เมนู

สโมธานกถา


สรุปการบำเพ็ญบารมี 30 ข้อ


[36] การบำเพ็ญบารมีอันเป็นเครื่องบ่มพระโพธิ-
ญาณเหล่านี้ จัดเป็นบารมี 10 อุปบารมี 10
ปรมัตถบารมี 10 คือการบำเพ็ญทานในภพที่
ตถาคตเป็นพระเจ้าสิวิราชผู้ประเสริฐเป็นทาน-
บารมี ในภพที่เราเป็นเวสสันดรและเป็น
เวลามพราหมณ์ เป็นทานอุปบารมี ในภพที่เรา
เป็นอกิตติดาบสอดอาหารนั้นเป็นทานอุปบารมี
ในภพที่เราเป็นพระยาไก่ป่าสีลวนาคและพระ-
ยากระต่าย เป็นทานปรมัตถบารมี ในภพที่เรา
เป็นพระยาวานร ช้างฉันททันต์ และช้างเลี้ยง
มารดา เป็นศีลบารมี พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้แสวง
หาคุณยิ่งใหญ่ตรัสไว้ดังนี้ การรักษาศีลในภพ
ที่เราเป็นจัมเปยยกนาคราช และภูริทัตตนาค-
ราช เป็นศีลอุปบารมี ในภพที่เราเป็นสังข-

ปาลบัณฑิต เป็นศีลปรมัตถบารมี ในภพที่เรา
เป็นยุธัญชยกุมาร มหาโควินทพราหมณ์ คน
เลี้ยงช้าง อโยฆรราชโอรส ภัลลาติ สุวรรณ-
สาม มฆเทวะและเนมิราช บารมีเหล่านี้เป็น
อุปปบารมี ในภพที่เราเป็นมโหสถผู้เป็นทรัพย์
ของรัฐ กุณฑลตัณฑิละและนกกระทาบารมี
เหล่านี้เป็นปัญญาอุปบารมี ในภพที่เราเป็น
วิธูรบัณฑิตและสุริยพราหมณ์มาตังคะ ผู้เป็น
ศิษย์เก่าของอาจารย์ บารมีทั้ง 2 ครั้งนี้ เป็น
ปัญญาบารมี ในภพที่เราเป็นพระราชผู้มีศีล มี
ความเพียร เป็นผู้ก่อให้เกิดสัตตุภัสตชาดก
บารมีนี้แลเป็นปัญญาปรมัตถบารมี ในภพที่เรา
เป็นพระราชาผู้มีความเพียร บากบั่น เป็น
วีริยปรมัตถบารมี ในภพที่เราเป็นพระยาวานร
ผู้มีครุธรรม 5 ประการ เป็นวีริยบารมี ในภพ
ที่เราเป็นธรรมปาลกุมาร เป็นขันติบารมี ใน
ภพที่เราเป็นธรรมิกเทพบุตร ทำสงครามกับ

อธรรมิกเทพบุตร เรียกว่าขันติอุปบารมี ใน
ภพที่เราเป็นขันติวาทีดาบส แสวงหาพุทธภูมิ
ด้วยการบำเพ็ญขันติบารมี ได้ทำกรรมที่ทำได้
ยากเป็นอันมาก นี้เป็นขันติปรมัตถบารมี ใน
ภพที่เราเป็นสสบัณฑิต นกคุ่ม ซึ่งประกาศ
คุณสัจจะยังไฟให้ดับด้วยสัจจะ นี้เป็นสัจจ-
บารมี ในภพที่เราเป็นปลาอยู่ในน้ำ ได้ทำ
สัจจะอย่างสูง ยังฝนให้ตกใหญ่ นี้เป็นสัจจ-
บารมีของเรา ในภพที่เราเป็นสุปารบัณฑิตผู้
เป็นนักปราชญ์ ยังเรือให้ข้ามสมุทรจนถึงฝั่ง
เป็นกัณหทีปายนดาบส ระงับยาพิษได้ด้วย
สัจจะ และเป็นวานรข้ามกระแสแม่น้ำคงคา
ได้ด้วยสัจจะ นี้เป็นสัจอุปบารมีของเรา ใน
ภพที่เราเป็นสุตโสมราชา รักษาสัจจะอย่างสูง
ช่วยปล่อยกษัตริย์ 101 นี้ เป็นสัจปรมัตถ-
บารมี อะไรที่จะเป็นความพอใจไปกว่าอธิษ-
ฐาน นี้เป็นอธิษฐานบารมี ในภพที่เราเป็น-

มาตังคชฎิล และช้างมาตังคะ นี้เป็นอธิษฐาน
อุปบารมี ในภพที่เราเป็นมูคผักขกุมาร เป็น
อธิษฐานปรมัตถบารมี ในภพที่เป็นมหากัณห-
ฤาษี และพระเจ้าโสธนะ และบารมีสอง
อย่าง คือในภพที่เราเป็นพระเจ้าพรหมทัต
และคัณฑิติณฑกะ ที่กล่าวแล้วเป็นเมตตา.
บารมี ในภพที่เป็นโสณนันทบัณฑิตผู้ทำความ
รัก บารมีเหล่านั้นเป็นเมตตาอุปบารมีเมตตา
บารมี ในภพที่เราเป็นพระเจ้าเอกราช เป็น
บารมีไม่มีของผู้อื่นเหมือน นี้เป็นเมตตาปร-
มัตถบารมี ในภพที่เราเป็นนกแขกเต้าสองครั้ง
เป็นอุเบกขาบารมี ในภพที่เราเป็นโลมหังส-
บัณฑิต เป็นอุเบกขาปรมัตถบารมี บารมีของ
เรา 10 ประการนี้ เป็นส่วนแห่งโพธิญาณอัน
เลิศ บารมียิ่งกว่า 10 ไม่มี หย่อนกว่า 10
ก็ไม่มี เราบำเพ็ญบารมีทุกอย่างไม่ยิ่งไม่หย่อน
เป็นบารมี 10 ประการ ฉะนี้แล.

จบ สโมธานกถา

อรรถกถาอุททานคาถา



พึงทราบวินิจฉัยในอุททานคาถา ดังต่อไปนี้. อุททานคาถา มีอาทิว่า
ยุทฺธญฺชโย.
ในบทเหล่านั้น บทว่า ภิเสน ท่านแสดงมหากัญจนจริยา ด้วย
ชื่อเรื่องว่า ภิงสจริยา. ท่านแสดงโสณบัณฑิตจริยา ด้วยบทว่า โสณนนฺโท
นี้. อนึ่ง บทว่า มูคผกฺโข ท่านแสดงเตมิยบัณฑิตจริยา ด้วยชื่อเรื่องว่า
มูคภักขะ. ท่านแสดงมหาโลมหังสจริยา ด้วยหัวข้อธรรมคืออุเบกขาบารมี.
บทว่า อาสิ อิติ วุตฺตํ มเหสินา พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้แสวงหาคุณอัน
ยิ่งใหญ่ตรัสแล้ว อธิบายว่า ดูก่อนสารีบุตร ในครั้งนั้นเราเป็นพระโพธิสัตว์
ชื่อว่า แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่ เพราะแสวงหาโพธิสมภารมีทานบารมีเป็นต้น
ใหญ่โดยวิธีนี้ได้ประพฤติปฏิบัติมาแล้ว เหมือนอย่างที่แสดงแก่เธอในบัดนี้
แหละ. บัดนี้พระผู้มีพระภาคเจ้า เพื่อทรงแสดงถึงประโยชน์ที่พระองค์ทรง
บำเพ็ญบารมี ทรงกระทำทุกรกิริยาของพระองค์ทั้งที่กล่าวแล้ว และยังไม่ได้
กล่าวในที่นี้ อันเป็นไปตลอดกาลนาน ด้วยการบำเพ็ญบารมีให้บริบูรณ์รวม
เป็นอันเดียวกัน โดยสังเขปเท่านั้น จึงตรัสคาถานี้ว่า:-
เราได้เสวยทุกข์และสมบัติมากมายหลาย
อย่าง ในภพน้อยภพใหญ่ ตามนัยที่กล่าว
แล้วนี้ แล้วจึงได้บรรลุสัมโพธิญาณอันสูงสุด.