือยิ่งกว่า.
มหาบุรุษย่อมติดตามช่วยเหลือสหายในอันตรายทั้งหลาย. มหาบุรุษ
กำหนดรู้ตนและสภาพปกติของสหายเหล่านั้น ๆ แล้ว อยู่รวมกับสหายเหมือน
ที่เคยอยู่ร่วมกันมา. อนึ่ง ปฏิบัติในสหายเหมือนอย่างที่เคยปฏิบัติมา. ด้วย
ให้พ้นจากอกุศลแล้วให้ตั้งอยู่ในกุศล. มิใช่ให้ตั้งอยู่โดยอย่างอื่น. เพราะการ
ตามรักษาจิตของผู้อื่นของพระโพธิสัตว์ทั้งหลาย ก็เพียงเพื่อความเจริญอย่าง
ยิ่งเท่านั้น. เมื่อเป็นเช่นนั้นจึงไม่ควรเบียดเบียนสัตว์อื่น. ไม่ควรทะเลาะ.
ไม่ควรให้ถึงความเป็นผู้เก้อเขิน เพราะอัธยาศัยนั้น. ไม่ควรให้เกิดความ
รังเกียจสัตว์อื่น. ควรทักท้วงในฐานะที่ควรข่ม. เมื่อเขาอยู่ต่ำกว่าไม่ควร
วางตนในที่สูงกว่า. ไม่ควรคบในผู้อื่นจนหมดสิ้นก็หามิได้. ไม่ควรคบมาก
เกินไป. ไม่ควรคบพร่ำเพรื่อ.

แต่คบสัตว์ที่ควรคบตามสมควรแก่กาละเทศะ. ไม่ติเตียนคนที่รักหรือ
สรรเสริญคนที่ไม่รัก ต่อหน้าผู้อื่น. ไม่วิสาสะกับคนที่ไม่คุ้นเคย. ไม่ปฏิ-
เสธการเชื้อเชิญที่เป็นธรรม. ไม่แสดงตัวมากไป. ไม่รับของมากเกินไป.
ย่อมยินดีกับผู้ที่มีศรัทธาด้วยการกล่าวอานิสงส์ของศรัทธา. อนึ่ง หากว่า
พระโพธิสัตว์เป็นผู้ถึงกำลังปัญญา แสดงนรกเป็นต้น ตามสมควรด้วยกำลัง
อภิญญา ยังสัตว์ผู้ถึงความประมาทให้สังเวชแล้วยังสัตว์ผู้ไม่มีศรัทธาเป็นต้น
ให้ตั้งอยู่ในศรัทธาเป็นต้น. ให้หยั่งลงในศาสนา. ให้เจริญงอกงามในคุณ-
สมบัติมีทานเป็นต้น. สัตว์นี้เป็นผู้ประพฤติตามจารีตของมหาบุรุษเป็นผู้หลั่ง-
ไหล บุญกุศลหาประมาณมิได้ ย่อมเจริญยิ่ง ๆ ขึ้นไป พึงทราบด้วยประ-
การฉะนี้.
อีกอย่างหนึ่ง ท่านตั้งคำถามไว้ว่า ศีลคืออะไร ศีลด้วยอรรถว่า
กระไร แล้วกล่าวความพิสดารของศีลไว้ในวิสุทธิมรรคด้วยประการต่าง ๆ
โดยนัยมีอาทิว่า ธรรมมีเจตนาเป็นต้น ของผู้งดเว้นจากปาณาติบาตเป็นต้น
หรือผู้บำเพ็ญวัตรปฏิบัติ ชื่อว่า ศีล. กถาทั้งหมดนั้นควรนำมากล่าวในที่นี้.
ในวิสุทธิมรรคนั้นศีลกถามาด้วยอำนาจแห่งสาวกโพธิสัตว์อย่างเดียว. ในที่
นี้ท่านกล่าวถึงศีลกถา ทำความเป็นผู้ฉลาดในอุบายคือกรุณาเป็นส่วนเบื้อง-
ต้น ด้วยอำนาจแห่งพระมหาโพธิสัตว์ เพราะเหตุนั้น นี้แหละเป็นความ
ต่างกัน. มหาบุรุษไม่น้อมไปเพื่อวิชชา 3 อภิญญา 6 ปฏิสัมภิทา 4 สาวก-
โพธิญาณ ปัจเจกโพธิญาณ เหมือนศีลนี้ ไม่น้อมไปเพื่อพ้นความเศร้าหมอง

ในทุคติของตน ไม่น้อมไปเพื่อราชสมบัติ เพื่อจักรพรรดิสมบัติ เพื่อเทว-
สมบัติ เพื่อสักกสมบัติ เพื่อมารสมบัติ เพื่อพรหมสมบัติ แม้ในสุคติ. ที่
แท้พระมหาโพธิสัตว์ย่อมน้อมไป เพื่อให้ถึงศีลาลังการอันยอดเยี่ยมของสัตว์
ทั้งหลายด้วยความเป็นพระสัพพัญญูฉะนี้แล. นี้คือลำดับแห่งการปฏิบัติศีล-
บารมี.
อนึ่ง เพราะการเกิดขึ้นแห่งกุศลจิตเป็นไปแล้วด้วยการออกจากกาม
และภพทั้งหลาย มีการเห็นโทษเป็นเบื้องต้น กำหนดด้วยความเป็นผู้ฉลาด
ในอุบายคือกรุณา ชื่อว่า เนกขัมมบารมี. ฉะนั้นกามทั้งหลายมีความยินดี
น้อย มีการผูกพันด้วยสิ่งไม่เป็นประโยชน์มากมายลิ้มเลีย ความที่ฆราวาส
ไม่มีโอกาสหาความสุขในเนกขัมมะได้และความใคร่ ดุจลิ้มเลียหยาดน้ำผึ้งที่
ติดอยู่บนคมมีด เพราะตั้งอยู่กับความเศร้าหมองทั้งสิ้น เพราะคับแค้นมาก
ด้วยบุตรภรรยาเป็นต้น เพราะวุ่นวายด้วยการตั้งใจทำการงานหลายอย่างมี
กสิกรรม และพาณิชยกรรมเป็นต้น. ได้เวลานิดหน่อยดุจการฟ้อนรำที่ต้อง
ใช้แสงไฟ. ได้สัญญาวิปริต ดุจเครื่องประดับของคนบ้า. เป็นการตอบแทน
ดุจปกปิดไว้ด้วยคูถ. ไม่อิ่ม ดุจดื่มน้ำที่นิ้วมืออันเปียกด้วยน้ำ. มีความไม่สบาย
ดุจบริโภคอาหารในเวลาหิว. เป็นเหตุรวมความพินาศ ดุจเหยื่อที่เบ็ด เป็น
เหตุเกิดทุกข์ใน 3 กาล ดุจความร้อนของไฟ. มีการผูกเป็นเครื่องหมาย
ดุจยางดักลิง. มีการปิดไว้ด้วยสิ่งไม่มีประโยชน์ ดุจปิดด้วยเปรียง เป็นที่ตั้ง
แห่งภัย ดุจอยู่บ้านศัตรู. เป็นเหยื่อของกิเลสมารเป็นต้น ดุจเลี้ยงศัตรู. มี

ทุกข์เกิดจากการปรวนแปรไป ดุจสมบัติมหรสพ. มีการเผาภายในดุจไฟใน
โพรงไม้. มีโทษไม่น้อย ดุจหญ้าปล้องห้อยลงไปในหลุมเก่า. เป็นเหตุ
แห่งความกระหาย ดุจดื่มน้ำเค็ม. การเสพของชนชั้นต่ำ ดุจสุราเมรัย.
อุปมาด้วยโครงกระดูกเพราะมีความยินดีน้อย. อนึ่ง เพราะเนกขัมมะเป็น
เหตุของบรรพชา. ฉะนั้น จึงไม่ยกบรรพชาขึ้นมาก่อน. และเมื่อพระพุทธ-
เจ้ายังไม่อุบัติ พระมหาสัตว์ดำรงอยู่ในบรรพชา จึงไม่ยกบรรพชาของดาบส
ปริพาชกผู้เป็นกรรมวาที กิริยาวาที ขึ้นมากล่าว.
ก็เมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลายทรงอุบัติแล้ว ควรบวชในพระ-
ศาสนาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเหล่านั้น. อนึ่ง ครั้นบวชแล้วอันผู้ตั้งอยู่
ในศีลตามที่กล่าวแล้วควรสมาทานธุดงค์คุณ เพื่อความผ่องแผ้วแห่งศีลบารมี
นั้นนั่นแล. จริงอยู่มหาบุรุษทั้งหลายสมาทานธุดงค์ธรรม แล้วบริหารธุดงค์-
ธรรมเหล่านั้นโดยชอบเป็นผู้มักน้อย สันโดษ มีสมาจารทั้งปวงบริสุทธิ์ด้วย
คุณของผู้มีศีลอันหาโทษมิได้ เพราะเป็นผู้มีมลทินคือกิเลสบ้วนออกด้วยน้ำ
คือคุณธรรม มีความขัดเกลากิเลส สงัด ไม่คลุกคลี ปรารภความเพียร เลี้ยง
ง่าย คงที่ เป็นต้น ตั้งอยู่ในอริยวงศ์ 3 อันเป็นของเก่า เข้าถึงฌานอันมี
ประเภท เป็นอุปจารฌาน และอัปนาฌาน ตามสมควรในอารมณ์ 40 เพื่อ
บรรลุอริยวงศ์ คือความเป็นผู้ยินดีในภาวนาที่ 4 อยู่. ด้วยประการฉะนี้
เป็นอันมหาบุรุษนั้นบำเพ็ญเนกขัมมบารมีโดยชอบแล้ว.

อนึ่ง ในที่นี้พึงกล่าวกรรมฐาน และวิธีภาวนาแห่งสมาธิภาวนา 40
คือ กสิณ 10 พร้อมด้วยธุดงค์ธรรม 13 อสุภะ 10 อนุสสติ 10 พรหมวิหาร
4 อรูปฌาน 4 สัญญา 1 ววัตถานะ คือการกำหนดธาตุ 1 โดยพิสดาร.
เพราะทั้งหมดนั้นท่านกล่าวไว้พิสดารแล้ว ในวิสุทธิมรรค โดยประการทั้ง-
ปวง. ฉะนั้นพึงทราบโดยนัยดังกล่าวแล้ว ในวิสุทธิมรรคนั้นแล. จริงอยู่
ในวิสุทธิมรรคนั้นท่านกล่าวด้วยอำนาจแห่งสาวกโพธิสัตว์อย่างเดียว. ในที่
นี้ควรกล่าวทำความเป็นผู้ฉลาดในอุบาย คือกรุณาด้วยอำนาจแห่งพระมหา-
โพธิสัตว์ ความต่างกันมีด้วยประการฉะนี้. พึงทราบลำดับแห่งเนกขัมมบารมี
ในที่นี้อย่างนี้แล.
อนึ่ง ปัญญาเป็นดุจแสงสว่าง ย่อมไม่ร่วมกับโมหะอันเป็นความมืด
ฉะนั้นพระโพธิสัตว์ผู้หวังในปัญญาบารมีสมบูรณ์ จึงควรเว้นเหตุแห่งโมหะ
ก่อน. พึงทราบถึงเหตุแห่งโมหะเหล่านี้ ดังต่อไปนี้ :- ความริษยา ความ
เฉื่อยชา ความซบเซา ความเกียจคร้าน ความยินดีในการคลุกคลีด้วยหมู่
ความหลับง่าย การไม่ตั้งใจแน่วแน่ ความไม่สนใจในญาณ ถือตัวผิด
การไม่สอบถาม การไม่บริหารร่างกายให้ดี จิตไม่ตั้งมั่น คบบุคคลปัญญา
ทราม ไม่เข้าไปใกล้คนมีปัญญา ดูหมิ่นตน ใคร่ครวญผิด ยึดถือวิปริต
มั่นในกายมาก ไม่มีความสังเวชใจ นิวรณ์ 5 ผู้เสพธรรมโดยย่อปัญญายัง
ไม่เกิดย่อมเกิด ที่เกิดแล้วย่อมเสื่อม. ผู้เว้นเหตุแห่งความหลงเหล่านี้ พึง
ทำความเพียรในพาหุสัจจะ และในฌานเป็นต้น ด้วยประการฉะนี้.

พึงทราบการจำแนกลักษณะของพาหุสัจจะดังต่อไปนี้ :- ขันธ์ 5
อายตนะ 12 ธาตุ 18 อริยสัจ 4 อินทรีย์ 22 ปฏิจจสมุปบาท 12 สติ-
ปัฏฐาน 4 และประเภทธรรมมีกุศลเป็นต้น. วิทยาการอันไม่โทษในโลก การ
พยากรณ์วิเศษอันประกอบด้วยวิธีนำประโยชน์สุขให้แก่สัตว์ทั้งหลาย. พึง
ให้เกิดสุตมยปัญญาด้วยการหยั่งลงสู่สุตวิสัยทุกอย่างทุกประการด้วยปัญญาอัน
เป็นความฉลาดในอุบายเป็นเบื้องต้น ด้วยสติ ด้วยวิริยะ ด้วยการเรียน
การฟัง การทรงจำ การสะสม การสอบถามด้วยดี แล้วให้ผู้อื่นตั้งอยู่ใน
ปัญญานั้นด้วยประการฉะนี้.
อนึ่ง ปัญญาอันเป็นปฏิภาณที่จะทำให้สัตว์ทั้งหลายบรรลุถึงจุดหมาย
ในสิ่งที่ควรทำ และเป็นผู้ฉลาดในความเจริญ ความเสื่อมและอุบาย พึงให้
เป็นไปตามสมควรในปัญญานั้น ๆ อาศัยความเป็นผู้แสวงหาประโยชน์. อนึ่ง
ผู้ที่ยังสัตว์ทั้งหลายให้ทนต่อความเพ่ง ด้วยการวิตกถึงอาการแห่งสภาวธรรม
มีขันธ์เป็นต้น พึงให้เกิดจินตามยปัญญา. อนึ่ง อันผู้ที่ยังโลกิยปัญญาให้
เกิดขึ้นด้วยอำนาจแห่งการกำหนดลักษณะของตน และสามัญลักษณะของ
ขันธ์เป็นตัน พึงให้สมบูรณ์ด้วยภาวนมยปัญญา อันเป็นส่วนเบื้องต้น.
จริงอยู่ นี้เป็นเพียงนามรูปย่อมเกิดขึ้นและดับไปด้วยปัจจัยทั้งหลายตามสม-
ควร. ในเรื่องนี้ไม่มีใครทำเองหรือให้ผู้อื่นทำ. เป็นความไม่เที่ยงเพราะเป็น
แล้วไม่เป็น. เป็นทุกข์เพราะเกิดเสื่อมและบีบคั้น. เป็นอนัตตา เพราะไม่
อยู่ในอำนาจตน. ด้วยเหตุนั้นมหาบุรุษกำหนดรู้ธรรมภายในและธรรมภาย-

นอกไม่ให้เหลือ ละความข้องในธรรมนั้น และให้ผู้อื่นละความข้องในธรรม
นั้นด้วยอำนาจแห่งกรุณาอย่างเดียวเท่านั้น พระพุทธคุณยังไม่มาถึงฝ่ามือ
เพียงใด ยังสัตว์ทั้งหลายให้ตั้งอยู่ในญาณ 3 ด้วยการหยั่งลง และการทำให้
เจริญ ยังฌานวิโมกข์สมาธิและสมาบัติ อภิญญาอันเป็นโลกิยะให้ถึงความ
ชำนาญ ย่อมบรรลุถึงที่สุดแห่งปัญญา.
ในโลกิยอภิญญานั้น ภาวนาปัญญา คือโลกิยอภิญญา 5 พร้อมด้วย
บริภัณฑ์ของญาณ ได้แก่กลุ่ม คืออิทธิวิธญาณ ทิพพโสตธาตุญาณ เจโต-
ปริยญาณ ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ทิพพจักขุญาณ ยถากัมมูปคญาณ
อนาคตังสญาณ. อนึ่ง ภาวนาปัญญา อันเป็นโลกิยะและโลกุตระ อันผู้ทำ
การสะสมญาณด้วยการเรียน การสอบถามในธรรมอันเป็นพื้นฐาน มีขันธ์-
อายตนธาตุ อินทรีย์ อริยสัจ และปฏิจจสมุปบาทเป็นต้น แล้วตั้งอยู่ใน
วิสุทธิ 2 อันเป็นรากฐานเหล่านี้ คือศีลวิสุทธิ จิตตวิสุทธิ แล้วพึงเจริญ
ให้วิสุทธิ 5 เหล่านั้นอันเป็นร่างให้สมบูรณ์ ได้แก่ ทิฏฐิวิสุทธิ คือความ
หมดจดแห่งทิฏฐิ 1 กังขาวิตรณวิสุทธิ คือความหมดจดแห่งญาณเป็นเครื่อง
พ้นความสงสัย 1 มัคคามัคญาณทัสสนวิสุทธิ คือความหมดจดแห่งญาณ
เป็นเครื่องเห็นว่าทางหรือมิใช่ทาง 1 ปฏิปทาญาณทัสสนวิสุทธิ คือความ
หมดจดแห่งญาณเป็นเครื่องเห็นทางปฏิบัติ 1 ญาณทัสสนวิสุทธิ คือความ
หมดจดแห่งญาณทัสสนะ 1. เพราะวิธีการให้สำเร็จ ภาวนาปัญญาเหล่า-
นั้นท่านกล่าวไว้พิสดารแล้วพร้อมกับจำแนกลักษณะในวิสุทธิมรรค โดย

ประการทั้งปวง โดยนัยมีอาทิว่า พระโยคีผู้เป็นอาทิกัมมิกะประสงค์จะ
ทำการแสดงฤทธิ์ มีอาทิว่า แม้คนเดียวก็เป็นคนหลายคนได้ และโดยนัย
มีอาทิ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ คือขันธ์. ฉะนั้นพึงทราบ
โดยนัยดังกล่าวแล้วในวิสุทธิมรรคนั้นนั่นแล. ปัญญามาแล้วด้วยอำนาจแห่ง
สาวกโพธิสัตว์ ในภาวนาปัญญานั้นอย่างเดียว. ในที่นี้ด้วยอำนาจแห่งพระ-
มหาโพธิสัตว์ พึงกล่าวถึงภาวนาปัญญา ทำความเป็นผู้ฉลาดในอุบาย คือ
กรุณาเป็นเบื้องแรก. พึงตั้งวิปัสสนาไว้ในปฏิปทาญาณทัสนวิสุทธิเท่านั้น
ยังไม่ถึงญาณทัสสนวิสุทธิ นี้เป็นความต่างกัน . พึงทราบลำดับแห่งการปฏิบัติ
ปัญญาบารมีในที่นี้ ด้วยประการฉะนี้.
อนึ่ง เพราะพระมหาสัตว์ผู้บำเพ็ญบารมีเพื่อสัมมาสัมโพธิญาณ พึง
เป็นผู้ประกอบความขวนขวายตลอดกาล เพื่อให้บารมีบริบูรณ์ด้วยบำเพ็ญ
เกี่ยวเนื่องกันไป. ฉะนั้นตลอดเวลาพระมหาสัตว์พิจารณาทุก ๆ วันว่า วันนี้
เราจะสะสม บุญสมภาร หรือญาณสมภารอะไรหนอ. หรือว่า เราจะทำ
ประโยชน์เพื่อผู้อื่นอย่างไรดี พึงทำความอุตสาหะเพื่อประโยชน์แก่สัตว์.
พระโยคาวจรมีจิตไม่คำนึงถึงกายและชีวิต พึงสละวัตถุอันเป็นที่หวงแหน
ของตน เพื่อช่วยสัตว์แม้ทั้งปวง. กระทำกรรมอย่างไรอย่างหนึ่งด้วยกาย
หรือวาจา. พึงทำกรรมนั้นทั้งหมดด้วยใจน้อมไปในสัมโพธิญาณเท่านั้น. พึง
มีจิตพ้นจากกามทั้งหลายทั้งที่ยิ่งและยอด. พระโยคาวจร พึงเข้าไปตั้งความ
เป็นผู้ฉลาดในอุบายแล้วพึงปฏิบัติในบารมีทั้งปวงที่ควรกระทำ.

พึงปรารภความเพียรในประโยชน์ของสัตว์นั้น ๆ พึงอดกลั้นสิ่งทั้ง
ปวงมีสิ่งที่น่าปรารถนาและไม่น่าปรารถนาเป็นต้น. พึงไม่พูดผิดความจริง.
พึงแผ่เมตตาและกรุณาแก่สัตว์ทั้งปวงโดยไม่เจาะจง. การเกิดขึ้นแห่งทุกข์
อย่างใดอย่างหนึ่งจะพึงมีแก่สัตว์ทั้งหลาย พึงหวังการเกิดขึ้นแห่งทุกข์ทั้งปวง
นั้นไว้ในตน. อนึ่งพึงอนุโมทนาบุญของสัตว์ทั้งปวง. พึงพิจารณาเนือง ๆ
ถึงความที่พระพุทธเจ้าเป็นใหญ่มีอานุภาพมาก. กระทำกรรมใด ๆ ด้วยกาย
หรือวาจา พึงทำกรรมนั้นทั้งหมดให้มีจิตน้อมไปเพื่อโพธิญาณเป็นเบื้องแรก
ก็ด้วยอุบายนี้ พระโพธิสัตว์ผู้เป็นมหาสัตว์ประกอบความขวนขวายในทาน
เป็นต้น มีเรี่ยวแรง มีความเพียรมั่น เข้าไปสะสมบุญสมภารและญาณ
สมภารหาประมาณมิได้ทุก ๆ วัน.
อีกอย่างหนึ่ง เพื่อให้สัตว์ได้บริโภคและเพื่อคุ้มครองสัตว์ จึงสละ
ร่างกายและชีวิตของตน พึงแสวงหาและพึงนำสิ่งกำจัดทุกข์ มีความหิว
กระหาย หนาว ร้อน ลมและแดดเป็นต้น. ย่อมได้รับความสุขอันเกิดแต่
การกำจัดทุกข์ตามที่กล่าวแล้วด้วยตน. อนึ่งย่อมได้รับความสุขด้วยตนเพราะ
ไม่มีความร้อนทางกายและใจในสวน ในปราสาท ในสระเป็นต้น และใน
แนวไพรอันน่ารื่นรมย์. อนึ่งฟังมาว่า พระพุทธเจ้า พระอนุพุทธเจ้า พระ-
ปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลาย. และพระมหาโพธิสัตว์ทั้งหลาย ตั้งอยู่ในเนกขัมมะ
ปฏิบัติย่อมเสวยสุขในฌานและสมาบัติเช่นนี้ อันเป็นธรรมเครื่องอยู่เป็นสุข

ในปัจจุบันดังนี้ ทำความสุขทั้งหมดนั้นไปในสัตว์ทั้งหลายโดยไม่เจาะจง นี้
เป็นนัยของผู้ตั้งอยู่ในพื้นฐานอันไม่มั่นคง.
ส่วนผู้ตั้งอยู่ในพื้นฐานอันมั่นคงเมื่อน้อม ปีติ ปัสสัทธิ สุข สมาธิ
ยถาภูตญาณ อันเกิดด้วยการบรรลุคุณวิเศษตามที่ตนเสวยแล้ว เข้าไปใน
สัตว์ทั้งหลายย่อมน้อมนำเข้าไป. อนึ่งพระโยคาวจรเห็นหมู่สัตว์จมอยู่ใน
สังสารทุกข์ใหญ่แลในอภิสังขารทุกข์ คือกิเลสอันเป็นนิมิตแห่งสังสารทุกข์
นั้น. แม้ในหมู่สัตว์นั้นเห็นสัตว์นรกเสวยเวทนาลำบาก กล้าหนัก เผ็ดร้อน
อันเกิดจากการตัด ทำลาย ผ่า บด เผาไฟ เป็นต้น. สัตว์เดียรัจฉานเสวย
ทุกข์หนักด้วยการโกรธกันและกัน ทำให้เดือดร้อนเบียดเบียนให้ลำบาก และ
อาศัยผู้อื่นเป็นต้น. เปรต มีนิชฌามตัณหิกเปรตเป็นต้น ถูกความหิวกระ-
หาย ลมและแดดเป็นต้นแผดเผาในร่างกายด้วยกลุ่มมาลัยไฟ ซูบซีดชูมือร้อง
ขออาหารมีน้ำลายที่เขาคายทิ้งเป็นต้น เสวยทุกข์ใหญ่. สัตว์นรกเปรต
เดียรัจฉาน ผู้ถึงความย่อยยับใหญ่หลวงมีการแสวงหาอาหารเป็นเหตุ เพราะ
ถูกกรรมอันมีกำลังครอบงำ ด้วยการประกอบเหตุมีการตัดมือเป็นต้น ด้วย
การให้เกิดโรคมีหิวกระหายเป็นต้น โดยทำให้เป็นผู้มีผิวพรรณทรามน่า
เกลียดเป็นคนจนเป็นต้น เพราะการนำไปของผู้อื่น และเพราะอาศัยผู้อื่น
และมนุษย์ผู้เสวยทุกข์หนักอันไม่มีเศษเหลือจากทุกข์ในสบาย. และ กามา-
วจรเทพ
ผู้ถูกความเร่าร้อนอันมีราคะเป็นต้น แผดเผาเพราะมีจิตฟุ้งซ่านใน
การบริโภคของเป็นปกติและมีพิษ มีความเดือดร้อนไม่สงบดุจกองไฟสุมด้วย

ไม้แห้งมีเปลวไฟโพลงขึ้นด้วยแรงลม อาศัยผู้อื่นกำจัดความไม่สงบ. และ
รูปาวจรเทพ อรูปาวจรเทพว่า เมื่อยังมีความเป็นไปอยู่ได้นาน เทพเหล่านั้น
ก็เหมือนนกที่โฉบสู่อากาศไกลด้วยความพยายามมาก และเหมือนลูกศรที่คน
มีกำลังซัดไปตกในที่ไกล แต่ในที่สุดก็ตกเพราะมีความไม่เที่ยงในที่สุด จึง
ไม่ล่วงพ้นชาติชรา และมรณะไปได้เลย ยังความสังเวชใหญ่หลวงให้ปรากฏ
แล้วแผ่เมตตาและกรุณาไปยังสัตว์ทั้งหลายโดยไม่เจาะจง. ผู้สะสมโพธิสมภาร
ด้วย กาย วาจา และใจ เป็นลำดับอย่างนี้ บารมีย่อมเต็มเปี่ยมฉันใด. ผู้ทำ
โดยความเคารพ ทำติดต่อ ประพฤติไม่ย่อหย่อน พึงยังความอุตสาหะให้เป็น
ไป พึงบำเพ็ญวิริยบารมีให้บริบูรณ์ ฉันนั้น.
อีกอย่างหนึ่ง ความเพียรประโยคกอบด้วยความขวนขวายต่อความเป็น
พระพุทธเจ้า อันเป็นอจินไตยและเป็นที่ตั้งแห่งการสะสมคุณอันหาประมาณ
มิได้ ไพบูลย์โอฬารยิ่งนัก ปราศจากมลทิน ไม่มีข้อเปรียบ ไม่มีอุปกิเลส
เป็นอานุภาพแห่งอจินไตยนั่นแล. ก็ชนเป็นอันมากสามารถแม้ฟังได้. ไม่ต้อง
พูดถึงปฏิบัติกันละ.
อนึ่ง อภินิหารจิตตุปบาท 3. พุทธภูมิ 4. สังคหวัตถุ 4. ความมี
กรุณาเป็นรสอย่างเอก. การทนต่อความเพ่งอันเป็นวิเสสปัจจัยด้วยการทำให้
แจ้งในพุทธธรรม. การไม่เข้าไปเพียงลูบไล้ในพุทธธรรม. ความสำคัญใน
สัตว์ทั้งปวงว่าเป็นบุตรที่น่ารัก. ความไม่กระหายด้วยสังสารทุกข์. การบริจาค
ไทยธรรมทั้งปวง. ความมีใจยินดีด้วยการบริจาคนั้น. การอธิษฐานอธิศีล

เป็นต้น. ความไม่หวั่นไหวในอธิษฐานนั้น. ปีติและปราโมทย์ในกุสลกิริยา.
ความที่จิตน้อมไปในวิเวก. การประกอบฌานเนือง ๆ. การไม่ติเตียนธรรม
ที่ไม่มีโทษ. แสดงธรรมตามที่ได้ฟังมาด้วยอัธยาศัยเกื้อกูลแก่ผู้อื่น. ให้สัตว์
ทั้งหลายตั้งอยู่ในระเบียบ. ความมั่นคงในการริเริ่ม. ความฉลาดและกล้า.
ไม่มีข้อเสียหายในการกล่าวร้ายต่อผู้อื่น และทำความเสื่อมเสียแก่ผู้อื่น. ตั้ง
มั่นในสัจจะ. ชำนาญในสมาบัติ. มีกำลังในอภิญญา. รู้ลักษณะ 3. สะสม
บารมีในโลกุตรมรรค ด้วยการประกอบความเพียรในสติปัฏฐานเป็นต้น.
ก้าวลงสู่โลกุตรธรรม 9. การปฏิบัติเพื่อโพธิสมภาร แม้ทั้งหมดมีอาทิอย่างนี้
ด้วยประการฉะนี้ย่อมสำเร็จด้วยอานุภาพแห่งวิริยะ. เพราะเหตุนั้น ตั้งแต่
อภินิหารจนถึงมหาโพธิพระโยคาวจรไม่สละทิ้ง ยังความเพียรให้สมบูรณ์
เหมือนความเพียรเป็นลำดับโดยเคารพอันนำคุณวิเศษมาให้ยิ่ง ๆ ขึ้นฉะนั้น.
เมื่อความเพียรตามที่กล่าวแล้วสมบูรณ์ พึงทราบการปฏิบัติโดยนัยนี้ แม้ใน
ขันติเป็นต้นว่า โพธิสมภารแม้ทั้งหมดมีขันติ สัจจะ อธิษฐานะ ทาน ศีล
เป็นต้น เป็นอันสมบูรณ์เพราะประพฤติอาศัยความเพียรนั้น.
การทำความอนุเคราะห์ด้วยการบริจาคอุปกรณ์ความสุขแก่สัตว์ทั้งหลาย
โดยส่วนมาก ชื่อว่าปฏิบัติด้วยการให้. เหตุทั้งหลายมีอาทิ การรักษาชีวิต
สมบัติ ภรรยา และกล่าวคำไม่ให้แตกกันน่ารักเป็นประโยชน์ และไม่
เบียดเบียนสัตว์ทั้งหลายเหล่านั้นชื่อว่าปฏิบัติด้วยศีล. การประพฤติประโยชน์
หลายอย่างด้วยรับอามิสและให้ทานเป็นต้นของสัตว์เหล่านั้น ชื่อว่าปฏิบัติ

ด้วยเนกขัมมะ. ความเป็นผู้ฉลาดในอุบายทำประโยชน์แก่สัตว์ทั้งหลาย ชื่อว่า
ปฏิบัติด้วยปัญญา. มีความอุตสาหะริเริ่มไม่ท้อถอยในการนั้น ชื่อว่าปฏิบัติ
ด้วยวิริยะ. การไม่ล่อลวงทำอุปการะสมาทานและไม่พูดผิดจากความจริงเป็น
ต้นแก่สัตว์เหล่านั้น ชื่อว่าปฏิบัติด้วยสัจจะ แม้ตกอยู่ในความพินาศก็มิได้
หวั่นไหวในการทำอุปการะ ชื่อว่าปฏิบัติด้วยอธิษฐานะ. คิดถึงแต่ประโยชน์
สุขของสัตว์ทั้งหลาย ชื่อว่าปฏิบัติด้วยเมตตา. ไม่คำนึงถึงความผิดปกติใน
ความอุปการะความเสียหายของสัตว์เหล่านั้น ชื่อว่าปฏิบัติด้วยอุเบกขา. พระ-
โยคาวจรปรารภสัตว์ทั้งหลายไม่มีประมาณอย่างนี้ ด้วยประการฉะนี้แล้ว
เป็นผู้สะสมบุญสมภาร และญาณสมภารหาประมาณมิได้ เป็นที่รับรองเสมอ
ของพระมหาโพธิสัตว์ผู้อนุเคราะห์สรรพสัตว์ พึงทราบว่าเป็นการปฏิบัติใน
บารมีเหล่านี้.
อะไรเป็นการจำแนก. บารมี 30 คือ บารมี 10 อุปบารมี 10
ปรมัตถบารมี 10. บารมีเฉย ๆ เป็นธรรมขาวเจือด้วยธรรมดำของพระโพธิ-
สัตว์ผู้บำเพ็ญอภินิหารในบารมีเหล่านั้น ประกอบด้วยอัธยาศัยน้อมไปในการ
ทำประโยชน์เพื่อผู้อื่น. อุปบารมีเป็นธรรมขาวไม่เจือด้วยธรรมดำ. อาจารย์
บางพวกกล่าวว่า ปรมัตถบารมีเป็นธรรมไม่ดำไม่ขาว. หรือบารมีบำเพ็ญใน
กาลเริ่มต้น. อุปบารมี บำเพ็ญเต็มแล้วในภูมิของพระโพธิสัตว์. ปรมัตถ-
บารมี บริบูรณ์ด้วยอาการทั้งปวงในพุทธภูมิ. หรือบารมี เพราะทำประโยชน์
เพื่อผู้อื่นในพุทธภูมิ. อุปบารมี เพราะทำประโยชน์เพื่อตน. ปรมัตถบารมี
เพราะบำเพ็ญประโยชน์ด้วยการบรรลุพลธรรมและเวสารัชธรรม.

อาจารย์อีกพวกหนึ่งกล่าวว่า การจำแนกบารมีเหล่านั้น ในตอนตั้ง
ความปรารถนา การเริ่มบำเพ็ญและความสำเร็จ คือเบื้องต้นท่ามกลางและ
ที่สุด. อาจารย์พวกอื่นกล่าวว่า การจำแนกบารมีเหล่านั้นโดยประเภท
การสะสมบุญของผู้สงบโทสะตั้งอยู่ในกรุณา ผู้บรรลุ ภวสุข วิมุติสุข และ
บรมสุข. อาจารย์บางพวกกล่าวว่า การจำแนกบารมีตามที่กล่าวแล้วจากการ
เกิดขึ้นของพระโพธิสัตว์ คือบารมี อุปบารมี ปรมัตถบารมี ของท่านผู้มี
ความละอาย มีสติ มีการนับถือเป็นที่พึ่งพิง ของท่านผู้มีโลกุตตรธรรมเป็น
ใหญ่ของผู้หนักอยู่ในศีล สมาธิ ปัญญา ของท่านผู้ข้ามไปได้แล้ว ของพระ-
อนุพุทธ พระปัจเจกพุทธ และพระพุทธเจ้าทั้งหลาย. อาจารย์พวกอื่นกล่าวว่า
การสะสมบารมีเป็นไปแล้วตั้งแต่การตั้งความปรารถนาทางใจ จนถึงตั้งความ
ปรารถนาทางวาจาชื่อบารมี. การสะสมบารมีเป็นไปแล้วตั้งแต่ตั้งความ
ปรารถนาทางวาจา จนถึงตั้งความปรารถนาทางกาย เป็นอุปบารมี. ตั้งแต่ตั้ง
ความปรารถนาทางกายไปเป็นปรมัตถบารมี. แต่อาจารย์พวกอื่นกล่าวว่า การ
สะสมบารมีเป็นไปแล้ว ด้วยอำนาจการอนุโมทนาบุญของผู้อื่นเป็นบารมี.
การสะสมบารมีเป็นไปแล้ว ด้วยอำนาจการให้ผู้อื่นทำเป็นอุปบารมี. เป็นไป
แล้ว ด้วยการทำเองเป็นปรมัตถบารมี.
อนึ่ง อาจารย์พวกหนึ่งกล่าวว่า บุญสมภาร ญาณสมภาร อันนำ
ภวสุขมาให้เป็นบารมี. การนำนิพพานสุขมาให้แก่ตนเป็นอุปบารมี. การนำ

สุขทั้งสองอย่างนั้นมาให้เป็นปรมัตถบารมี. อนึ่งการบริจาคบุตรภรรยาและ
อุปกรณ์มีทรัพย์เป็นต้นเป็นทานบารมี. การบริจาคอวัยวะเป็นทานอุปบารมี.
การบริจาคชีวิตของตนเป็นทานปรมัตถบารมี. อนึ่งศีลบารมี 3 อย่างด้วยการ
ไม่ก้าวล่วงเหตุแม้ทั้ง 3 อย่าง มีบุตรและภรรยาเป็นต้น. เนกขัมมบารมี
3 อย่าง ด้วยการตัดอาลัยในวัตถุ 3 อย่างเหล่านั้นแล้วออกบวช. ปัญญา
บารมี 3 อย่าง ด้วยการประมวลตัณหาในอุปกรณ์ อวัยวะ ชีวิตแล้วทำการ
ตัดสินประโยชน์มิให้ประโยชน์ของสัตว์ทั้งหลาย. วิริยบารมี 3 อย่าง ด้วย
การพยายามบริจาคประเภทตามที่กล่าวแล้ว. ขันติบารมี 3 อย่างอดทนต่อผู้ที่
จะทำอันตรายแก่อุปกรณ์ อวัยวะและชีวิต. สัจจบารมี 3 อย่างด้วยการไม่
สละสัจจะเพราะเหตุอุปกรณ์ อวัยวะและชีวิต. อธิษฐานบารมี 3 อย่าง
ด้วยการอธิษฐานไม่หวั่นไหว แม้ถึงคราวที่อุปกรณ์เป็นต้นพินาศไป โดย
เห็นว่าบารมีมีทานบารมีเป็นต้น ย่อมบริสุทธิ์ด้วยอำนาจอธิษฐานไม่กำเริบ.
เมตตาบารมี 3 อย่าง ด้วยไม่ละเมตตาในสัตว์ทั้งหลาย แม้ผู้เข้าไปทำลาย
อุปกรณ์เป็นต้น. อุเบกขาบารมี 3 อย่าง ด้วยได้ความที่ตนเป็นกลางในสัตว์
และสังขารทั้งหลาย ทั้งที่มีอุปการะและทำความเสียหาย วัตถุ 3 อย่าง
ตามที่กล่าวแล้ว. พึงทราบการจำแนกบารมีเหล่านั้น โดยนัยมีอาทิอย่างนี้
ด้วยประการฉะนี้แล.
พึงทราบวินิจฉัยในบทนี้ว่า อะไรเป็นการสงเคราะห์. พึงทราบบารมี
6 อย่างโดยสภาวะคือ ทาน ศีล ขันติ วีริยะ ฌาน และปัญญา เหมือน

บารมี 3 อย่างโดยการจำแนก 10 โดยความเป็นทานบารมีเป็นต้น. จริงอยู่
ในบารมีเหล่านั้น เนกขัมมบารมีสงเคราะห์เข้าด้วยศีลบารมี ในเพราะการ
บรรพชาของเนกขัมมบารมีนั้น. อนึ่งสงเคราะห์เข้าด้วยฌานบารมีในเพราะ
ความสงัดจากนิวรณ์. สงเคราะห์ด้วยแม้ทั้ง 6 ในเพราะความเป็นกุสลธรรม
สัจจบารมีเป็นเอกเทศของศีลบารมี ในเพราะเป็นฝ่ายแห่งวจีวิรัติสัจจะ. อนึ่ง
สงเคราะห์เข้าด้วยปัญญาบารมีในเพราะเป็นฝ่ายแห่งญาณสัจจะ. เมตตาบารมี
สงเคราะห์เข้าด้วยฌานบารมีเท่านั้น. แม้อุเบกขาบารมีก็สงเคราะห์เข้าด้วย
ฌานบารมีและปัญญาบารมี. เป็นอันท่านสงเคราะห์อธิษฐานบารมี แม้ด้วย
บารมีทั้งหมด.
บารมีทั้งหลายมี 15 คู่ ของการสัมพันธ์กันแห่งคุณทั้งหลาย 6 มี
ทานเป็นต้นเหล่านี้ เป็นอันให้สำเร็จเป็นคู่ ๆ ได้ 15 คู่เป็นต้น เป็น
อย่างไร. ความสำเร็จแห่งคู่คือทำและไม่ทำสิ่งเป็นประโยคโยชน์และไม่เป็น
ประโยชน์เพื่อผู้อื่นด้วยคู่ทานกับศีล. ความสำเร็จคู่อโลภะและอโทสะด้วย
คู่คือ ทานกับขันติ. ความสำเร็จคู่จาคะและสุตะด้วยคู่คือ ทานกับวิริยะ.
ความสำเร็จคู่การละกามและโทสะ ด้วยคู่คือทานกับฌาน. ความสำเร็จ
แห่งคู่คือยานและแอกของพระอริยะด้วยคู่คือ ทานกับปัญญา. ความสำเร็จ
ทั้งสองอย่างคือ ความบริสุทธิ์แห่งปโยคะและอาสยะ. ด้วยคู่ทั้งสองคือศีล
และขันติ. ความสำเร็จภาวนาทั้งสอง ด้วยคู่ทั้งสองคือศีลกับวิริยะ. ความ
สำเร็จทั้งสองอย่างคือละความเป็นผู้ทุศีล และความหมกมุ่นด้วยคู่ทั้งสองคือ

ศีลกับฌาน. ความสำเร็จทานทั้งสองด้วยคู่คือศีลกับปัญญา. ความสำเร็จคู่
ทั้งสองคือ ความอดทนและความไม่มีเดช ด้วยคู่คือขันติกับวิริยะ. ความ
สำเร็จคู่คือวิโรธ คือความพิโรธ และอนุโรธะ คือความคล้อยตาม ด้วยคู่
คือขันติกับฌาน. ความสำเร็จคู่ทั้งสองคือขันติและปฏิเวธของสุญญตา ด้วยคู่
คือขันติกับปัญญา. ความสำเร็จคู่ทั้งสองคือปัคคหะ. คือการประคองไว้ และ
อวิกเขปะ คือความไม่ฟุ้งซ่าน ด้วยคู่คือวิริยะกับฌาน. ความสำเร็จคู่คือ
สรณะด้วยคู่ คือวิริยะกับปัญญา. ความสำเร็จหมวด 2 คือยานด้วยคู่ คือ
ฌานกับปัญญา. ความสำเร็จ 3 หมวดคือละ โลภะ โทสะและโมหะ ด้วย 3
หมวดคือ ทาน ศีล และขันติ. ความสำเร็จ 3 หมวด คือการให้สิ่งเป็น
สาระคือสมบัติ ชีวิต และร่างกาย ด้วย 3 หมวด คือ ทาน ศีล และ
วิริยะ. ความสำเร็จบุญกิริยาวัตถุ 3 ด้วยหมวด 3 คือ ทาน ศีลและฌาน.
ความสำเร็จ 3 หมวดคืออามิสทาน อภัยทาน และธรรมทานด้วย 3 หมวด
คือ ทาน ศีล และปัญญา. ด้วยประการฉะนี้แล.
พึงประกอบติกะ และจตุกกะเป็นต้น ตามที่ปรากฏด้วยกะ และ
จตุกกะ แม้นอกนี้อย่างนี้.
อนึ่ง พึงทราบการสงเคราะห์ด้วยอธิษฐานธรรม 4 แห่งบารมีเหล่า-
นั้นแม้ 6 อย่างด้วยประการฉะนี้ . จริงอยู่อธิษฐานธรรม 4 โดยรวมบารมี
ทั้งหมดไว้. คือสัจจาธิษฐาน จาคาธิษฐน อุปสมาธิษฐาน ปัญญาธิษฐาน.
ในอธิษฐานธรรมเหล่านั้น ชื่อว่า อธิษฐาน เพราะเป็นเหตุตั้งมั่น. หรือ

เป็นที่ตั้งมั่น หรือเพียงตั้งมั่นเท่านั้น. ชื่อว่า สัจจาธิษฐาน เพราะสัจจะ
และอธิษฐาน. หรือเพราะเป็นที่ตั้งแห่สัจจะ หรือเพราะมีสัจจะเป็น
อธิษฐาน. แม้ในอธิษฐานธรรมที่เหลือก็เหมือนอย่างนั้น. ในอธิษฐาน
ธรรมนั้นโดยไม่ต่างกัน สัจจาธิษฐาน เพราะกำหนดบารมีทั้งปวงสมควรแก่
ปฏิญญาของพระมหาสัตว์ ผู้อนุเคราะห์สรรพสัตว์ สะสมบุญญาภินิหารใน
โลกุตตรคุณ. จาคาธิษฐาน เพราะสละสิ่งเป็นปฏิปักษ์ต่อสัจจะ. อุป
สมาธิษฐาน
เพราะสงบจากสิ่งไม่เป็นคุณของบารมีทั้งปวง. ปัญญาธิษฐาน
เพราะเป็นผู้ฉลาดในอุบายอันเป็นประโยชน์แก่ผู้อื่น ด้วยอธิษฐานธรรม
เหล่านั้น.
แต่โดยที่ต่างกัน ทาน เป็นปทัฏฐานแห่งอธิษฐานธรรม 4 แห่งกุศล-
ธรรมทั้งหลาย เพราะปฏิญญาว่า เราจักให้ไม่ให้ยาจกผิดหวัง เพราะให้
ไม่ผิดปฏิญญา เพราะอนุโมทนาไม่ผิดทาน เพราะสละสิ่งเป็นปฏิปักษ์ต่อ
มัจฉริยะเป็นต้น เพราะสงบจากภัยคือโลภะ โทสะ และโมหะในไทยธรรม
ปฏิคคาหกทานและความสิ้นไปแห่งไทยธรรม เพราะให้ตามสมควรตามกาล
และตามวิธี และเพราะปัญญายิ่ง. อนึ่ง ศีล เป็นปทัฏฐานแห่งอธิษฐาน
ธรรม 4 เพราะไม่ล่วงสังวรสมาทาน เพราะสละความทุศีล เพราะสงบจาก
ทุจริต และเพราะปัญญายิ่ง. ขันติ เป็นปทัฏฐานแห่งอธิษฐาน . เพราะ
อดทนได้ตามปฏิญญา เพราะสละการกำหนดโทษของผู้อื่น เพราะสงบความ
โกรธและความหมกมุ่น และเพราะมีปัญญายิ่ง. วิริยะ เป็นปทัฏฐานแห่ง

อธิษฐานธรรม 4 เพราะทำเพื่อประโยชน์ผู้อื่นตามสมควรแก่ปฏิญญา เพราะ
สละความสละสลวย เพราะสงบจากอกุศล และเพราะมีปัญญายิ่ง. ฌานเป็น
ปทัฏฐานแห่งอธิษฐานธรรม 4 เพราะคิดถึงประโยชน์ของโลกตามสมควร
แก่ปฏิญญา เพราะสละนิวรณ์ เพราะสงบจิต และเพราะมีปัญญายิ่ง ปัญญา
เป็นปทัฏฐานแห่งอธิษฐานธรรม 4 เพราะฉลาดในอุบายทำประโยชน์เพื่อ
ผู้อื่นตามปฏิญญา เพราะสละการกระทำอันไม่เป็นอุบาย เพราะสงบความ
เร่าร้อนอันเกิดแต่โมหะ และเพราะได้ความเป็นพระสัพพัญญู.
ในอธิษฐานธรรมเหล่านั้น สัจจาธิษฐาน ด้วยการจัดตามปฏิญญา
เพื่อสิ่งควรรู้. จาคาธิษฐาน ด้วยการสละวัตถุกามและกิเลสกาม. อุป-
สมาธิษฐาน ด้วยการสงบทุกข์อันเกิดแต่โทสะ. ปัญญาธิษฐาน ด้วยการ
ตรัสรู้ตามและการรู้แจ้งแทงตลอด.
สัจจาธิษฐาน มีข้าศึกคือโทสะ 3 อย่าง กำหนดด้วยสัจจะ 3 อย่าง
จาคาธิษฐาน มีข้าศึกคือโทสะ 3 อย่าง กำหนดด้วยจาคะ 3 อย่าง. อุป-
สมาธิษฐาน
มีช้าศึกคือโทสะ 3 อย่าง กำหนดด้วยอุปสมะ 3 อย่าง. ปัญญา-
ธิษฐาน
มีข้าศึกคือโทสะ 3 อย่าง กำหนดด้วยญาณ 3 อย่าง.
จาคาธิษฐาน อุปสมาธิษฐาน และปัญญาธิษฐาน กำหนดด้วยสัจจา-
ธิษฐาน เพราะพูดไม่ผิดความจริง เพราะจัดตามปฏิญญา. สัจจาธิษฐาน
อุปสมาธิษฐานและปัญญาธิษฐาน กำหนดด้วยจาคาธิษฐาน เพราะสละสิ่ง
เป็นปฏิปักษ์ และเพราะผลแห่งการสละทั้งปวง. สัจจาธิษฐาน จาคาธิษฐาน

และปัญญาธิษฐาน กำหนดด้วยอุปสมาธิษฐาน เพราะสงบจากความเร่าร้อน
คือกิเลส เพราะสงบจากกามและเพราะสงบจากความเร่าร้อนคือกาม. สัจจา-
ธิษฐาน จาคาธิษฐานและอุปสมาธิษฐาน กำหนดด้วยปัญญาธิษฐาน เพราะ
มีญาณถึงก่อน และเพราะหมุนไปตามญาณ. บารมีแม้ทั้งหมด ประกาศสัจจะ
ทำจาคะให้ปรากฏพอกพูนอุปสมะ มีปัญญาบริสุทธิ์อย่างนี้ด้วยประการฉะนี้.
จริงอยู่สัจจะเป็นเหตุเกิดบารมีเหล่านั้น.
จาคะ เป็นเหตุกำหนดบารมี. อุปสมะ เป็นเหตุเจริญรอบ. ปัญญา
เป็นเหตุแห่งความบริสุทธิ์. อนึ่ง สัจจาธิษฐานมีในเบื้องต้น เพราะสัจจ-
ปฏิญญา.
จาคาธิษฐานมีในท่ามกลาง เพราะสละตนเพื่อประโยชน์ผู้อื่นของผู้
ทำความตั้งใจแน่วแน่. อุปสมาธิษฐานมีในที่สุด. เพราะความสงบทั้งปวง
เป็นที่สุด ปัญญาธิษฐานมีในเบื้องต้นท่ามกลางและที่สุด เพราะเชื่อสัจจะ
จาคะ อุปสมะ มีปัญญาก็มี เพราะเมื่อสัจจะ จาคะ อุปสมะไม่มี ปัญญา
ก็ไม่มี และเพราะมีตามปฏิญญา.
ในอธิษฐานธรรมนั้น มหาบุรุษทั้งหลายเป็นคฤหัสถ์ ย่อมอนุเคราะห์
สัตว์อื่นด้วยอามิสทาน โดยทำประโยชน์ตนประโยชน์ผู้อื่นเนือง ๆ โดยทำ
ความเป็นผู้น่าเคารพ น่ารักและด้วยสัจจาธิษฐาน และจาคาธิษฐาน. อนึ่ง
เป็นบรรพชิต ย่อมอนุเคราะห์ผู้อื่นด้วยธรรมทาน โดยทำประโยชน์ตน

ประโยชน์ผู้อื่น โดยทำความเป็นผู้น่าเคารพ น่ารัก และด้วยอุปสมาธิษฐาน
และปัญญาธิษฐาน.
ในภพที่สุดนั้น พระโพธิสัตว์บำเพ็ญอธิษฐานธรรม 4 ให้บริบูรณ์.
อาจารย์บางคนกล่าวว่า เป็นความจริงพระโพธิสัตว์มีอธิษฐานธรรม 4 บริ-
บูรณ์แล้วจะอุบัติในภพสุดท้าย. ก็ในการอุบัติในภพสุดท้ายนั้น พระโพธิสัตว์
มีสติสัมปชัญญะ โดยเริ่มด้วยปัญญาธิษฐาน ในการหยั่งลงสู่พระครรภ์ การ
ดำรงอยู่และการประสูติ เพื่อยังสัจจาธิษฐานให้บริบูรณ์ พอประสูติในบัด
เดี๋ยวนั้น ทรงบ่ายพระพักตร์สู่ทิศเหนือ ย่างพระบาทไป 7 ก้าว ทรงตรวจ
ดูทิศทั้งปวงมีพระวาจามุ่งมั่นในสัจจะ ทรงบันลือสีหนาท 3 ครั้งว่า อคฺโค-
หมสฺมิ โลกสฺส, เชฏฺโฐหมสฺมิ โลกสฺส, เสฏฺโฐหมสฺมิ โลกสฺส

เราเป็นผู้เลิศแห่งโลก. เราเป็นผู้เจริญแห่งโลก. เราเป็นผู้ประเสริฐแห่งโลก.
พระโพธิสัตว์ผู้ฉลาดในการชี้แจงธรรม 4 ประการ ผู้เห็นคนแก่
คนเจ็บ คนตาย และบรรพชิต ด้วยการเริ่มอุปสมาธิษฐาน เป็นความสงบ
ของผู้เมาในความเป็นหนุ่ม ความไม่มีโรค ชีวิตและสมบัติทั้งหลาย. การ
สละไม่คำนึงถึงวงศ์พระญาติใหญ่ และจักรวรรดิราชสมบัติอันจะถึงเงื้อม
พระหัตถ์ด้วยเริ่มจาคาธิษฐาน.
อาจารย์บางพวกกล่าวว่า อธิษฐานธรรม 4 บริบูรณ์แล้วในอภิสัม-
โพธิญาณในฐานะที่ 2. เพราะในฐานะนั้นการตรัสรู้อริยสัจ 4 โดยเริ่ม

ด้วยสัจจาธิษฐานตามปฏิญญา แต่นั้นสัจจาธิษฐานจึงบริบูรณ์. การสละ
กิเลสและอุปกิเลสทั้งปวงโดยเริ่มด้วยจาคาธิษฐาน เพราะแต่นั้นจาคาธิษ-
ฐานจึงบริบูรณ์ การบรรลุถึงความสงบอย่างยิ่งโดยเริ่มด้วยอุปสมาธิษฐาน
เพราะแต่นั้น อุปสมาธิษฐานจึงบริบูรณ์. การได้อนาวรณญาณ โดยเริ่ม
ด้วยปัญญาธิษฐาน เพราะแต่นั้นปัญญาธิษฐานจึงบริบูรณ์. ข้อนั้นยังไม่
สมบูรณ์นัก เพราะแม้อภิสัมโพธิญาณก็เป็นปรมัตถธรรม.
อาจารย์พวกอื่นกล่าวว่า อธิษฐานธรรม 4 บริบูรณ์ ครั้งทรงแสดง
พระธรรมจักรในฐานะที่ 3 เพราะในฐานะนั้นสัจจาธิษฐานบริบูรณ์ด้วยการ
แสดงอริยสัจ โดยอาการ 12 ของท่านผู้เริ่มด้วยสัจจาธิษฐาน. จาคาธิษฐาน
บริบูรณ์ด้วยการทำการบูชาใหญ่ ซึ่งพระสัทธรรมของท่านผู้เริ่มด้วยจาคา-
ธิษฐาน. อุปสมาธิษฐานบริบูรณ์ด้วยการสงบกิเลสเหล่าอื่นของผู้สงบด้วย
ตนเอง ผู้เริ่มด้วยอุปสมาธิษฐาน. ปัญญาธิษฐานบริบูรณ์ด้วยการกำหนด
อัธยาศัยเป็นต้น ของเวไนยสัตว์ ของผู้เริ่มด้วยปัญญาธิษฐาน. แม้ข้อนั้น
ก็ยังไม่สมบูรณ์นัก เพราะพุทธกิจยังไม่จบ. อาจารย์อีกพวกหนึ่งกล่าวว่า
อธิษฐานธรรม 4 บริบูรณ์ในการปรินิพพานในฐานะที่ 4. เพราะในฐานะ
นั้น สัจจาธิษฐานบริบูรณ์ด้วยการสมบูรณ์แห่งปรมัตจสัจ เพราะปรินิพพาน
แล้ว. จาคาธิษฐานบริบูรณ์ด้วยการสละอุปธิทั้งปวง. อุปสมาธิฐานบริบูรณ์
ด้วยการสงบสังขารทั้งปวง. ปัญญาธิษฐานบริบูรณ์ด้วยการสำเร็จประโยชน์
ด้วยปัญญา.

ในอธิษฐานธรรม 4 นั้น ความบริบูรณ์ด้วยสัจจาธิษฐาน เป็น
ความเฉียบแหลมของพระมหาบุรุษผู้เริ่มด้วยสัจจาธิษฐาน ในอภิชาติอันเป็น
เขตแห่งเมตตาโดยพิเศษ. ความบริบูรณ์ด้วยปัญญาธิษฐาน เป็นความ
เฉียบแหลมของมหาบุรุษผู้เริ่มด้วยปัญญาธิษฐาน ในอภิสัมโพธิญาณอันเป็น
เขตแห่งกรุณาโดยพิเศษ. ความบริบูรณ์ด้วยจาคาธิษฐานเป็นความเฉียบ-
แหลมของพระมหาบุรุษผู้เริ่มด้วยจาคาธิษฐาน เมื่อครั้งทรงแสดงพระธรรม-
จักรอันเป็นเขตแห่งมุทิตาโดยพิเศษ. ความบริบูรณ์ด้วยอุปสมาธิษฐาน เป็น
ความเฉียบแหลมของพระมหาบุรุษผู้เริ่มด้วยอุปสมาธิษฐาน ในการปรินิพ-
พานอันเป็นเขตแห่งอุเบกขาโดยพิเศษ. พึงเหตุด้วยประการฉะนี้แล.
ในอธิษฐานธรรม 4 นั้น ศีล พึงทราบด้วยการอยู่ร่วมกันของพระ-
มหาบุรุษผู้เริ่มด้วยสัจจาธิษฐาน. ความสะอาด พึงทราบด้วยกิจการของ
พระมหาบุรุษผู้เริ่มด้วยจาคาธิษฐาน. กำลัง พึงทราบในเวลามีอันตราย ของ
พระมหาบุรุษผู้เริ่มด้วยอุปสมาธิษฐาน. ปัญญา พึงทราบด้วยการสนทนา
ของพระมหาบุรุษผู้เริ่มด้วยปัญญาธิษฐาน. พึงทราบความบริสุทธิ์แห่งศีล
อาชีวะ จิตและทิฏฐิ ด้วยอาการอย่างนี้. อนึ่ง ไม่ถึงโทสาคติ เพราะ
หลอกลวงโดยเริ่มด้วยสัจจาธิษฐาน. ไม่ถึงโลภาคติ เพราะไม่เกี่ยวข้องโดย
เริ่มด้วยจาคาธิษฐาน. ไม่ถึงภยาคติ เพราะไม่ผิดโดยเริ่มด้วยอุปสมาธิษฐาน.
ไม่ถึงโมหาคติ เพราะตรัสรู้ตามความเป็นจริงโดยเริ่มด้วยปัญญาธิษฐาน.

อนึ่ง ไม่ประทุษร้ายอดกลั้นด้วยอธิษฐานธรรมข้อที่ 1. ไม่โลภ
เสพด้วยข้อที่ 2. ไม่กลัว เว้นด้วยข้อที่ 3. ไม่หลง บรรเทาได้ด้วยข้อที่ 4.
การบรรลุเนกขัมมสุข ด้วยอธิษฐานธรรมข้อที่ 1. การได้ปีติสุขเกิดแต่ความ
สงัด ความสงบ และสัมโพธิ ด้วยอธิษฐานธรรม นอกนั้นพึงทราบ
ด้วยประการฉะนี้. อนึ่ง การได้อุเบกขาสุขเกิดแต่วิเวก เกิดแต่ปีติสุข สมาธิ
เกิดแต่สุขทางกายอันเกิดแต่ปีติสุขและไม่มีปีติ และสติบริบูรณ์ ย่อมมีตาม
ลำดับ ด้วยอธิษฐานธรรม เหล่านี้ . พึงทราบการประมวลบารมีทั้งหมดลง
ด้วยอธิษฐานธรรม 4 อันเกี่ยวพันด้วยคุณไม่น้อยด้วยประการฉะนี้. อนึ่ง
พึงเห็นว่า การประมวลบารมีทั้งหมดลงแม้ด้วยกรุณาและปัญญา เหมือนการ
ประมวลบารมีทั้งหมดลงด้วยอธิษฐานธรรม 4. เพราะโพธิสมภารแม้ทั้งหมด
ท่านสงเคราะห์ด้วยกรุณาและปัญญา. คุณมีทานเป็นต้น กำหนดด้วยกรุณา
และปัญญาเป็นมหาโพธิสมภาร มีความสำเร็จความเป็นพระพุทธเจ้าเป็นที่
สุด. พึงทราบการสงเคราะห์บารมีเหล่านี้อย่างนี้ด้วยประการฉะนี้แล.
อะไรเป็นอุบายให้สำเร็จ ? คือการสะสมบุญญาทิสมภารแม้ทั้งสิ้น
อุทิศสัมมาสัมโพธิญาณโดยไม่ทำให้บกพร่อง. การทำโดยความเคารพใน
สัมมาสัมโพธิญาณนั้น ด้วยความเอื้อเฟื้อและความนับถือมาก. การทำความ
เพียรติดต่อ ด้วยความพยายามเป็นลำดับไป. และความพยายามตลอดกาล-
นานเป็นต้น ในระหว่างด้วยการให้ถึงที่สุด. ปริมาณกาลของอุบายให้สำเร็จ
นั้นจักมีแจ้งข้างหน้า. การประกอบองค์ 4. เป็นอุบายให้บารมีเหล่านั้นสำเร็จ

ด้วยประการดังนี้. อนึ่ง พระมหาสัตว์ผู้ปฏิบัติเพื่อตรัสรู้ ควรมอบตนแด่
พระพุทธเจ้าทั้งหลาย เพื่อสัมมาสัมโพธิญาณก่อนทีเดียวว่า ข้าพเจ้าขอมอบ
อัตภาพนี้แด่พระพุทธเจ้าทั้งหลาย. ควรสละก่อนแต่จะได้วัตถุที่หวงแหนนั้น ๆ
ในทานมุขว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่งอันของใช้ประจำชีวิตซึ่งเกิดแก่ข้าพเจ้า สิ่งนั้น
ทั้งหมด เมื่อมีผู้ขอ ข้าพเจ้าจักให้. ข้าพเจ้าจักพึงบริโภคส่วนที่เหลือจากที่
ให้แก่ยาจกเหล่านั้นเท่านั้น.
เมื่อมหาบุรุษนั้นตั้งใจเพื่อบริจาคโดยชอบอย่างนี้ วัตถุที่หวงแหน
หรือวัตถุไม่มีวิญญาณอันใดเกิดขึ้น. การผูกใจในทาน 4 คือ การไม่สะสมทาน
ในกาลก่อน 1 ความที่วัตถุหวงแหนมีน้อย 1 ความพอใจยิ่ง 1 ความคิดถึง
ความหมดสิ้น 1 ในวัตถุนั้น. ในการติดตามทานเหล่านั้น ในกาลใด เมื่อ
ไทยธรรมมีอยู่แก่พระมหาโพธิสัตว์ และเมื่อยาจกปรากฏ จิตในกาลให้ไม่
แล่นไปไม่ก้าวไป. ด้วยเหตุนั้นควรแน่ใจในข้อนั้นได้ว่า เมื่อก่อนเรามิได้
สะสมในการให้เป็นแน่. ดังนั้นในบัดนี้ ความใคร่ที่จะให้ของเราจึงไม่ตั้งอยู่
ในใจ. พระมหาโพธิสัตว์นั้น บริจาค มีมือสะอาด ยินดีในการเสียสละ
มีผู้ขอ ยินดีในการแจกทาน ย่อมให้ทานด้วยคิดว่า ต่อแต่นี้ไป เราจักมี
ใจยินดีในทานเป็นอย่างยิ่ง. เอาเถิดเราจักให้ทานตั้งแต่วันนี้ไป. การผูกใจ
ในทานข้อที่หนึ่ง เป็นอันถูกขจัดไป ตัดขาดไปด้วยประการฉะนี้.
อนึ่ง พระมหาสัตว์ เมื่อไทยธรรมมีน้อยและบกพร่อง ย่อมสำเหนียก
ว่า เมื่อก่อนเพราะเราไม่ชอบให้ บัดนี้เราจึงขาดแคลนปัจจัยอย่างนี้. เพราะ

ฉะนั้น บัดนี้แม้เราจะเบียดเบียนตนด้วยไทยธรรมตามที่ได้นิดหน่อยก็ตาม
เลวก็ตาม จะต้องให้ทานจนได้. เราจักบรรลุทานบารมีแม้ต่อไปจนถึงที่สุด.
พระมหาสัตว์นั้น บริจาค มีฝ่ามือสะอาด ยินดีในการเสียสละ มีผู้ของยินดี
ในการแจกจ่ายทาน ให้ทานตามมีตามได้. การผูกใจในทานข้อที่ 2. เป็น
อันถูกขจัดไป ตัดขาดไป ด้วยอาการอย่างนี้.
อนึ่ง พระมหาสัตว์ เมื่อจิตใคร่จะไม่ให้เกิดขึ้นเพราะเสียดายไทย-
ธรรม ย่อมสำเสนียกว่า ดูก่อนสัตบุรุษ ท่านปรารถนาสัมมาสัมโพธิญาณ
อย่างสูงสุด ประเสริฐกว่าสิ่งทั้งปวงมิใช่หรือ. เพราะฉะนั้นท่านควรให้ไทย-
ธรรมที่พอใจอย่างยิ่ง เพื่อสัมมาสัมโพธิญาณนั้นเท่านั้น. พระมหาสัตว์นั้น
บริจาค มีมือสะอาด ยินดีในการเสียสละ มีผู้ขอ ยินดีในการแจกจ่ายทาน.
การผูกใจทานข้อที่ 3 ของพระมหาสัตว์ เป็นอันถูกขจัดไป ตัดขาดไป ด้วย
อาการอย่างนี้.
อนึ่ง พระมหาสัตว์เมื่อให้ทาน ย่อมเห็นความสิ้นเปลืองของไทย-
ธรรมในกาลใด. ย่อมสำเหนียกว่า สภาพของโภคะทั้งหลายเป็นอย่างนี้ คือ
มีความสิ้นไป เสื่อมไปเป็นธรรมดา. อีกอย่างหนึ่ง เพราะเราไม่ทำทาน
เช่นนั้นมาก่อน. โภคะทั้งหลายจึงปรากฏความในรูปอย่างนี้. เอาเถิดเราจะ
พึงให้ทานด้วยไทยธรรมตามที่ได้น้อยก็ตาม ไพบูลย์ก็ตาม. เราจักบรรลุถึง
ที่สุดแห่งทานบารมีต่อไป. พระมหาสัตว์นั้น บริจาค มีมือสะอาด ยินดี
ในการเสียสละ มีผู้ขอ ยินดีในการแจกจ่ายทาน ให้ทานด้วยของตามที่ได้.

การผูกใจในทานข้อที่ 4 ของพระมหาสัตว์ เป็นอันถูกขจัดไป ตัดขาดไป
ด้วยอาการอย่างนี้. การพิจารณาตามสมควรแล้วปัดเป่าไป เป็นอุบายของ
ความไม่มีประโยชน์ อันเป็นการผูกใจในทานบารมี ด้วยอาการอย่างนี้. พึง
เห็นแม้ในศีลบารมีเป็นต้น อย่างเดียวกับทานบารมี.
อีกอย่างหนึ่ง การมอบตนแด่พระพุทธเจ้าทั้งหลาย ของพระมหาสัตว์
นั้นเป็นอุบายให้บารมีทั้งปวงสำเหนียกโดยชอบ. จริงอยู่พระมหาบุรุษมอบ
ตนแด่พระพุทธเจ้าทั้งหลายแล้วดำรงอยู่ เพียรพยายามเพื่อความบริบูรณ์แห่ง
โพธิสมภารในบารมีนั้น ๆ เมื่อตัดอุปกรณ์อันทำให้ร่างกายเป็นสุขทนได้ยาก
บ้าง ลำบากมีความยินดีได้ยากบ้าง ความพินาศร้ายแรง อันคร่าชีวิตไป
น้อมนำเข้าไปในสัตว์และสังขารตั้งความปรารถนาว่า เราบริจาคอัตภาพนี้
แด่พระพุทธเจ้าทั้งหลาย. ขอการบริจาคนั้นจงเป็นผลในโลกนี้เถิด. นิมิต
นั้นไม่หวั่น ไม่ไหว ไม่ถึงความเป็นอย่างอื่นแม้แต่น้อย เป็นผู้มีอธิษฐาน
มั่นคงในการทำกุศลโดยแท้. แม้การมอบตนอย่างนี้ก็เป็นอุบายให้บารมีเหล่า-
นั้นสำเร็จได้.
อีกอย่างหนึ่งว่าโดยย่อ ผู้สะสมบุญญาภินิหารมีความเยื่อใยในตนจืด
จาง มีความเยื่อใยในผู้อื่นเจริญ เป็นอุบายให้บารมีเหล่านั้นสำเร็จได้. จริง
อยู่ เพราะบรรลุสัมมาสัมโพธิญาณ ความเยื่อใยในตนของพระมหาสัตว์
ผู้กระทำมหาปณิธานไว้ ผู้ไม่ติดในธรรมทั้งปวงด้วยกำหนดรู้โดยความเป็น
จริงย่อมถึงความสิ้นไป ความเหนื่อยหน่าย. ความเยื่อใยด้วยเมตตาและ

กรุณาในสัตว์เหล่านั้น ย่อมเจริญแก่พระมหาบุรุษผู้เห็นสรรพสัตว์ดุจบุตรที่
น่ารักเปี่ยมด้วยมหากรุณา. แต่นั้นพระมหาบุรุษได้ทำสิ่งที่เป็นปฏิปักษ์ต่อ
โพธิสมภารมีมัจฉริยะเป็นต้น ให้ไกลแสนไกลกระการหยั่งลงในยาน 3
เบื้องบน และความเจริญงอกงาม ด้วยการทำความสงเคราะห์แก่ชนโดย
ส่วนเดียวด้วยสังคหวัตถุ 4 คือ ทาน ปิยวาจา อตฺถจริยา คือการ
ประพฤติประโยชน์ และสมานัตตา คือความมีตนเสมอต้นเสมอปลาย ตามไป
ด้วยอธิษฐานธรรม 4.
จริงอยู่ มหากรุณา และมหาปัญญา ของพระมหาสัตว์ทั้งหลายประดับ
ด้วยทาน. ทานประดับด้วยปิยวาจา. ปิยวาจาประดับด้วยอัตถจริยา. อัตถ-
จริยาประดับและสงเคราะห์เพราะเป็นผู้มีตนเสมอคือไม่ถือตัว. เมื่อพระมหา-
สัตว์เหล่านั้นทำสัตว์แม้ทั้งปวง ไม่ให้มีเศษด้วยตนปฏิบัติในโพธิสมภาร
ความสำเร็จย่อมมี เพราะความมีตนเสมอกัน เพราะมีสุขทุกข์เสมอในที่ทั้ง
ปวง. การปฏิบัติด้วยการทำความสงเคราะห์ส่วนเดียวแก่ชนด้วยสังคหวัตถุ
4 เหล่านั้น อันเป็นการทำอธิษฐานธรรม 4 ให้บริบูรณ์และเจริญยิ่งย่อม
สำเร็จแก่พระมหาสัตว์ทั้งหลาย แม้เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว. เพราะทานเป็น
ความบริบูรณ์และเจริญยิ่ง ด้วยจาคาธิษฐานของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้ง
หลาย. ปิยวาจา เป็นความบริบูรณ์และเจริญยิ่งด้วยสัจจาธิษฐาน. อัตถจริยา
เป็นความบริบูรณ์และเจริญยิ่งด้วยปัญญาธิษฐาน. สมานัตตาเป็นความ
บริบูรณ์และเจริญยิ่งด้วยอุปสมาธิษฐาน. จริงอยู่ พระตถาคตเป็นผู้เสมอด้วย

พระสาวก และพระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งปวงในการปรินิพพาน. ในการปรินิพ-
พานนั้นท่านเหล่านั้นเป็นอย่างเดียวกันโดยไม่ต่างกันเลย. สมดังที่พระผู้มี-
พระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า ความต่างกันแห่งวิมุติย่อมไม่มี.
อนึ่งในข้อนี้มีคาถา ดังต่อไปนี้ :-
พระศาสดาผู้มีสัจจะ มีจาคะ มีความสงบ
มีปัญญา ผู้อนุเคราะห์ ผู้สะสมบุญบารมีทั้งปวง
ไม่พึงยังประโยชน์ชื่อไรให้สำเร็จบ้าง. พระ-
ศาสดาผู้มีพระมหากรุณา แสวงหาคุณอันเป็น
ประโยชน์ ผู้วางเฉยและไม่คำนึงในสิ่งทั้งปวง
โอ พระชินเจ้า น่าอัศจรรย์. พระศาสดาผู้ทรง
หน่ายในสรรพธรรม ทรงวางเฉยในสัตว์ทั้ง
หลาย ทรงขวนขวายประโยชน์แก่สัตว์ทุกเมื่อ
โอ พระชินเจ้า น่าอัศจรรย์. พระศาสดาทรง
ขวนขวายไม่เกียจคร้าน เพื่อประโยชน์ เพื่อ
ความสุขแก่สรรพสัตว์ ในกาลทั้งปวง โอ
พระชินเจ้า น่าอัศจรรย์.

ให้สำเร็จประโยชน์โดยกาลไหน ? ท่านกล่าวไว้ในอรรถกถาว่า โดย
กำหนดอย่างต่ำสี่อสงไขยแสนมหากัป. โดยกำหนดอย่างกลาง แปดอสง-

ไขยแสนมหากัป. ส่วนโดยกำหนดอย่างสูง สิบหกอสงไขยแสนมหากัป
ความต่างกันเหล่านี้พึงทราบด้วยอำนาจแห่งปัญญาธิกะ ศรัทธาธิกะและ
วิริยาธิกะ ตามลำดับ. จริงอยู่
ศรัทธาอ่อนปัญญากล้าย่อมมีแก่ผู้เป็นปัญญาธิกะทั้งหลาย ปัญญา
ปานกลางมีแก่ผู้เป็นศรัทธาธิกะทั้งหลาย ปัญญาอ่อนย่อมมีแก่ผู้เป็นวีริยา-
ธิกะทั้งหลาย.
อนึ่งพึงบรรลุสัมมาสัมโพธิญาณด้วยอานุภาพแห่งปัญญา.
ฝ่ายอาจารย์อีกพวกหนึ่งกล่าวว่า นี้เป็นการแบ่งกาลของพระโพธิสัตว์
ทั้งหลายด้วยความแก่กล้า ปานกลางและอ่อนแห่งความเพียร แต่โดยความ
ไม่ต่างกัน โพธิสมภารทั้งหลายย่อมถึงความบริบูรณ์แห่งบารมีเหล่านั้น โดย
ความต่างแห่งกาลตามที่กล่าวแล้ว โดยความแก่กล้าปานกลางและอ่อนแห่ง
ธรรมทั้งหลายอันบ่มบารมีให้แก่กล้าด้วยวิมุติ. เพราะเหตุนั้นความต่างแห่ง
กาล 3 เหล่านี้จึงควรแล้ว. ด้วยอาการอย่างพระโพธิสัตว์ทั้งหลายย่อมมี
3 ส่วนในขณะแห่งอภินิหารโดยความต่างกันแห่ง อุคฆฏิตัญญู วิปัจจิตัญญู
และเนยยะ. ใน 3 อย่างนั้น ผู้ที่ฟังคาถา 4 บท ต่อพระพักตร์ของพระ-
สัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อยังไม่จบคาถาบทที่ 3 เป็นผู้มีอุปนิสัยสามารถบรรลุ
พระอรหัตด้วยอภิญญา 6 พร้อมด้วยปฏิสัมภิทา เป็นอุคฆฏิตัญญู. หากพึง
น้อมไปในสาวกโพธิญาณ.

บุคคลประเภทที่สองฟังคาถา 4 บท ต่อพระพักตร์พระผู้มีพระภาค-
เจ้า เมื่อยังไม่จบคาถาบทที่ 4 เป็นผู้มีอุปนิสัยสามารถบรรลุพระอรหัตด้วย
อภิญญา 6 พร้อมด้วยปฏิสัมภิทา. หากพึงน้อมไปในสาวกโพธิญาณ.
ส่วนบุคคลประเภทที่สามฟังคาถา 4 บท ต่อพระพักตร์พระผู้มี-
พระภาคเจ้า เมื่อจบคาถาแล้วเป็นผู้มีอุปนิสัยสามารถบรรลุพระอรหัตด้วย
อภิญญา 6.
พระโพธิสัตว์ 3 จำพวกเหล่านี้ เว้นความต่างแห่งกาละสะสมบุญญา-
ภินิหาร และได้พยากรณ์ในสำนักของพระพุทธเจ้าทั้งหลายบำเพ็ญบารมีมา
โดยลำดับ บรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณตามกาลมีประเภทตามที่กล่าวแล้ว.
เมื่อประเภทแห่งกาลเหล่านั้น ๆ ยังไม่บริบูรณ์พระมหาสัตว์เหล่านั้น ๆ แม้
ให้มหาทานเช่นกับทานของพระเวสสันดรทุก ๆ วัน แม้สะสมบารมีธรรม
ทั้งปวงมีศีลเป็นต้นตามสมควร แม้สละมหาบริจาค 5 แม้ยังญาตัตถจริยา
โลกัตถจริยา พุทธธัตถจริยา ให้ถึงที่สุดอย่างยิ่ง ก็จักเป็นพระสัมมาสัม-
พุทธเจ้าในระหว่าง. ข้อนั้นไม่ใช่ฐานะที่จะมีได้. เพราะเหตุไร. เพราะญาณ
ยังไม่แก่กล้า เพราะพุทธการกธรรมยังไม่สำเร็จ. จริงอยู่ แม้พยายามด้วย
อุตสาหะทั้งหมดในระหว่างนั้นก็ไม่สามารถบรรลุสัมมาสัมโพธิญาณอันสำเร็จ
ด้วยกำหนดกาลตามที่กล่าวแล้วได้ ดุจข้าวกล้าสำเร็จตามที่กำหนดไว้เท่านั้น
เพราะเหตุนั้นพึงทราบว่า ความบริบูรณ์แห่งบารมีย่อมสำเร็จด้วยกาลวิเศษ
ตามที่กล่าวแล้ว.

อะไรเป็นอานิสงส์. ท่านพรรณนาอานิสงส์ของพระโพธิสัตว์ทั้งหลาย
ผู้สะสมบุญญาภินิหารไว้อย่างนี้ว่า :-
นรชนทั้งหลายผู้สมบูรณ์ด้วยอวัยวะทั้ง
ปวง ท่องเที่ยวไปตลอดกาลยาวนาน นับได้
ร้อยโกฏิกัป เป็นผู้เที่ยงต่อโพธิญาณ. ย่อมไม่
เกิดในอเวจี และในโลกันตรนรก. ไม่เกิด
เป็นนิชฌามตัณหิกเปรต ขุปิปาสิกเปรตและ
กาลกัญชิกาเปรต. สัตว์เล็ก ๆ แม้เข้าถึงทุคติ
ก็ไม่มี. สัตว์เหล่านั้นเมื่อเกิดในมนุษยโลก
ก็ไม่เกิดเป็นคนตาบอด หูหนวก และเป็นใบ้.
ไม่เป็นอุภโตพยัญชนกและบัณเฑาะก์ และก็
ไม่ถึงความเป็นสตรี. นรชนทั้งหลายยังไม่
สำเร็จก็จะพ้นจากนรก มีโคจรบริสุทธิ์ในที่
ทั้งปวงเที่ยงต่อโพธิญาณ. เชื่อกรรม ผลของ
กรรมไม่เสพมิจฉาทิฏฐิ แม้อยู่ในสวรรค์ก็ไม่
เข้าถึงความเป็นผู้ไม่มีความรู้สึก. ย่อมไม่มี
เหตุในเทวโลกชั้นสุทธาวาส.

สัตบุรุษทั้งหลายน้อมไปในเนกขัมมะไม่
เกี่ยวข้องในภพน้อยภพใหญ่. ย่อมประพฤติ
โลกัตถจริยา. บำเพ็ญบารมีทั้งปวง.

อนึ่ง ชนิดธรรมน่าอัศจรรย์ไม่เคยมี 16 อย่าง โดยนัยมีอาทิว่า
ดูก่อนอานนท์ พระโพธิสัตว์มีสติสัมชัญญะจุติจากเทพชั้นดุสิตแล้วหยั่งลงสู่
ครรภ์มารดา. อนึ่ง มีชนิดแห่งบุรพนิมิต 32 อย่าง โดยนัยมีอาทิว่า ความ
หนาวปราศไป. และความร้อนสงบ. สละโดยนัยมีอาทิว่า ดูก่อนสารีบุตร
เมื่อพระโพธิสัตว์ประสูติ หมื่นโลกธาตุนี้ย่อมหวั่นไหว สั่นสะเทือน. หรือว่า
อานิสงส์แม้อื่นใดมีอาการที่ได้แสดงไว้ในชาดกและพุทธวงศ์เป็นต้นนั้น ๆ มี
อาทิอย่างนี้ว่า ความเป็นผู้ชำนาญในกรรมเป็นต้น เป็นความสำเร็จความ
ประสงค์ของพระโพธิสัตว์ทั้งหลาย. ทั้งหมดนั้นเป็นอานิสงส์แห่งบารมีเหล่า
นั้น. อนึ่ง พึงทราบว่าอานิสงส์มีคู่แห่งคุณธรรมมีอโลภะและอโทสะเป็น
ต้น มีประเภทตามที่ได้แสดงไว้แล้ว.
อีกอย่างหนึ่ง เพราะพระโพธิสัตว์เป็นเสมอบิดาของสรรพสัตว์ทั้ง
หลาย ตั้งแต่สะสมอภินิหารเพื่อแสวงหาประโยชน์ เป็นผู้ควรทักษิณา น่า
เคารพน่ายกย่องและเป็นบุญเขตอย่างยิ่งด้วยประกอบคุณวิเศษ. และโดยมาก
พระโพธิสัตว์เป็นที่รักของมนุษย์ของอมนุษย์ ทวยเทพคุ้มครอง สัตว์ร้ายเป็น
ต้น ครอบงำไม่ได้ เพราะมีสันดานอบรมด้วยเมตตากรุณา. อนึ่ง พระ-

โพธิสัตว์เกิดในหมู่สัตว์ใด ๆ ย่อมครอบงำสัตว์อื่นในหมู่สัตว์นั้น ๆ ด้วย วรรณ
ยศ สุข พละ อธิปไตย้อนยอดยิ่ง เพราะประกอบด้วยบุญวิเศษ.
เป็นผู้มีอาพาธน้อย มีโรคน้อย. ศรัทราของพระโพธิสัตว์นั้นบริสุทธิ์
ด้วยดี. ความเพียรบริสุทธิ์ด้วยดี. สติ สมาธิ ปัญญา บริสุทธิ์ด้วยดี. มี
กิเลสเบาบาง มีความกระวนกระวายน้อย มีความเร่าร้อนน้อย. เป็นผู้ว่าง่าย
เพราะมีกิเลสเบาบาง. เป็นผู้มีความเคารพ. อดทนสงบเสงี่ยม. อ่อนโยน
ฉลาดในปฏิสันถาน. ไม่โกรธ ไม่ผูกโกรธ ไม่ลบหลู่ ไม่ตีเสมอ. ไม่ริษยา
ไม่ตระหนี่. ไม่โอ้อวด ไม่มีมายา. ไม่กระด้าง ไม่ถือตัว. ไม่รุนแรง ไม่
ประมาท. อดทนต่อความเดือดร้อนจากผู้อื่น ไม่ทำผู้อื่นให้เดือนร้อน.
อันตรายมีภัยเป็นต้นที่ยังไม่เกิด ย่อมไม่เกิดในตำบลที่ตนอาศัยอยู่. และที่
เกิดแล้วย่อมสงบไป. ทุกข์มีประมาณยิ่งย่อมไม่เบียดเบียนดุจชนเป็นอันมาก
ในอบายที่ทุกข์เกิด. ย่อมถึงความสังเวชโดยประมาณยิ่ง. เพราะฉะนั้นพึง
ทราบว่าคุณวิเศษเหล่านั้น มีความเป็นทักขิไณยบุคคลเสมอด้วยบิดาเป็นต้น
ของสัตว์ทั้งหลาย เป็นอานิสงส์ที่พระมหาบุรุษได้ในภพนั้น ๆ ตามสมควร.
อนึ่ง แม้คุณสมบัติเหล่านี้ คือ อายุสัมปทา รูปสัมปทา กุสลสัมป-
ทา อิสริยสัมปทา อาเทยยวจนตา คือพูดเชื่อได้ มหานุภาวตา พึงทราบ
ว่า เป็นอานิสงส์แห่งบารมีทั้งหลายของมหาบุรุษ. ในคุณวิเศษเหล่านั้น
ชื่อว่า อายุสัมปทา ได้แก่ความมีอายุยืน ความตั้งอยู่นานในการเกิดนั้น ๆ

ยังกุสลสมาทานตามที่เริ่มไว้ในอายุสัมปทานั้นให้ถึงที่สุด และสะสมกุสลไว้
มาก. ชื่อว่า รูปสัมปทา ได้แก่ความมีรูปงาม น่าดู น่าเลื่อมใส เป็นผู้
นำมาซึ่งความเลื่อมใส น่ายกย่องของสัตว์ทั้งหลายที่ถือรูปเป็นประมาณด้วย
รูปสัมปทานั้น. ชื่อว่า กุสลสัมปทา ได้แก่การเกิดในกุสลอันยิ่ง ควร
เข้าไปหา ควรเข้าไปนั่งใกล้ แม้ผู้มัวเมามีมัวเมาด้วยชาติเป็นต้น ด้วยกุสล-
สัมปทา ทำชนเหล่านั้นให้หมดพยศด้วยเหตุนั้น. ชื่อว่า อิสริยสัมปทา
ได้แก่ความเป็นผู้มีสมบัติมาก มีศักดิ์ใหญ่ และมีบริวารมาก เป็นผู้สามารถ
สงเคราะห์ผู้ที่ควรสงเคราะห์ และข่มผู้ที่ควรข่มโดยธรรม ด้วยอิสริยสัมปทา
นั้น. ชื่อว่า อาเทยฺยวจนตา ได้แก่ความเป็นผู้เชื่อได้ เชื่อถือได้ เป็นประมาณ
ของสัตว์ทั้งหลาย ด้วยความเชื่อถือนั้น คำสั่งของพระโพธิสัตว์นั้นกลับกลอก
ไม่ได้. ชื่อว่า มหานุภาวตา ได้แก่เพราะมีอานุภาพมาก คนอื่นครอบงำ
ไม่ได้. แต่ตนเองครอบงำคนอื่นได้โดยแท้ โดยธรรม โดยเสมอและโดย
คุณตามเป็นจริงด้วยความเป็นผู้มีอานุภาพใหญ่นั้น. พึงทราบว่าคุณวิเศษมี
อายุสัมปทาเป็นต้นเหล่านี้ เป็นอานิสงส์แห่งบารมีทั้งหลายของพระมหาบุรุษ.
และเป็นเหตุแห่งความเจริญของบุญสมภารหาประมาณมิได้ และเป็นเหตุแห่ง
การหยั่งลงและความเจริญงอกงามของสัตว์ทั้งหลายในญาณ 3.
อะไรเป็นผล. กล่าวโดยย่อความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นผล
ของบารมีเหล่านั้น. กล่าวโดยพิสดาร สิริธรรมกายอันงดงามทั่วไปตั้งขึ้นด้วย

คุณหาประมาณมิได้ ไม่มีสิ้นสุดตั้งแต่สมบัติของรูปกายอันรุ่งเรืองด้วยหมู่คุณ
ไม่น้อยมีอาทิ มหาปุริสลักษณะ 32 อนุพยัญชนะ 80 พระรัศมีวาหนึ่ง
เป็นต้น อธิษฐานธรรม ทศพลพลญาณ เวสารัชชญาณ 4 อสาธารณญาณ 6
พุทธธรรม 18 หมวด. อนึ่ง แม้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ไม่สามารถจะ
สรรเสริญพระพุทธคุณทั้งหลายให้สิ้นสุดลงได้ด้วยกัปไม่น้อย. นี้เป็นผลของ
บารมีเหล่านั้น. สมดังที่ท่านกล่าวไว้ว่า :-
แม้พระพุทธเจ้าก็พึงสรรเสริญคุณของ
พระพุทธเจ้า. หากกล่าวกะผู้อื่นแม้ตลอดกัป.
กัปสิ้นไปในระหว่างเป็นเวลายาวนาน แต่
พระคุณของพระตถาคตยังไม่สิ้นไป.

พึงทราบปกิณณกกถาในบารมีทั้งหลายในที่นี้ ด้วยประการฉะนี้. แต่
บทใดในบาลี ท่านแสดงบารมีแม้ทั้งหมดรวมกันโดยนัยมีอาทิว่า ทตฺวา
ทาตพฺพกํ ทานํ
ให้ทานที่ควรให้ดังนี้แล้วกล่าวคาถาสองคาถาสุดท้าย โดย
นัยมีอาทิว่า โกสชฺชํ ภยโต ทิสฺวา เห็นความเกียจคร้านโดยความเป็นภัย
ดังนี้ข้างหน้า. บทนั้นท่านกล่าวเพื่อให้โอวาทแก่เวไนยสัตว์เพื่อบ่มวิมุติให้
แก่กล้า ด้วยธรรมที่เป็นเมตตาภาวนาปรารภความเพียร ตามที่กล่าวแล้ว
ด้วยอัปปมาทวิหารธรรม พุทธการกธรรมถึงความบริสุทธิ์ และการบ่มวิมุติ
ของตนกล่าวคือสัมมาสัมโพธิญาณให้แก่กล้า.

พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงอานิสงส์ ในการปรารภความเพียรด้วย
หัวข้อแสดงถึงโทษในฝ่ายที่เป็นปฏิปักษ์ ด้วยบทนี้ว่า โกสชฺชํ ภยโต
ทิสฺวา, วีริยารมฺภญฺจ เขมโต
เห็นความเกียจคร้านโดยความเป็นภัย และ
เห็นการปรารภความเพียรโดยเป็นธรรมเกษม ดังนี้. ทรงชักชวนในการ
ปรารภความเพียรด้วยบทนี้ว่า อารทฺธวีริยา โหถ ท่านทั้งหลายจงเป็น
ผู้ปรารภความเพียรเถิด. อนึ่ง เพราะทรงประกาศไว้โดยสังเขปว่า :-
การไม่ทำบาปทั้งปวง 1 การเข้าถึงกุศล 1
การทำจิตของตนให้ผ่องใส 1 ทั้ง 3 นี้ เป็น
คำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย.

แต่โดยพิสดารทรงประกาศความสมบูรณ์ แม้ทุกอย่างอาศัยธรรม
เป็นที่ตั้งแห่งความเพียรชอบ โดยส่วนเดียวเท่านั้น ด้วยพุทธพจน์ทั้งสิ้น.
ฉะนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าครั้นทรงชักชวนในการปรารภความเพียรแล้ว จึง
ตรัสว่า เอสา พุทฺธานุสาสนี นี้เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย.
ในบทนั้น มีความสังเขปดังต่อไปนี้ . การปรารภความเพียรประกอบ
ด้วยสัมมัปปธาน ด้วยังอธิศีลสิกขาเป็นต้น ให้สมบูรณ์ เพราะเห็นความ
เกียจคร้านโดยความเป็นภัยว่า ความเกียจคร้านเป็นตัวขจัดความพินาศทั้ง
ปวง โดยเป็นรากแห่งความเศร้าหมองทั้งปวง และการปรารภความเพียร
โดยความเป็นปฏิปักษ์ต่อความเกียจคร้านนั้น โดยให้ปลอดจากโยคะ 4 โดย

ความเป็นธรรมเกษม. การชักชวนชอบในการปรารภความเพียรนั้นว่า ท่าน
ทั้งหลาย จงปรารภความเพียรกันเถิด ดังนี้. นี้เป็นคำสอน คำพร่ำสอน
โอวาทของพระพุทธเจ้าผู้มีพระภาคทั้งหลาย. แม้ในคาถาที่เหลือก็พึงทราบ
ความโดยนัยนี้แล.
แต่ความต่างกันมีดังนี้. บทว่า วิวาทํ คือพูดด้วยความโกรธ. อธิ-
บายว่า เถียงกันด้วยวิวาทวัตถุ คือเหตุแห่งความวิวาท 6 ประการ. บทว่า
อวิวาทํ คือ เมตตาวจีกรรม หรือ เมตตาภาวนา อันเป็นปฏิปักษ์ต่อความ
วิวาทกัน. อีกอย่างหนึ่ง บทว่า อวิวาทํ คือสาราณิยธรรม 6 อย่าง อัน
เป็นเหตุไม่วิวาทกัน. บทว่า สมคฺคา คือไม่แบ่งพวก. อธิบายว่า ร่วมกัน
ทางกายและใจ ไม่เว้นไม่แยกกัน. บทว่า สขิลา คือน่ารักอ่อนโยน.
อธิบายว่า มีใจอ่อนโยนในกันและกัน . ในบทว่า เอสา พุทฺธานุสาสนี
นี้ คือไม่อาศัยการวิวาทกันโดยประการทั้งปวง แล้วชักชวนให้อยู่ร่วม
สามัคคีกันโดยบำเพ็ญสาราณิยธรรม 6. พึงประกอบบทว่า เอสา พุทฺธานํ
อนุสิฏฺฐิ
นี้เป็นคำพร่ำสอนของพระพุทะเจ้าทั้งหลาย. จริงอยู่ชนทั้งหลาย
อยู่ร่วมกันด้วยความสามัคคี มีศีลและทิฏฐิเสมอกัน ไม่วิวาทกัน จักยัง
ไตรสิกขาให้บริบูรณ์ได้โดยง่ายทีเดียว เพราะเหตุนั้นพระศาสดา . จึงทรง
แสดงว่า การชักชวนให้อยู่ร่วมสามัคคีกัน เป็นคำสอนของพระองค์ ดังนี้.
บทว่า ปมาทํ คือความประมาท. ได้แก่การหลงลืมกุศลธรรมและ
การปล่อยจิตให้ตกอยู่ในอกุศลธรรม. สมดังที่ท่านกล่าวไว้ว่า ความประมาท

เป็นไฉน. การปล่อย เพิ่มการปล่อยจิตลงในกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต
หรือในกามคุณ 5 ไม่ทำความเคารพ ไม่ทำความเพียรติดต่อ ไม่ทำความ
มั่นคง ประพฤติย่อหย่อน ทอดฉันทะ ทอดธุระ ไม่เสพ ไม่อบรม ไม่
ทำให้มาก เพื่อความเจริญแห่งกุศลธรรมทั้งหลาย. ความประมาท ความ
มัวเมา ความเป็นผู้มัวเมา เห็นปานนี้ เรียกว่า ปมาโท.
บทว่า อปฺปมาทํ คือความไม่ประมาท. พึงทราบความไม่ประมาท
นั้น โดยเป็นปฏิปักษ์ของความประมาท. เพราะโดยอรรถความไม่อยู่ปราศ-
สติ ชื่อว่า ความไม่ประมาท. บทว่า สติยา อวิปฺปวาโส ความไม่อยู่
ปราศจากสตินี้เป็นชื่อของสติที่เข้าไปตั้งมั่นแล้วเป็นนิจ. แต่อาจารย์อีกพวก
หนึ่งกล่าวว่า อรูปขันธ์ 4 เป็นไปโดยตั้งสติสัมปชัญญะไว้ ชื่อว่า ความ
ไม่ประมาท.
ก็ชื่อว่า อัปปมาทภาวนา ไม่มีการภาวนาแยกออกจากกัน
เป็นหนึ่ง. บุญกิริยา กุศลกิริยา ทั้งหมดพึงทราบว่า เป็นอัปปมาทภาวนา
ทั้งนั้น.
แต่โดยความต่างกัน ศีลภาวนา สมาธิภาวนา ปัญญาภาวนา กุศล-
ภาวนา อนวัชชภาวนา คือภาวนาอันไม่มีโทษ อัปปมาทภาวนาทั้งหมด
ประสงค์เอาสรณคมน์ และการสำรวมกายวาจา อันเข้าไปอาศัยวิวัฏฏะ คือ
นิพพาน. จริงอยู่ บทว่า อปฺปมาโท นี้ แสดงถึงอรรถใหญ่. กำหนด
อรรถใหญ่ตั้งอยู่. พระธรรมกถึกนำพระพุทธพจน์อันเป็นไตรปิฎก แม้ทั้งสิ้น

มากล่าวขยายอรรถแห่งบท อปฺปมาท ไม่ควรพูดว่า ออกนอกลู่นอกทาง.< /B>
เพราะเหตุไร. เพราะบทแห่ง อปฺปมาท กว้างขวางมาก. เป็นความจริง
ดังนั้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าบรรทมในคราวปรินิพพาน ในระหว่างต้นสาละ
คู่ ณ กรุงกุสินารา ทรงแสดงธรรมที่พระองค์ตรัสมา 45 ปี ตั้งแต่อภิสัม-
โพธิกาล สงเคราะห์ด้วยบทเดียวเท่านั้น ได้ทรงประทานโอวาทแก่ภิกษุ
ทั้งหลายว่า อปฺปมาเทน สมฺปาเทถ เธอทั้งหลายจงยังความไม่ประมาท
ให้ถึงพร้อมเถิด. อนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
รอยเท้าสัตว์ทั้งหลายที่เที่ยวไปเหล่าใดเหล่าหนึ่ง. รอยเท้าเหล่านั้นทั้งหมด
ย่อมรวมลงในเท้าช้าง. เท้าช้างท่านกล่าวว่า เลิศกว่าเท้าสัตว์ทั้งหลายเพราะ
เป็นเท้าใหญ่ฉันใด. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย กุศลธรรมเหล่าใดเหล่าหนึ่ง ก็
ฉันนั้นเหมือนกัน ทั้งหมดนั้นมีความไม่ประมาทเป็นมูล หยั่งลงสู่ความไม่
ประมาท. ความไม่ประมาที่ท่านกล่าวว่าเลิศกว่าธรรมเหล่านั้น. พระศาสดา
เมื่อทรงแสดงถึงอัปปมาทภาวนา ถึงความเป็นยอด จึงตรัสว่า ภาเวถฏฺฐงฺคิกํ
มคฺคํ
พวกเธอจงเจริญมรรคมีองค์ 8 เถิด.
บทนั้นมีความดังนี้. พวกเธอจงเจริญอริยมรรคมีองค์ 8 สงเคราะห์
เข้าในขันธ์ 3 มีศีลขันธ์เป็นต้น มีสัมมาทิฏฐิเป็นบทนำ ด้วยสามารถ
แห่งองค์ 8 มีสัมมาทิฏฐิเป็นต้นนั่นแล. จงยังมรรคนั้นให้เกิดในสันดาน
ของตน. พวกเธอไม่ตั้งอยู่เพียงมรรคที่เห็น จงเจริญโดยให้มรรค 3 ข้างบน

เกิดขึ้นด้วย. อัปปมาทภาวนาของพวกเธอจักถึงยอดด้วยประการฉะนี้. บทว่า
เอสา พุทฺธานุสาสนี นี้ คือความไม่ประมาทในกุศลธรรมทั้งหลาย. อนึ่ง
การขวนขวายความไม่ประมาทนั้นแล้วอบรมอริยมรรค นี้เป็นคำสอนเป็น
พระโอวาทของพระพุทธเจ้าผู้มีพระภาคทั้งหลาย.
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงจบเทศนาจริยาปิฎก ด้วยธรรมเป็นยอดแห่ง
พระอรหัตด้วยประการฉะนี้. บทว่า อิตฺถํ ในบทมีอาทิว่า อิตฺถํ สุทํ ได้แก่
โดยประการมีอาทิว่า กปฺเป จ สตสหสฺเส คือในแสนกัป. บทว่า สุ ทํ
เป็นเพียงนิบาต. บทว่า ภควา ชื่อว่า ภควา ด้วยเหตุมีความเป็นผู้มีโชค
เป็นต้น. บทว่า อตฺตโน ปุพฺพจริยํ บุรพจริยาของพระองค์ คือ การ
บำเพ็ญทุกรกิริยาอันเป็นข้อปฏิบัติของพระองค์ ในชาติเป็นอกิตติบัณฑิต
เป็นต้น ในกาลก่อน. บทว่า สมฺภาวยมาโน คือทรงประกาศโดยชอบ
ดุจชี้มะขามป้อมบนฝ่ามือฉะนั้น. บทว่า พุทฺธาปทฺนิยํ นาม ชื่อว่า พุทธา-
ปทาน เพราะแสดงถึงกรรมเก่าอันเป็นอธิกิจที่ทำได้ยากแต่ก่อนของพระ-
พุทธเจ้าทั้งหลาย. บทว่า ธมฺมปริยายํ คือการแสดงธรรมหรือเหตุที่เป็น
ธรรม. บทว่า อภาสิตฺถ คือได้กล่าวแล้ว. อนึ่ง บทใดที่มิได้กล่าวไว้ใน
ที่นี้ พึงทราบว่า บทนั้นไม่ได้กล่าวไว้ เพราะมีนัยดังกล่าวไว้แล้วในหนหลัง
และเพราะมีความง่ายแล้ว.
จบ ปกิณณกกถา

บทสรุป


พระศาสดามีพระจริตบริสุทธิ์ ทรงถึงฝั่ง
แห่งพุทธิจริยา ทรงฉลาดในสรรพจริยาทั้ง-
หลาย ทรงเป็นอาจารย์ของโลกอย่างยอดเยี่ยม.
ทรงบรรลุความอัศจรรย์ทั้งปวงแห่งอัจฉริยธรรม
ทั้งหลาย ทรงประกาศอานุภาพแห่งบุรพจริยา
ของพระองค์. พระศาสดาผู้เป็นที่พึ่ง ทรง
แสดงจริยาปิฎกและพระเถระผู้สังคายนาพระ-
ธรรม ได้สังคายนาจริยาปิฎกเหมือนอย่างนั้น.
เพื่อประกาศความแห่งจริยาปิฎกนั้น ข้าพเจ้า
จึงเริ่มพรรณนาความ อาศัยนัยแห่งอรรถกถา
เก่า. เลือกประกาศความอันยิ่งในจริยาปิฎก
นั้นตามสมควร โดยชื่อว่า ปรมัตถทีปนี.
การวินิจฉัยไม่ยุ่งยาก ถึงความสำเร็จโดยภาณ-
วารแห่งบาลี 28 บริบูรณ์. ขอให้ข้าพเจ้าผู้
ปรับปรุงปรมัตถทีปนีนั้น ได้บรรลุถึงบุญอัน
เป็นคำสอนของพระโลกนาถ ด้วยอานุภาพ