ปุณณิกาเถรีอปทานที่ 8 (38)ว่าด้วยบุพจริยาของพระปุณณิกาเถรี[178] ดิฉันบวชเป็นภิกษุณีในศาสนา ของพระพุทธเจ้า 6 พระองค์คือ พระวิปัสสี พระสิขี พระเวสสภู พระกกุสันธะ พระโกนาคมนะ ผู้คงที่ และพระกัสสปะ เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยยศ มีปัญญา สำรวมอินทรีย์ เป็นพหสูต ทรงธรรม สอบถามอรรถ แห่งธรรม ศึกษาธรรมแล้ว มีพระแสธรรม เป็น ผู้นั่งใกล้ แสงพุทธศาสนาในท่ามกลางประชุม- ชน ดิฉันมีศีลเป็นที่รัก แต่ถือตัวจัดเพราะความ เป็นพหูสูตนั้น. ในภพครั้งหลังนี้ ดิฉันเกิดในเรือนแห่ง นางกุมภทาสี ของอนาถบิณฑิกเศรษฐีในพระนคร สาวัตถีอันอุดม ดิฉันไปตักน้ำ ได้เห็นโสตถิยพราหมณ์ หนาวสั่นอยู่ในกลางน้ำ ครั้นเห็นแล้วได้กล่าวว่า ดิฉันมาตักน้ำในคราวหนาว กลัวภัยแต่ อาชญา และระแวงภัยคือการด่าด้วยวาจาของเจ้า นาย จึงต้องลงน้ำร่ำไป ดูก่อนพราหมณ์ ท่านกลัวอะไร จึงลง หม่อนฉันมีญาณอันปราศจากมลทิน บริ- อัมพปาลีเถรีอปทานที่ 9 (39)ว่าด้วยบุพจริยาของพระอัมพปาลีเถรี[179 ] ดิฉันเกิดในสกุลกษัตริย์ เป็น ภคินีแห่งพระมหามุนีพระนามว่า ปุสสะ ผู้มี พระรัศมีงามรุ่งเรือง มีธรรมดังว่าเทริดดอกไม้ บนศีรษะ ดิฉันได้ฟังธรรมของพระองค์แล้วมีจิต เลื่อมใสถวายมหาทานแล้ว ปรารถนาซึ่งรูปสมบัติ ในกัปที่ 31 แต่ภัทรกัปนี้ พระพิชิตมาร พระนามว่าสิขี ผู้เป็นนายกชั้นเลิศของโลก ทรง |