เมนู

อรรถกถาอุททานคาถา



พึงทราบวินิจฉัยในอุททานคาถา ดังต่อไปนี้. อุททานคาถา มีอาทิว่า
ยุทฺธญฺชโย.
ในบทเหล่านั้น บทว่า ภิเสน ท่านแสดงมหากัญจนจริยา ด้วย
ชื่อเรื่องว่า ภิงสจริยา. ท่านแสดงโสณบัณฑิตจริยา ด้วยบทว่า โสณนนฺโท
นี้. อนึ่ง บทว่า มูคผกฺโข ท่านแสดงเตมิยบัณฑิตจริยา ด้วยชื่อเรื่องว่า
มูคภักขะ. ท่านแสดงมหาโลมหังสจริยา ด้วยหัวข้อธรรมคืออุเบกขาบารมี.
บทว่า อาสิ อิติ วุตฺตํ มเหสินา พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้แสวงหาคุณอัน
ยิ่งใหญ่ตรัสแล้ว อธิบายว่า ดูก่อนสารีบุตร ในครั้งนั้นเราเป็นพระโพธิสัตว์
ชื่อว่า แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่ เพราะแสวงหาโพธิสมภารมีทานบารมีเป็นต้น
ใหญ่โดยวิธีนี้ได้ประพฤติปฏิบัติมาแล้ว เหมือนอย่างที่แสดงแก่เธอในบัดนี้
แหละ. บัดนี้พระผู้มีพระภาคเจ้า เพื่อทรงแสดงถึงประโยชน์ที่พระองค์ทรง
บำเพ็ญบารมี ทรงกระทำทุกรกิริยาของพระองค์ทั้งที่กล่าวแล้ว และยังไม่ได้
กล่าวในที่นี้ อันเป็นไปตลอดกาลนาน ด้วยการบำเพ็ญบารมีให้บริบูรณ์รวม
เป็นอันเดียวกัน โดยสังเขปเท่านั้น จึงตรัสคาถานี้ว่า:-
เราได้เสวยทุกข์และสมบัติมากมายหลาย
อย่าง ในภพน้อยภพใหญ่ ตามนัยที่กล่าว
แล้วนี้ แล้วจึงได้บรรลุสัมโพธิญาณอันสูงสุด.

ในบทเหล่านั้น บทว่า เอวํ คือโดยนัยดังกล่าวแล้วนี้. บทว่า
พหุวิธํ ทุกฺขํ คือทุกข์หลายอย่างหลายประการ เพราะอาหารมีใบหมากเม่า
เป็นต้น เมื่อครั้งเป็นอกิตติบัณฑิตเป็นต้น และด้วยการอดอาหารเป็นต้น
เพราะให้ใบหมากเม่านั้นแก่ยาจก. อนึ่ง เมื่อครั้งเป็นพระเจ้ากุรุเป็นต้น
สมบัติมีหลายอย่าง เช่นกับสมบัติของท้าวสักกะ. บทว่า ภวาภเว คือภพ
น้อยภพใหญ่. หรือเสวยความเจริญและความเสื่อม ในภพน้อยภพใหญ่ ไม่
เดือดร้อนด้วยทุกข์หลายอย่าง ไม่ถูกฉุดคร่าด้วยสมบัติหลายอย่าง เป็นผู้
ขวนขวายในการบำเพ็ญบารมี ปฏิบัติข้อปฏิบัติอันสมควรแก่บารมีนั้น บรรลุ
อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณอย่างสูงสุด คือพระสัพพัญญุตญาณ.
บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้า เพื่อทรงแสดงถึงความที่บารมีที่พระองค์
ทรงบำเพ็ญทุกรกิริยา สิ้นกาลนาน เพื่อให้บริบูรณ์ให้เต็มเปี่ยมโดยไม่มี
เหลือ และความที่ผลที่ควรบรรลุ พระองค์ได้บรรลุแล้ว จึงตรัสคาถามีอาทิ
ว่า :-
เราได้ให้ทานอันควรให้ บำเพ็ญศีลโดย
หาเศษมิได้ ถึงเนกขัมมบารมีแล้วจึงบรรลุ
สัมโพธิญาณอันสูงสุด. เราสอบถามบัณฑิต
ทั้งหลาย ทำความเพียรอยู่อย่างอุกฤษฏ์ อย่าง

ถึงขันติบารมีแล้ว จึงบรรลุสัมโพธิญาณอัน
สูงสุด. เราทำอธิษฐานอย่างมั่น ตามรักษา
สัจวาจา ถึงเมตตาบารมีแล้ว จึงบรรลุสัม-
โพธิญาณอันสูงสุด. เราเป็นผู้มีจิตเสมอใน
ลาภและเสื่อมลาภ ในยศและเสื่อมยศ ใน
ความนับถือและการดูหมิ่นทั้งปวง แล้วจึง
บรรลุสัมโพธิญาณอันสูงสุด.

ในบทเหล่านั้น บทว่า ทตฺวา ทาตพฺพกํ ทานํ ความว่า ใน
กาลนั้น เราได้สละไทยธรรม มีราชสมบัติเป็นต้นในภายนอก อวัยวะและตา
เป็นต้นในภายใน ที่พระโพธิสัตว์ผู้ปฏิบัติปฏิปทาอันเป็นยานเลิศ เพื่อบรรลุ
พระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ จากนั้นได้บริจาคทานมีประเภทเป็นทาน.
บารมี ทานอุปบารมี และทานปรมัตถบารมี มีการบริจาคใหญ่ . อย่างเป็น
ที่สุด คือบริจาคราชสมบัติ 1 บริจาคอวัยวะ 1 บริจาคนัยน์ตา 1 บริจาค
บุตรภรชยา 1 บริจาคตน 1 โดยไม่มีเหลือ. ไม่มีปริมาณของอัตภาพ ที่
พระมหาบุรุษบำเพ็ญทานบารมี ในกาลที่แล้วมา ในจริยานี้มีอาทิอย่างนี้ คือ
ในกาลเป็นอกิตติพราหมณ์ ในกาลเป็นสังขพราหมณ์ แม้ในกาลที่มิได้มา
มีอาทิอย่างนี้ คือในกาลเป็นวิสัยหเศรษฐี ในกาลเป็นเวลามพราหมณ์.
ทานบารมีของพระโพธิสัตว์ ครั้งเป็นสสบัณฑิต สละตนอย่างนี้ว่า :-

เราเห็นยาจกเข้าไปขออาหาร จึงสละตน
ของตน ผู้เสมอด้วยทานของเราไม่มี นี้คือ
ทานบารมีของเรา.

ชื่อว่า ปรมัตถบารมีโดยส่วนเดียว. ส่วนในบารมีนอกนั้นพึงทราบ
บารมีและอุปบารมี ตามสมควร.
บทว่า สีลํ ปูเรตฺวา อเสสโต ความว่า อันผู้บำเพ็ญศีลของ
พระโพธิสัตว์ มีอาทิอย่างนี้ คือ สำรวมกาย สำรวมวาจา สำรวมทั้งกาย
วาจา สำรวมอินทรีย์ รู้จักประมาณในกาลบริโภค มีอาชีพบริสุทธิ์ ควร
บำเพ็ญบารมี อันมีประเภทเป็นศีลบารมี ศีลอุปบารมี ศีลปรมัตถบารมี ยัง
ศีลทั้งปวงให้บริบูรณ์ คือให้ถึงพร้อมด้วยชอบ โดยไม่มีส่วนเหลือ. แม้ใน
ที่นี้ไม่มีปริมาณของอัตภาพที่พระมหาสัตว์บำเพ็ญศีลบารมี ในกาลที่มาแล้ว
ในจริยานี้ มีอาทิอย่างนี้ คือในกาลเป็นศีลวนาคราช ในกาลเป็นจัมเปยย-
นาคราช และในกาลที่มิได้มา มีอาทิอย่างนี้ว่า ในกาลเป็นมหาวานร ใน
กาลเป็นช้างฉัททันตะ. ศีลบารมีของพระโพธิสัตว์ ครั้งเป็นสังขปาละ.
สละตนอย่างนี้ว่า :-
เราไม่โกรธเคืองพวกบุตรพราน แม้จะ
แทงด้วยหลาว แม้จะทิ่มด้วยหอก นี้เป็นศีล-
บารมีของเรา.

ชื่อว่า ปรมัตถบารมีโดยส่วนเดียว. ส่วนในบารมีนอกนี้พึงทราบ
บารมีและอุปบารมีตามสมควร.
บทว่า เนกฺขมฺเม ปารมึ คนฺตฺวา คือถึงบารมีในการออกบวชครั้ง
ใหญ่ 3 อย่าง อุกฤษฏ์อย่างยิ่ง. ในบทนั้นไม่มีปริมาณของอัตภาพที่พระ-
มหาสัตว์ สละราชสมบัติยิ่งใหญ่ แล้วบำเพ็ญเนกขัมมบารมี ในกาลที่มาแล้ว
ในจริยานี้อย่างนี้ คือ ในกาลเป็นยุธัญชยบัณฑิต ในกาลเป็นโสมนัสกุมาร
และที่มิได้ คือ ในกาลมีอาทิอย่างนี้ ในกาลเป็นหัตถิปาลกุมาร ในกาลเป็น
มฆเทวะ. อนึ่ง เนกขัมมบารมีของพระมหาสัตว์นั้น ผู้สละราชสมบัติออก
บวช เพราะไม่เกี่ยวข้องอย่างนี้ว่า :-
เราสละราชสมบัติอันใหญ่หลวงที่อยู่ใน
เงื้อมมือ ดุจถ่มก้อนน้ำลาย เมื่อเราสละก็ไม่
เกี่ยวข้อง นี้เป็นเนกขัมมบารมีของเรา.

ชื่อว่า ปรมัตบารมีโดยส่วนเดียว. ส่วนในบารมีนอกนี้ พึงทราบ
บารมีและอุปบารมีตามสมควร.
บทว่า ปณฺฑิเต ปริปุจฺฉิตฺวา ความว่า เราสอบถามถึงการจำแนก
ธรรมมีกุศลเป็นต้น ด้วยนัยมีอาทิว่า อะไรเป็นกุศล อะไรเป็นอกุศล อะไร
มีโทษ อะไรไม่มีโทษ การจำแนกกรรมและผลของกรรม กรรมศิลปะวิชา

อันไม่มีโทษ อันนำมาซึ่งอุปการะแก่สัตว์ทั้งหลาย กะบัณฑิตผู้มีปัญญา. ด้วย
บทนี้ ท่านแสดงถึงปัญญาบารมี. ในบทนั้นไม่มีปริมาณของอัตภาพที่พระ-
มหาสัตว์บำเพ็ญปัญญาบารมี ในกาลมีอาทิอย่างนี้ คือในกาลเป็นวิธูรบัณฑิต
ในกาลเป็นมหาโควินทบัณฑิต ในกาลเป็นกุททาลบัณฑิต ในกาลเป็นอรก-
บัณฑิต ในกาลเป็นโพธิปริพาชก ในกาลเป็นมโหสถบัณฑิต. อนึ่ง ปัญญา-
บารมีของพระโพธิสัตว์นั้น ผู้แสดงถึงงูที่อยู่ภายในกระสอบว่า :-
เราค้นหาด้วยปัญญา ปลดเปลื้องพราหมณ์
จากทุกข์. ผู้เสมอด้วยปัญญาของเราไม่มี นี้
เป็นปัญญาบารมีของเรา.

ชื่อว่า ปรุมัตถบารมีโดยส่วนเดียว.
บทว่า วีรยํ กตฺวาน อุตฺตมํ คือการทำวีริยบารมีหลายอย่างให้เกิด.
คือ ปธานะ วีริยะอันสูงสุดเพราะสามารถให้ถึงสัมมาสัมโพธิญาณได้. ใน
บทนั้น ไม่มีปริมาณของอัตภาพที่พระมหาสัตว์บำเพ็ญวีริยบารมี ในกาลมี
อาทิอย่างนี้ คือ ในกาลเป็นมหาศีลวราช ในกาลเป็นปัญจาวุธกุมาร ใน
กาลเป็นพระยามหาวานร. อนึ่ง วีริยบารมีของพระโพธิสัตว์นั้น ครั้งเป็น
พระมหาชนก ข้ามมหาสมุทร อย่างนี้ว่า :-

เราอยู่ท่ามกลางมหาสมุทรมองไม่เห็นฝั่ง
พวกมนุษย์ทั้งหลาย พากันตายหมดแล้ว เรา
ไม่มีจิตเป็นอย่างอื่น นี้เป็นวีริยบารมีของเรา.

ชื่อว่า ปรมัตถบารมีโดยส่วนเดียว.
บทว่า ขนฺติยา ปารมึ คนฺตฺวา ความว่า เราบรรลุถึงอธิวาสนขันติ
เป็นต้น อันมีสภาพเป็นขันติชั้นอุกฤษฏ์อย่างยอดเยี่ยม ถึงขันติบารมีชั้น
ยอด. อธิบายว่า ยังขันติบารมีให้สมบูรณ์. ในบทนั้นไม่มีปริมาณของอัต-
ภาพที่พระมหาสัตว์บำเพ็ญขันติบารมี ในกาลมีอาทิอย่างนี้ คือ ในกาลเป็น
พระยาวานร ในกาลเป็นพระยากระบือ ในกาลเป็นรุรุมิคราช ในกาลเป็น
ธรรมเทพบุตร. อนึ่ง ขันติบารมีของพระมหาสัตว์นั้น ครั้งเป็นขันติวาที
ดาบสเสวยทุกข์ใหญ่ ดุจไม่มีจิตใจอย่างนี้ว่า :-
เราไม่โกรธพระราชากาสี ผู้โบยเราด้วย
ขวานอันคม เหมือนเราไม่มีจิตใจ. นี้เป็น
ขันติบารมีของเรา.

ชื่อว่า ปรมัตถบารมีโดยส่วนเดียว.
บทว่า กตฺวา ทฬฺหมธิฏฺฐานํ ความว่า เราทำอธิษฐานสมาทาน-
กุศลอธิษฐานสมาทานบารมีนั้น ๆ และสมาทานธรรมเป็นอุปการะ แก่บารมี

นั้นให้มั่นไม่ให้หย่อน. อธิบายว่า อธิษฐานสมาทานข้อปฏิบัตินั้น ๆ โดย
ไม่มีการกลับกลอก. ในบทนั้น ไม่มีปริมาณแห่งอัตภาพของพระมหาสัตว์ผู้
บำเพ็ญอธิษฐานบารมี ในกาลมีอาทิอย่างนี้ คือ ในกาลเป็นโชติปาละ ใน
กาลเป็นสรภังคะ ในกาลเป็นพระเนมิ. อธิษฐานบารมีของพระโพธิสัตว์นั้น
ครั้งเป็นพระเตมิยกุมาร อธิษฐานพรตสละชีวิตอย่างนี้ว่า :-
เราไม่เกลียดชังพระมารดาและพระบิดา
เราไม่เกลียดตัวเรา. พระสัพพัญญุตญาณเป็น
ที่รักของเรา เพราะฉะนั้นเราจึงอธิษฐานพรต.


ชื่อว่า ปรมัตถบารมีโดยส่วนเดียว.

บทว่า สจฺจวาจานุรกฺขิย ความว่า เราตามรักษาสัจวาจารังเกียจ
โวหารที่ไม่เป็นอริยะ แม้ในเวลามีอันตรายถึงชีวิต ก็คงรักษาไว้ คือรักษา
คำพูดที่ไม่ผิดปกติโดยประการทั้งปวง. ในบทนั้น ไม่มีปริมาณของอัตภาพ
ของพระมหาสัตว์ที่บำเพ็ญสัจบารมี ในกาลมีอาทิอย่างนี้ คือ ในกาลเป็น
พระยาวานร ในกาลเป็นสัจจดาบส ในกาลเป็นพระยาปลา. อนึ่ง สัจ-
บารมีของพระโพธิสัตว์นั้น ครั้งเป็นมหาสุตโสม สละชีวิตตามรักษาคำสัตย์
อย่างนี้ว่า :-

เราตามรักษาสัจวาจา สละชีวิตของเรา
ให้โปริสาทปลดปล่อยกษัตริย์ 101. นี้เป็น
สัจบารมีของเรา.

ชื่อว่า ปรมัตถบารมีโดยส่วนเดียว.
บทว่า เมตฺตาย ปารมึ คนฺตฺวา ความว่า เราถึงเมตตาบารมีอัน
มีลักษณะนำสิ่งเป็นประโยชน์ในสรรพสัตว์โดยไม่เจาะจง อันเป็นบารมีชั้น
อุกฤษฏ์อย่างยิ่ง. ในบทนั้น ไม่มีปริมาณของอัตภาพของพระโพธสัตว์ ที่
บำเพ็ญเมตตาบารมี ในกาลมีอาทิอย่างนี้ คือ ในกาลเป็นจูฬธรรมปาละ ใน
กาลเป็นมหาสีลวราช. ในกาลเป็นสามบัณฑิต. อนึ่ง เมตตาบารมีของพระ-
โพธิสัตว์นั้น ครั้งเป็นสุวรรณสาม แผ่เมตตาไม่เหลียวแลแม้ชีวิตอย่างนี้
ว่า :-
ใคร ๆ ไม่สะดุ้งหวาดกลัวเรา แม้เราก็
ไม่กลัวใคร ๆ. อันกำลังแห่งเมตตาอุปถัมภ์ไว้
เราจึงยินดีในป่าใหญ่ ในกาลนั้น.

ชื่อว่า ปรมัตถบารมีโดยส่วนเดียว.
บทว่า สมฺมานนาวมานเน ความว่า เรามีจิตเสมอไม่ผิดปกติ ใน
การนับถือด้วยการบูชาสักการะเป็นต้น โดยเคารพ ในการดูหมิ่นด้วยการ

ถ่มน้ำลายเป็นต้น และในโลกธรรมทั้งปวง ได้บรรลุพระสัพพัญญุตญาณ
อันยอดเยี่ยมสูงสุด. ในบทนั้น ไม่มีปริมาณแห่งอัตภาพ ที่พระมหาสัตว์
บำเพ็ญอุเบกขาบารมี ในกาลมีอาทิอย่างนี้ คือ ในกาลเป็นพระยามหาวานร
ในกาลเป็นพระเจ้ากาสี ในกาลเป็นเขมพราหมณ์ ในกาลเป็นอัฐิเสนปริ-
พาชก. อนึ่ง อุเบกขาบารมีของพระโพธิสัตว์นั้น ครั้งเป็นมหาโลมหังสะ
แม้เมื่อเด็กชาวบ้านทำให้เกิดสุขและทุกข์ ด้วยการถ่มน้ำลายเป็นต้น และ
ด้วยการนำดอกไม้ของหอมเป็นต้น เข้าไปก็ไม่ละเลยอุเบกขาอย่างนี้ว่า :-
เรานอนอยู่ในป่าช้า เอาซากศพอันมีแต่
กระดูกทำเป็นหมอนหนุน. เด็กชาวบ้านพวก
หนึ่ง พากันเข้าไปทำความหยาบช้าร้ายกาจนา-
นัปการ.

ชื่อว่า ปรมัตถบารมีโดยส่วนเดียว.
ด้วยประการฉะนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสถึงการบำเพ็ญทุกรกิริยา
ที่พระองค์ทรงทำแล้วในภัตรกัปนี้ เพื่อบรรลุสัมมาสัมโพธิญาณโดยสังเขป
ว่า :-
เราได้เสวยทุกข์และสมบัติมากมายหลาย
อย่าง ในภพน้อยและภพใหญ่ตามนัยที่กล่าว

แล้วนี้ แล้วจึงได้บรรลุสัมโพธิญาณอันสูงสุด.
แล้วทรงแสดงบารมี 10 ที่พระองค์ทรงบำเพ็ญแล้วโดยชอบอีกว่า:-
ทตฺวา ทาตพฺพกํ ทานํ ฯ ล ฯ ปตฺโต สมฺโพธิมุตฺตมํ
เราให้ทานที่ควรให้ ฯลฯ บรรลุสัมโพธิญาณอันสูงสุด ( มีคำแปล
ซ้ำกับที่แปลไว้แล้วในตอนต้น).
จบ อรรถกถาอุททานคาถา

ปกิณณกกถา


เพื่อความฉลาดหลายประการในโพธิสมภารของกุลบุตรทั้งหลาย ผู้
ตั้งอยู่ในฐานะนั้นมีความอุตสาหะในการปฏิบัติเพื่อไปสู่มหาโพธิญาณ จึงควร
กล่าวปกิณณกกถาในบารมีทั้งปวง.
ในบารมีนั้นมีปัญหาดังต่อไปนี้ :- บารมีนั้นคืออะไร บารมีเพราะ
อรรถว่ากระไร บารมีมีกี่อย่าง ลำดับของบารมีเป็นอย่างไร อะไรเป็นลักษณะ
รสปัจจุปัฏฐานและปทัฏฐาน อะไรเป็นปัจจัย อะไรเป็นความเศร้าหมอง
อะไรเป็นความผ่องแผ้ว อะไรเป็นปฏิปักษ์ อะไรเป็นข้อปฏิบัติ อะไร
เป็นการจำแนก อะไรเป็นการสงเคราะห์ อะไรเป็นอุบายให้สำเร็จ ให้สำเร็จ
โดยกาลไหน อะไรเป็นอานิสงส์ และอะไรเป็นผลของบารมีเหล่านั้น.
คำตอบมีดังต่อไปนี้ :- บารมีคืออะไร ? บารมีคือคุณธรรมทั้งหลาย
มีทานเป็นต้น กำหนดด้วยความเป็นผู้ฉลาดในอุบาย คือกรุณาอันตัณหา
มานะ และทิฏฐิไม่เข้าไปกำจัด.
บารมีเพราะอรรถว่ากระไร ? พระมหาสัตว์พระโพธิสัตว์เป็นผู้ยอดยิ่ง
เพราะสูงกว่าสัตว์ด้วยการประกอบคุณวิเศษมีทานและศีลเป็นต้น ความเป็น
หรือการกระทำของพระโพธิสัตว์เหล่านั้นเป็นบารมี กรรมมีการบำเพ็ญเป็น
ต้น ก็เป็นบารมี.