เมนู

แก้อรรถ


บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ตเมวตฺถมนุปตฺติยา ได้แก่ เพื่อให้เกิด
ความเป็นพระพุทธเจ้านั้น. อธิบายว่า ก็ครั้นฟังพระดำรัสของพระโสภิต
พุทธเจ้าพระองค์นั้นว่า ในอนาคตกาล ท่านผู้นี้จักเป็นพระพุทธเจ้าพระนาม
ว่า โคตมะ ดังนี้แล้ว จึงปฏิบัติเพื่อบรรลุถึงความเป็นพระพุทธเจ้า เพราะว่า
พระพุทธเจ้าทั้งหลายมีพระดำรัสไม่ผิด. บทว่า อุคฺคํ ได้แก่ แรงกล้า.
บทว่า ธิตึ ได้แก่ ความเพียร. บทว่า อกาสหึ ตัดบทว่า อกาสึ
อหํ แปลว่า ข้าพเจ้าได้ทำแล้ว.
พระผู้มีพระภาคเจ้าโสภิตะ พระองค์นั้น มีพระนครชื่อว่า สุธัมมะ
พระชนกพระนามว่า พระเจ้าสุธัมมะ พระชนนีพระนามว่า พระนางสุธัมมา
คู่พระอัครสาวกชื่อว่า พระสุเนตตะ และ พระอสมะ พระพุทธอุปัฏฐากชื่อว่า
อโนมะ คู่พระอัครสาวิกา ชื่อว่า พระนกุลา และ พระสุชาดา โพธิพฤกษ์
ชื่อว่า ต้นนาคะ. พระสรีระสูง 58 ศอก พระชนมายุเก้าหมื่นปี พระอัคร-
มเหสีพระนามว่า มกิลา พระโอรสพระนามว่า สีหกุมาร. พระสนมนาฏนารี
สามหมื่นเจ็ดพันนาง ทรงครองฆราวาสวิสัยเก้าพันปี ทรงออกอภิเนษกรมณ์
โดยเสด็จไปพร้อมกับปราสาท. อุปัฏฐากพระนามว่า พระเจ้าชัยเสนะ. ด้วย
เหตุนั้นจึงตรัสว่า
พระโสภิตพุทธเจ้า ผู้แสวงคุณยิ่งใหญ่ ทรงมี
พระนครชื่อว่า สุธัมมะ พระชนกพระนามว่า พระ-
เจ้าสุธัมมะ พระชนนีพระนามว่า พระนางสุธัมมา.
พระโสภิตพุทธเจ้า ผู้แสวงคุณยิ่งใหญ่มีพระ-
อัครสาวก ชื่อว่าพระอสมะ และ พระสุเนตตะ มีพระ
พุทธอุปัฏฐากชื่อว่า พระอโนมะ.

มีพระอัครสาวิกา ชื่อว่า พระนกุลา และพระ
สุชาดา. พระพุทธเจ้าพระองค์นั้น เมื่อตรัสรู้ ก็ตรัสรู้
ณ โคนโพธิพฤกษ์ ชื่อว่าต้นนาคะ.
พระมหามุนี สูง 58 ศอก ส่งรัศมีสว่างไปทุก
ทิศ ดังดวงอาทิตย์อุทัย.
ป่าใหญ่ มีดอกไม้บานสะพรั่ง อบอวลด้วยกลิ่น
หอมนานา ฉันใด. ปาพจน์ของพระโสภิตพุทธเจ้า ก็
อบอวลด้วยกลิ่น คือศีลฉันนั้นเหมือนกัน.
ขึ้นชื่อว่า มหาสมุทร อันใครๆ ไม่อิ่มได้ด้วย
การเห็น ฉันใด ปาพจน์ของพระโสภิตพุทธเจ้า อัน
ใครๆ ก็ไม่อิ่มด้วยการฟัง ฉันนั้นเหมือนกัน.
ในยุคนั้น มนุษย์มีอายุเก้าหมื่นปี พระโสภิตะ
พุทธเจ้าพระองค์นั้น เมื่อทรงมีพระชนม์ยืนอย่างนั้น
จึงทรงยังหมู่ชนเป็นอันมากให้ข้ามโอฆสงสาร.
พระองค์ทั้งพระสาวก ประทานโอวาทานุศาสน์
แก่ชนที่เหลือแล้ว ก็ดับขันธปรินิพพาน เหมือนดวง
ไฟไหม้แล้วก็ดับ ฉะนั้น.
พระพุทธเจ้า ผู้เสมอด้วยพระพุทธเจ้าผู้ที่ไม่มี
ผู้เสมอพระองค์นั้นด้วย เหล่าพระสาวก ผู้ถึงกำลัง
เหล่านั้นด้วย ทั้งนั้นอันตรธานไปสิ้น สังขารทั้งปวง
ก็ว่างเปล่า แน่แท้.

แก้อรรถ


บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สตรํสีว แปลว่า เหมือนดวงอาทิตย์
ความว่า ส่องแสงสว่างไปทุกทิศ. บทว่า ปวนํ แปลว่า ป่าใหญ่. บทว่า
ธูปิตํ ได้แก่ อบ ทำให้มีกลิ่น. บทว่า อตปฺปิโย ได้แก่ ไม่ทำความอิ่ม
หรือไม่เกิดความอิ่ม. บทว่า ตาวเท แปลว่า ในกาลนั้น . ความว่า ในกาล
เพียงนั้น. บทว่า ตาเรสิ แปลว่า ให้ข้าม. บทว่า โอวาทํ ความว่า การ
สอนครั้งเดียว ชื่อว่า โอวาท. บทว่า อนุสิฏฺฐึ ความว่า การกล่าวบ่อย ๆ
ชื่อว่า อนุสิฏฐิ [อนุศาสน์]. บทว่า เสสเก ชเน ได้แก่ แก่ชนที่เหลือ ซึ่ง
ยังไม่บรรลุการแทงตลอดสัจจะ. บทว่า หุตาสโนว ตาเปตฺวา แปลว่า
เหมือนไฟไหม้แล้ว อีกอย่างหนึ่ง ปาฐะก็อย่างนี้เหมือนกัน. ความว่า พระผู้มี
พระภาคเจ้า ปรินิพพาน เพราะสิ้นอุปาทาน. ในคาถาที่เหลือในที่ทุกแห่ง
ง่ายทั้งนั้นแล.
จบพรรณนาวงศ์พระโสภิตพุทธเจ้า