เมนู

เธอจงเบื่อหน่าย พิจารณาดูรูปนั้นด้วยปัญญาของ
คน.
ลำดับนั้น ดิฉันได้ฟังคาถาเป็นสุภาษิต
แล้วมีความสลดใจ ตั้งอยู่ในธรรมนั้น ได้บรรลุ
ซึ่งอรหัตผล
ในกาลนั้น ดิฉันนั่งอยู่ในที่ไหน ๆ ก็มี
ฌานเป็นเบื้องหน้า พระพิชิตมารทรงพอพระทัย
ในคุณสมบัตินั้น จึงทรงตั้งดิฉันไว้ในตำแหน่ง
เอตทัคคะ
ดิฉันเผากิเลสทั้งหลายแล้ว.. . คำสอน
ของพระพุทธเจ้าดิฉันได้ทำเสร็จแล้ว.

ทราบว่า ท่านพระนันทาภิกษุณีได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการ
ฉะนี้แล.
จบนันทาเถรีอปทาน

โสณาเถรีอปทานที่ 6 [26]


ว่าด้วยบุพจริยาของพระโสณาเถรี


[166] ในกัปที่หนึ่งแสนแต่ภัทรกัปนี้
พระพิชิตมาผู้เป็นนายกของโลกพระนามว่า
ปทุมุตตระ ผู้ทรงรู้จบธรรมทั้งปวง เสด็จอุบัติขึ้น
แล้ว

ครั้งนั้น ดิฉันเถิดในสกุลเศรษฐี เป็น
ผู้มีสุขชอบตกแต่ง เป็นที่รักของบิดา เข้าไป
เฝ้าพระมุนีผู้ประเสริฐพระองค์นั้น ได้ฟังพระ-
ดำรัสอันไพเราะ.
พระพิชิตมารทรงสรรเสริญภิกษุองค์-
หนึ่งว่า เป็นผู้เลิศกว่าภิกษุณีทั้งหลาย ฝ่ายผู้
ปรารภความเพียรครั้งนั้น ดิฉันได้ฟังพระพุทธ-
พจน์นั้นแล้วมีความยินดี ได้ทำสักการะแด่พระ-
ศาสดา
ถวายบังคมพระพุทธเจ้าแล้วได้ปรารถนา
ตำแหน่งนั้น พระมหาวีรเจ้าทรงอนุโมทนาว่า
ความปรารถนาของท่านจะสำเร็จ
ในกัปที่แสนหนึ่งแต่กัปนี้ พระศาสดา
พระนามว่าโคดม มีสมภพในวงศ์พระเจ้าโอก-
กากราชจักเสด็จอุบัติขึ้นในโลก ท่านนี้จักได้เป็น
ธรรมทายาทของพระศาสดาพระองค์นั้น จักเป็น
โอรสอันธรรมนิรมิต จักได้เป็นพระสาวิกาของ
พระศาสดามีชื่อว่าโสณา.
ครั้งนั้น ดิฉันได้ฟังพุทธานุโมทนานั้น
แล้วมีความยินดี มีจิตประกอบด้วยเมตตา บำรุง
พระพิชิตมารผู้เป็นนายกชั้น พิเศษด้วยปัจจัยทั้ง
หลายจนตลอดชีวิต

ด้วยกุศลกรรมที่ทำไว้แล้วนั้น และด้วย
การตั้งเจตน์จำนงไว้ ดิฉันละร่างกายมนุษย์แล้ว
ได้ไปสู่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์
ในภพหลังครั้งนี้ดิฉันเกิดในสกุลเศรษฐี
ที่มั่งคั่งเจริญ มีทรัพย์มากในพระนครสาวัตถี
เมื่อดิฉันเติบโตเป็นสาว ได้ไปสู่สกุลสามี
คลอดบุตรชาย 10 คนล้วนแต่มีรูปงามยิ่งนัก บุตร
ทุกคนนั้นตั้งอยู่ในความสุข เจริญตาและใจของ
ชนให้นิยม แม้แต่พวกศัตรูก็ชอบใจ เป็นที่รัก
ของดิฉันมาก.
ในกาลนั้น โดยที่ดิฉันไม่ปรารถนา สามี
ของดิฉันพร้อมด้วยบุตรทั้ง 10 คนพากันไปบวช
ในพระพุทธศาสนา
ดิฉันอยู่ผู้เดียวคิดว่า เราพลัดพรากจาก
สามีและบุตรเป็นกำพร้าอยู่ ไม่ควรจะเป็นอยู่
แม้เราก็จักไปในอารามที่ภิกษุผู้เคยเป็นสามีอยู่
ครั้นคิดอย่างนี้แล้ว จึงออกบวช.
ครั้งนั้น พวกภิกษุณีละดิฉันไว้ในสำนัก
ที่อยู่อาศัยแต่ผู้เดียว สั่งดิฉันว่า ท่านจงต้มน้ำ
ไว้แล้วพากันไป
เวลานั้น ดิฉันตักน้ำมาใส่ในหม้อเล็ก
ตั้งทิ้งไว้แล้วนั่งอยู่ แต่นั้นดิฉันก็เริ่มเพียรทางจิต

ได้พิจารณาเห็นขันธุ์ทั้งหลายโดยความเป็นของไม่
เที่ยง เป็นทุกข์ และเป็นอนัตตา ยังอาสวะ
ทั้งปวงให้สิ้นไปแล้ว ได้บรรลุอรหัตผล เมื่อพวก
ภิกษุณีกลับมาแล้วถามถึงน้ำร้อน ดิฉันอธิษฐาน
เตโชธาตุให้น้ำร้อนเร็วพลัน
ภิกษุณีเหล่านั้นพากันพิศวง ไปกราบทูล
พระพิชิตมารผู้ประเสริฐ ให้ทรงทราบเรื่องนั้น
พระโลกนาถทรงสดับเรื่องนั้นแล้ว ทรง
ชื่นชม ได้ตรัสพระคาถานี้ว่า แท้จริง บุคคลผู้
ปรารภความเพียรนั่น มีชีวิตเป็นอยู่เพียงวันเดียว
ก็ประเสริฐ กว่าคนเกียจคร้านละความเพียรเป็นอยู่
ตั้ง 100 ปี
พระมหามุนีมหาวีรเจ้าอันดิฉันให้โปรด
แล้วเพราะความปฏิบัติดีตรัสว่า ดิฉันเป็นผู้เลิศ
กว่าภิกษุณีทั้งหลายฝ่ายปรารภความเพียร
ดิฉันเผากิเลสทั้งหลายแล้ว ... คำสอน
ของพระพุทธเจ้าดิฉันได้ทำเสร็จแล้ว.

ทราบว่า ท่านพระโสณาภิกษุณีได้กล่าวคาถาเหล่านั้น ด้วยประการ
ฉะนี้แล.
จบโสณาเถรีอปทาน

ภัททกาปิลานีเถรีอปทานที่ 7 [27]


ว่าด้วยบุพจริยาของพระภัททกาปิลานีเถรี


[167] ในกัปที่หนึ่งแสนแต่ภัทรกัปนี้
พระพิชิตมารผู้เป็นนายกของโลก พระนามว่า
ปทุมุตตระ ผู้ทรงรู้จบธรรมทั้งปวง เสด็จอุบัติ
ขึ้นแล้ว ครั้งนั้น ดิฉันเป็นภรรยาของเศรษฐีมี
ชื่อว่าวิเทหะ มีรัตนะมาก ในเมืองหังสวดี
บางครั้ง เศรษฐีนั้นพร้อมกับนรชนที่เป็น
บริวาร เข้าไปเฝ้าพระพุทธเจ้าซึ่งเป็นดังดวง
อาทิตย์แห่งนรชน ได้ฟังธรรมของพระองค์อัน
เป็นเหตุนำมาซึ่งความสิ้นทุกข์ทั้งปวง
พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้นายก ทรงประกาศ
พระสาวกองค์หนึ่งว่า เป็นผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลาย
ฝ่ายกล่าวคุณแห่งธุดงค์
เศรษฐีผู้เป็นสามีแห่งดิฉันได้ฟังแล้ว
ได้ถวายทานแด่พระพุทธเจ้าผู้คงที่ตลอด 7 วัน
แล้วซบเศียรลงแทบพระบาท ปรารถนาตำแหน่ง
นั้น ก็ในกาลนั้นพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐกว่านรชน
เมื่อจะทรงให้บริษัทรื่นเริง