เมนู

ทุกวันนี้ดิฉันมีใจบริสุทธิ์ ปราศจากใจ
ที่ชั่วช้า มีอาสวะสิ้นไปทั้งหมด บัดนี้ภพใหม่
ไม่มีอีก
ดิฉันเผากิเลสทั้งหลายแล้ว . . . คำสอน
ของพระพุทธเจ้าดิฉันได้ทำเสร็จแล้ว.

ทราบว่า ท่านพระนฬมาลิกาภิกษุณีได้กล่าวคาถาเหล่านี้ด้วยประการ
ฉะนี้แล.
จบนฬมาลิกาเถรีอปทาน

มหาปชาบดีโคตมีเถรีอปทานที่ 7 (17)



บุพจริยาของพระมหาปาชาบดีโคตมีเถรี



[157] ในกาลครั้งหนึ่ง พระผู้มีพระ-
ภาคเจ้า ผู้เป็นประทีปแก้วส่องโลกให้สว่างไสว
เป็นนายสารภีฝึกนรชน ประทับอยู่ ณ กูฏาคาร
ศาลาป่ามหาวันใกล้พระนครเวสาลี
ครั้งนั้น พระมาโคตมีภิกษุณี พระมหา-
ตุจฉาของพระพิชิตมาร อยู่ในสำนักนางภิกษุณี
ในพระนครอันรื่นรมย์นั้น พร้อมด้วยพระภิกษุณี
500 องค์ ซึ่งล้วนแต่พ้นจากกิเลสแล้ว เมื่อ
พระมหาปชาบดีโคตมีนั้นอยู่ในที่สงัด ตรึกนึกคิด
อย่างนี้ว่า
การปรินิพพานของพระพุทธเจ้าก็ดี ของ
คู่พระอัครสาวกก็ดี ของพระราหุล พระอานนท์
และพระนันทะก็ดี เราไม่ได้เห็น


เราอันพระโลกนาถผู้แสวงหาคุณอันใหญ่
ทรงอนุญาตแล้ว พึงปลงอายุสังขารแล้วนิพพาน
ก่อนเถิด พระภิกษุณีทั้ง 500 องค์ ก็ได้ตรึก
อย่างนั้นเหมือนกัน แม้พระเขมาภิกษุณีเป็นต้น
ก็ได้ตรึกเช่นนี้เหมือนกัน
ครั้งนั้น เกิดแผ่นดินไหว กลองทิพย์
ดังขึ้นเองทวยเทพที่สิงอยู่ในสำนักของนางภิกษุณี
ถูกความโศกบีบคั้น บ่นเพ้ออยู่อย่างน่าสงสาร
หลั่งน้ำตาแล้วในที่นั้น พระภิกษุณีทุก ๆ องค์
พร้อมด้วยทวยเทพเหล่านั้น เข้าไปหาพระมหา -
โคตมีภิกษุณี ซบศีรษะแทบเท้าแล้วกล่าวว่า
ข้าแต่พระแม่เจ้า เพราะเรามีปกติอยู่ด้วยการ
เทียบเคียงในกรรมเหล่านั้น เราได้อยู่ในที่สงัด
พื้นภูมิภาคหวั่นไหวจลาจล กลองทิพย์
ดังขึ้นเอง และเราได้ยินเสียงคร่ำครวญ ข้าแต่
พระโคตมี จะต้องมีเหตุอะไรเกิดขึ้นแน่
ครั้งนั้น พระมหาโคตมีภิกษุณีได้บอก
ถึงเหตุตามที่ตนได้ตรึกแล้วทุกประการ ลำดับ
นั้น พระภิกษุณีทุก ๆ องค์ ก็ได้บอกถึงเหตุที่
ตนตรึกตรองแล้ว กล่าวว่า
ข้าแต่พระแม่เจ้า ถ้าพระแม่เจ้าชอบใจ
การปรินิพพานอันเกษมอย่างยิ่งไซร้ ถึงดิฉัน
ทั้งหลายก็จักนิพพานทั้งหมด ในกาลก่อนที่

พระพุทธเจ้าจะทรงพระอนุญาต ดิฉันทั้งหลายได้
ออกจากเรือนพร้อมด้วยพระแม่เจ้า เมื่อดิฉัน
ทั้งหลายออกจากภพนี้ไปสู่บุรีคือนิพพานอันอุดม
ดิฉันทั้งหลาย ก็จักไปพร้อมกับพระแม่เจ้า
เหมือนกัน.
พระมหาปชาบดีโคตมีได้กล่าวว่า
เมื่อท่านทั้งหลายจะไปสู่นครคือนิพพาน
ดิฉันจักว่าอะไรได้เล่า แล้วได้ออกจากสำนักนาง
ภิกษุณีไปพร้อมกับพระภิกษุณีทั้งหมดในครั้งนั้น
พระปชาบดีโคตมีภิกษุได้กล่าวกะทวย-
เทพทั้งหลายที่สิง อยู่ ณ สำนักนางภิกษุณีว่า จง
อดโทษแก่ดิฉันเถิด การเห็นสำนักนางภิกษุณี
ของดิฉันนี้ เป็นการเห็นครั้งสุดท้าย
ในที่ใดไม่มีความแก่หรือความตาย ไม่มี
การสมาคมด้วยสัตว์และสังขารอันไม่เป็นที่รัก
ไม่มีการพลัดพรากจากสัตว์และสังขารอันไม่เป็นที่รัก
ที่นั้น นักปราชญ์กล่าวว่าเป็นอสังขตสถาน
พระโอรสของพระสุคตเจ้าทั้งหลายที่ยัง
ไม่ปราศจากราคะ ได้สดับคำของพระนางนั้น
เป็นผู้โศกกำศรดปริเทวนาการว่า
น่าสังเวชหนอพวกเราเป็นคนมีบุญน้อย
สำนักพระภิกษุณีนี้จะว่างเปล่า เพราะเว้นพระ-
ภิกษุณีเหล่านั้น พระภิกษุณีผู้ชิโนรส จะไม่

ปรากฏ เปรียบเหมือนดวงดาวทั้งหลายไม่ปรากฏ
ในเวลาที่สว่างฉะนั้น
พระนางโคตมีภิกษุณีจะไปสู่นิพพาน
พร้อมกับพระภิกษุณีอีก 500 องค์ เหมือนกับ
แม่น้ำคงคาไหลไปสู่สาครพร้อมกับแม่น้ำ 500
สาย ฉะนั้น
อุบาสิกาทั้งหลายผู้มีศรัทธา เห็นพระ-
โคตมีภิกษุณีนั้นกำลังเดินไปตามถนน ได้พากัน
ออกจากเรือนไปหมอบลงแทบเท้าแล้วกล่าวว่า
ดิฉันทั้งหลายเลื่อมใสในพระแม่เจ้า
พระแม่เจ้าจะละทิ้งดิฉันทั้งหลาย ไว้ให้เป็นคน
อนาถาเสียแล้ว พระแม่เจ้ายังไม่ควรที่จะปริ-
นิพพานก่อน
ควรที่จะสงสารด้วยอุบาสิกาเหล่านั้นพา
กันปริเทวนาการ เพื่อจะให้อุบาสิกาเหล่านั้นละ
เสียซึ่งความโศก พระนางจึงได้กล่าวอย่างเพราะ
พริ้งว่า อย่าร้องไห้ไปเลยลูกทั้งหลาย วันนี้เป็น
เวลารื่นเริงของท่านทั้งหลาย
ความทุกข์ ดิฉันกำหนดรู้แล้ว ตัณหา
อันเป็นเหตุแห่งควานทุกข์ดิฉันเว้นขาดแล้ว
ความดับทุกข์ ดิฉันได้ทำให้แจ้งแล้ว อนึ่ง
แม้ถึงมรรค ดิฉันก็ได้อบรมดีแล้ว.
จบภาณวารที่ 1

พระศาสดาดิฉันได้บำรุงแล้ว คำสอน
ของพระพุทธเจ้าดิฉันได้ทำเสร็จแล้ว ภาระอัน
หนักดิฉันได้ปลงลงแล้ว ตัณหาอันนำไปสู่ภพ
ดิฉันได้ถอนเสียแล้ว
ดิฉันออกบวชเป็นบรรพชิตเพื่อประโยชน์
ใด ประโยชน์นั้นดิฉันบรรลุแล้วโดยลำดับ สัง-
โยชน์ทุกอย่างหมดไปแล้ว
พระพุทธเจ้าและพระสัทธรรม ของ
พระองค์ มิได้บกพร่อง ยังดำรงอยู่ตราบใด
ตราบนั้นเป็นกาลที่ดิฉันจะนิพพาน ลูกทั้งหลาย
อย่าได้เศร้าโศกถึงดิฉันเลย
พระโกณฑัญญะ พระอานนท์และ
พระนันทะเป็นต้น กับทั้งพระราหุลพุทธชิโนรส
ยังมีชนมีชีพอยู่ ขอพระสงฆ์จงเป็นผู้มีความ
สุขสำราญ ขอให้เดียรถีย์จงเป็นผู้มีความโง่เขลา
อันกำจัดเสียได้เถิด
ยศ คือ การย่ำยีมารอันวงศ์แห่งพระเจ้า
โอกกากราชยกขึ้นแล้ว ลูกทั้งหลาย บัดนี้ถึง
เวลาที่ดิฉันจะนิพพานมิใช่หรือ ความปรารถนา
ที่ดิฉันได้ตั้งไว้แต่ต้นมานานนักหนา จะสำเร็จ
แก่ดิฉันในวันนี้
เวลานี้เป็นเวลาที่จะบันลือกลองนันทเภรี
ลูกทั้งหลาย น้ำตาจะมีประโยชน์อะไรแก่ท่าน
ทั้งหลายเล่า

ถ้าท่านทั้งหลายจะมีความเอ็นดูหรือมี
ความกตัญญูในดิฉัน ขอให้ท่านทุกคนจงทำ
ความเพียรมั่นเพื่อความดำรงอยู่แห่งพระสัทธรรม
เถิด
พระสัมพุทธเจ้าอันดิฉันทูลอ้อนวอน
จึงได้ประทานบรรพชาแก่สตรีทั้งหลาย เพราะ
ฉะนั้น ดิฉันยินดีฉันใด ท่านทั้งหลายก็จง
เจริญรอยตามซึ่งความยินดีนั้น ฉันนั้นเถิด
ครั้น พระนางพร่ำสอนอุบาสิกาเหล่านั้น
อย่างนี้แล้ว ห้อมล้อมด้วยภิกษุณีทั้งหลาย เข้า
ไปเฝ้าพระพุทธเจ้า ถวายบังคมแล้วได้กราบทูล
ดังนี้ว่า
ข้าแต่พระสุคตเจ้า หม่อมฉันเป็นมารดา
ของพระองค์ ข้าแต่พระธีรเจ้า พระองค์เป็น
พระบิดาของหม่อมฉัน ข้าแต่พระโลกนาถ
พระองค์เป็นผู้ประทานความสุขอันเกิดจากพระ-
สัทธรรมให้หม่อมฉัน ข้าแต่พระโคดม หม่อมฉัน
เป็นผู้อันพระองค์ให้เกิด
ข้าแต่พระสุคตเจ้า รูปกายของพระองค์
นี้ อันหม่อมฉันทำให้เจริญเติบโต ธรรมกายอัน
น่าเพลิดเพลินของหม่อมฉัน อันพระองค์ทำให้
เจริญเติบโตแล้ว

หม่อมฉันให้พระองค์ดูดดื่มน้ำนมอัน
ระงับเสียได้ซึ่งความอยากชั่วครู่ แม้น้ำนม คือ
พระสัทธรรมอันสงบระงับล่วงส่วน พระองค์
ให้หม่อมฉันดูดดื่มแล้ว.
ข้าแต่พระมหามุนี ในการผูกมัดและ
รักษา พระองค์ชื่อว่ามิได้เป็นหนี้หม่อมฉัน
หม่อมฉันได้ฟังมาว่าสตรีทั้งหลายผู้ปรารถนาบุตร
บวงสรวงอยู่ก็ย่อมจะได้บุตรเช่นนั้น
สตรีที่เป็นพระมารดาของพระนราธิบดีมี
พระเจ้ามันธาตุเป็นต้น ชื่อว่าเป็นมารดาผู้ยังบุตร
ให้จมอยู่ในห้วงมหรรณพคือภพ
ข้าแต่พระโอรส หม่อมฉันผู้จมดิ่งอยู่
ในห้วงมหรรณพคือภพ อันพระองค์ให้ข้ามไป
จากสาครคือภพแล้ว พระนามว่าพระมเหสีพันปี
หลวง สตรีทั้งหลายได้ง่าย พระนามว่า พระ-
พุทธมารดา นี้ สตรีทั้งหลายได้ยากอย่างยิ่ง.
ข้าแต่พระมหาวีรเจ้า ก็พระนามว่า
พระพุทธมารดานั้น หม่อมฉันได้แล้ว ความ
ปรารถนาน้อยใหญ่ของหม่อมฉันทั้งปวงนั้น
หม่อมฉันได้บำเพ็ญแล้วกับพระองค์
หม่อมฉันปรารถนาเพื่อจะทิ้งร่างนี้
นิพพาน ข้าแต่พระวีรเจ้าผู้ทำที่สุดทุกข์เป็นผู้นำ
ขอพระองค์จงทรงอนุญาตให้หม่อมฉันเถิด ขอ

ได้ทรงโปรดเหยียบออกซึ่งพระยุคลบาทอันเกลื่อน
กล่นไปด้วยลายจักรและธง อันละเอียดอ่อน
เหมือนกับดอกบัว หม่อมฉันจะถวายบังคม
พระยุคลบาทนั้น จะขอทำความรักในบุตร
ข้าแต่พระองค์ผู้นายก หม่อมฉันกระทำ
สรีระซึ่งเปรียบด้วยลองกองให้ปรากฏเป็นข้าวสุก
ได้เห็นพระสรีระของพระองค์แล้ว จึงจะขอไป
นิพพาน พระพิชิตมารได้ทรงแสดงพระกาย
อันประกอบด้วยมหาปุริสลักษณะ 32 ประการ
ประดับด้วยพระรัศมีอันงาม อันเป็นเหมือนดวง
ตาของคนพาลเพราะมีค่ามาก กะพระมาตุจฉา
ลำดับนั้น พระนางมหาปชาบดีโคตมีเถรี
ได้ซบพระเศียรลงแทบพื้นพระบาทอันเป็นลายจักร
คล้ายกับดอกบัวบานมีพระรัศมีปานดังพระอาทิตย์
แรกทอแสง แล้วพระนางได้กราบทูลว่า หม่อม
ฉันขอน้อมมนัสการพระนราธิป ผู้เป็นธงของ
องค์พระอาทิตย์ ขอพระองค์ทรงโปรดเป็นที่พึ่ง
ของหม่อมฉันในกาลสุดท้ายเถิด หม่อมฉันจะ
ไม่ได้เห็นพระองค์อีก
ข้าแต่พระองค์ผู้เลิศของโลก ธรรมดา
สตรีทั้งหลายรู้กันว่ามีแต่จะก่อโทษทุกประการ
ถ้าโทษอย่างใดอย่างหนึ่งของหม่อมฉันมีอยู่ ก็ขอ
พระองค์ได้โปรดกรุณาอดโทษแก่หม่อมฉันเถิด

อนึ่ง หม่อมฉันได้ทูลขอบ่อย ๆ ให้
สตรีทั้งหลายได้บวช ข้าแต่พระนราสภ ถ้าโทษ
ในข้อนั้นจะมีแก่หม่อมฉัน ขอได้ทรงโปรดอด
โทษนั้นเถิด.
ข้าแต่พระวีรเจ้าทรงไว้ซึ่งการอดโทษ
ภิกษุทั้งหลายอันหม่อมฉันสั่งสอนแล้ว ตามที่
พระองค์ทรงอนุญาต ถ้าในข้อนั้นจะมีการ
แนะนำได้ยาก ขอได้โปรดทรงอดโทษข้อนั้นเถิด
พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสว่า ดูก่อน
นางโคตมีผู้ประดับไปด้วยคุณ โทษที่ท่านจะให้
อดโทษพึงมีอะไร เมื่อท่านบอกว่าจะลานิพพาน
ตถาคตจักไปว่ากระไรให้มากไปเล่า.
เมื่อภิกษุสงฆ์ของตถาคตบริสุทธิ์ไม่บก-
พร่อง ท่านจะออกไปเสียจากโลกนี้ได้ก็ควร
เพราะเนื้อหมดแสงดาวในเวลารุ่งแล้ว รอบใน
พระจันทร์ย่อมจะมองไม่เห็น ฉะนั้น
พระภิกษุณีทั้งหลาย นอกจากพระมหา-
ปชาบดีโคตมีเถรีพากันทำประทักษิณพระพิชิตมาร
ผู้เลิศ เหมือนหมู่ดาวที่ติดตามพระจันทร์ ทำ
ประทักษิณภูเขาสิเนรุ ฉะนั้น หมอบลงแทบ
พระบาทแล้ว ยืนจ้องดูพระพักตร์ของพระพุทธ-
เจ้า กราบทูลว่า

จักษุของหม่อมฉันทั้งหลาย ไม่เคยอิ่ม
ด้วยการเห็นพระองค์ โสตของหม่อมฉันทั้งหลาย
ไม่เคยอิ่มด้วยพระภาษิตของพระองค์ จิตของ
หม่อมฉันทั้งหลายดวงเดียวแท้ ๆ ก็ไม่อิ่มด้วยรส
แห่งธรรมของพระองค์.
ผู้บันลืออยู่ในบริษัท กำจัดเสียซึ่งทิฏฐิ
และมานะชนเหล่าใดเห็นพระพักตร์ของพระองค์
ชนเหล่าใดประณตน้อมพระยุคลบาทของพระองค์
ข้าแต่พระองค์ผู้ถึงที่สุดสงความ ชน
เหล่าใดประณตน้อมพระยุคลบาทของพระองค์
ซึ่งมีพระองคุลียาว มีพระนขาแดงงดงาม มีส้น
พระบาทยาว ถึงชนเหล่านั้น ก็ชื่อว่าเป็นผู้มีโชคดี
ข้าแต่พระนโรดม ชนเหล่าใดได้สดับ
พระดำรัสของพระองค์อันไพเราะน่าปลื้มใจ เผา
เสียซึ่งโทษ เป็นประโยคเกื้อกูล ชนเหล่านี้
ก็ชื่อว่าเป็นผู้มีโชคดี
ข้าแต่พระมหาวีรเจ้า หม่อมฉันทั้งหลาย
อิ่มไปด้วยการบูชาพระบาทของพระองค์ ข้ามพ้น
ทางกันดารคือสงสารได้ ด้วยพระสุนทรกถาของ
พระองค์ผู้ทรงสิริ ฉะนั้นหม่อมฉันทั้งหลายจึง
ชื่อว่าเป็นผู้มีโชคดี.
ลำดับนั้น พระมหาปชาบดีโคตมีเถรีผู้
มีวัตรอันงาม ประกาศในหมู่พระภิกษุสงฆ์แล้ว

ไหว้พระรากล พระอานนท์ และพระนันทะ
แล้วได้ตรัสดังนี้ว่า ดิฉันเบื่อหน่ายในร่างกายซึ่ง
เสมอด้วยที่อยู่ของอสรพิษ เป็นที่พักของโรค
เป็นสถานที่เกิดทุกข์ มีชราและมรณะเป็นโคจร
อาเกียรณ์ไปด้วยมลทิน คือ ซากศพ
ต่าง ๆ ต้องพึ่งพาผู้อื่น ปราศจากเรี่ยวแรง
ฉะนั้น ดิฉันจึงปรารถนาจะนิพพานเสีย ขอลูก
ทั้งหลายจงยอมอนุญาตให้เถิด.
พระนันทเถรเจ้าและพระราหุลผู้เจริญ
เป็นผู้ปราศจากความโศก ไม่มีอาสวะ ตั้งมั่น
ไม่หวั่นไหว มีปัญญา มีความเพียร ได้คิดตาม
ธรรมดาว่า
น่าติโลกที่ปัจจัยปรุงแต่งปราศจากแก่น-
สาร เปรียบด้วยต้นกล้วย เช่นเดียวกับกลลวง
และพยับแดด ต่ำช้า ไม่มั่นคง
พระโคตมีเถรี พระมาตุจฉาของพระ-
พิชิตมาร ซึ่งได้เลี้ยงดูพระพุทธเจ้าก็ยังต้องถึงแก่
กรรม สังขตธรรมทั้งปวงไม่เที่ยง
ก็ครั้งนั้น พระอานนท์พุทธอนุชา ซึ่ง
เป็นคนสนิทของพระพิชิตมาร ยังเป็นพระเสข-
บุคคลอยู่ ท่านหลั่งน้ำตาร้องไห้คร่ำครวญอย่าง
น่าสงสาร ณ ที่นั้นว่า

พระโคตมีเถรีเจ้าตรัสอยู่หลัด ๆ ก็จะ
เสด็จไปนิพพานเลย อีกไม่นานเลยแม้พระพุทธ-
เจ้าก็คงจะเสด็จไปนิพพานแน่นอน เปรียบเหมือน
ไฟที่หมดเชื้อแล้ว ฉะนั้น
พระโคตมีเถรีเจ้าได้ตรัสกะท่านพระ-
อานนท์ผู้ชำนาญพระปริยัติ ปานดังสาครอันลึก
ล้ำ เอาใจใส่ในการอุปัฏฐากพระพุทธเจ้า ซึ่ง
พร่ำรำพันอยู่ดังกล่าวมาว่า
ลูกเอ๋ย เมื่อกาลเป็นที่ร่าเริงปรากฏขึ้น
แล้ว พ่อไม่ควรที่จะเศร้าโศกถึงการตายของดิฉัน
ที่สุดแห่งการนิพพานของดิฉันใกล้เข้ามาแล้ว
พ่อเอย พระศาสดา พ่อได้ทูลให้ทรงยิน-
ยอม จึงได้ทรงอนุญาตให้เราบวช ลูกเอ๋ย พ่อ
อย่าเสียใจไปเลย ความพยายามของพ่อมีผล
ก็บทใด ที่ติตถิกาจารย์ทั้งหลายผู้เก่าแก่
ไม่เห็น บทนั้นอันเด็กหญิงซึ่งมีอายุ 7 ขวบรู้แจ้ง
ประจักษ์แล้ว
พ่อจงรักษาพระพุทธศาสนาไว้ การที่
ดิฉันได้เห็นพ่อครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้าย บุคคลไป
ในทิศใดแล้วไม่ปรากฏ ดิฉันก็จะขอลาไปในทิศ
นั้นนะลูก.

ในกาลบางคราวพระ นายกเจ้าผู้เลิศโลก
กำลังทรงแสดงธรรมอยู่ พระองค์ทรงถามแล้ว
ครั้งนั้น ดิฉันเกิดความสงสารกล่าววาจาถวาย
พระพรว่า
ข้าแต่พระมหาวีรเจ้า ขอพระองค์จงมี
พระชนชีพอยู่นาน ๆ ข้าแต่พระมหามุนี ขอ
พระองค์ จงดำรงพระชนม์อยู่ตลอดกัป เพื่อความ
เกื้อกูลและประโยชน์แก่โลกทั้งปวงเถิด ขออย่า
ให้พระองค์ทรงพระชราและปรินิพพานเสียเลย.
พระพุทธเจ้า พระองค์ได้ตรัสกะดิฉัน
กราบทูลเช่นนั้นว่า ดูก่อนพระนางโคตมี พระ-
พุทธเจ้าทั้งหลายเป็นผู้อันบุคคลชมเชย เหมือน
อย่างที่ท่านชมเชยอยู่มิได้ ดิฉันได้ทูลถามว่าก็แล
ด้วยประการเป็นดังฤา พระตถาคตผู้สัพพัญญูจึง
ชื่อว่าอันบุคคลพึงชมเชยด้วยประการเป็นดังฤา.
พระพุทธเจ้าจึงชื่อว่าอันบุคคลไม่ชมเชย
พระองค์อันหม่อมฉันถามถึงเหตุนั้นแล้ว ขอได้
ตรัสบอกเหตุนั้นแก่หม่อมฉันเถิด.
พระองตรัสตอบว่า ท่านจงดูพระสาวก
ทั้งหลายผู้ปรารภความเพียร ตั้งใจแน่วแน่ มี
ความบากบั่นมั่นเป็นนิตย์ เป็นคนพร้อมเพรียงกัน
นี้เป็นการชมเชยพระพุทธเจ้าทั้งหลาย

ต่อแต่นั้น ดิฉันไปสู่สำนักนางภิกษุ
อยู่ผู้เดียว คิดเห็นแจ้งชัดว่า พระนาถะผู้ถึงที่สุด
แห่งไตรภพ ทรงพอพระทัยบริษัทที่สามัคคีกัน
เมื่อกระนั้น ดิฉันจะนิพพานเสีย ดิฉัน
อย่าได้พบความวิบัตินั้นเลย ครั้นดิฉันคิดดังนี้
แล้ว ได้ไปเฝ้าพระพุทธเจ้าผู้อุดมกว่าฤาษีทั้งปวง
แล้วได้กราบทูลกาลเป็นที่ปรินิพพานกะ
ผู้นำชั้นพิเศษ ลำดับนั้น พระองค์ได้ทรงอนุญาต
ให้ดิฉันดั่งนี้ว่า จงรู้กาลเอาเถิดพระนางโคตมี
ดิฉันเผากิเลสทั้งหลายแล้ว . . . คำสอน
ของพระพุทธเจ้า ดิฉันได้ทำเสร็จแล้ว.
พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสว่า ดูก่อน
พระโคตมี คนพาลเหล่าใด สงสัยในการตรัสรู้
ธรรมของสตรีทั้งหลาย ท่านจงแสดงอิทธิฤทธิ์
เพื่อละเสียซึ่งทิฏฐิของคนพาลเหล่านั้น
ครั้งนั้น พระโคตมีเถรีเจ้า ถวายบังคม
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว เหาะขึ้นสู่อัมพร แสดง
ฤทธิ์เป็นอันมากตามพระพุทธานุญาต
คือองค์เดียวเป็นหลายองค์ก็ได้ ทำให้
ปรากฏก็ได้ ทำให้หายไปก็ได้ ทะลุฝากำแพง
ภูเขาไปได้ไม่ติดขัดเหมือนไปในที่ว่างก็ได้ ผุด
ขึ้นดำลงแม้ในแผ่นดินเหมือนในน้ำก็ได้ เดินบน
น้ำไม่แตกเหมือนเดินบนแผ่นดินก็ได้

เหาะไปในอากาศเหมือนนกก็ได้ ใช้
อำนาจทางกายไปตลอดพรหม ก็ได้
ทำถูเขาสิเนรุให้เป็นท่อน ๆ พลิกมหา-
ปฐพีขึ้นพร้อมด้วยราก ทำให้เป็นตัวร่มกั้นต่าง
ร่มเดินจงกรมในอากาศ
ทำโลกให้รุ่งโรจน์ ประหนึ่งว่าเวลา
พระอาทิตย์อุทัยเหนือภูเขายุคันธร และทำโลก
นั้น ให้เป็นเหมือนพวงดอกไม้ตาข่าย
เอาพระหัตถ์ข้างหนึ่งกำภูเขามุจจลินท์
ภูเขาสิเนรุ ภูเขามันทาระ และภูเขาทัททระไว้
ทั้งหมด เหมือนดังกำเมล็ดพันธ์ผักกาด เอา
ปลายนิ้วมือบังพระอาทิตย์พร้อมทั้งพระจันทร์ไว้
ทัดทรงพระจันทร์พระอาทิตย์ไว้ตั้งพันดวง
เหมือนทัดทรงพวงมาลัย ฉะนั้น
ทรงน้ำในสาครทั้ง 4 ไว้ได้ด้วยฝ่า
พระหัตถ์ข้างหนึ่ง ยังฝนใหญ่ อันมีอาการปาน
ดังเมฆบนภูเขายุคันธรให้ตกลง
พระนางเจ้านั้นได้นิรมิตให้เป็นพระเจ้า-
จักรพรรดิ พร้อมด้วยบริษัทในนภาดลอากาศ
แสดงให้เป็นครุฑ คชสาร ราชสีห์ ต่างบันลือ
สีหนาทนฤโฆษอยู่

องค์เดียวนิรมิตให้เป็นคณะ พระภิกษุณี
นับไม่ถ้วน แล้วก็อันตรธานกลับเป็นองค์เดียว
กราบทูลพระมหามุนีเจ้าว่า
ข้าแต่พระมหาวีรเจ้าผู้มีพระจักษุ หม่อม
ฉันผู้เป็นพระมาตุจฉาของพระองค์ เป็นผู้ทำตาม
คำสอนของพระองค์ บรรลุประโยชน์ของตนโดย
ลำดับแล้ว ขอถวายบังคมพระยุคลบาทของ
พระองค์
พระนางเจ้านั้นครั้นแสดงฤทธิ์ต่าง ๆ
แล้ว ลงจากนภาดลอากาศ ถวายบังคมพระผู้
ส่องโลกแล้ว ประทับนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง
พระนางเจ้าได้กราบทูลว่า
ข้าแต่พระมหามุนีผู้นายกของโลก หม่อม
ฉันมีอายุได้ 120 ปี แต่กำเนิดแล้วเพียงเท่านี้ก็
พอแล้ว หม่อมฉันจักขอทูลลานิพพาน.
ครั้งนั้น บริษัททั้งหมดนั้นถึงความพิศวง
ยิ่งนัก จึงได้พากันประนมอัญชลีถามว่า ข้าแต่
พระแม่เจ้า พระแม่เจ้าได้ทำอะไรไว้ จึงมีฤทธิ์
อำนาจเช่นนี้.

พระมหาปชาบดีโคตมีเถรีเจ้า ได้กล่าวบุพจริยาของท่านดังต่อไปนี้
ในกัปที่แสนแต่กัปนี้ พระพิชิตมาร
พระนามว่าปทุมุตตระ ผู้มีจักษุในธรรมทั้งปวง
เป็นผู้นำได้เสด็จอุบัติขึ้นแล้ว

ครั้งนั้น ดิฉันเกิดในสกุลอำมาตย์ ซึ่ง
สมบูรณ์ด้วยเครื่องอุปการะทุกสิ่ง เจริญ รุ่งเรือง
ร่ำรวย ในพระนครหังสวดี
บางครั้ง ดิฉันพร้อมด้วยบิดา อันหมู่
ทาสห้อมล้อม เข้าไปเฝ้าพระนราสภพระองค์นั้น
พร้อมด้วยบริวารเป็นอันมาก ได้เห็นพระพิชิต
มารผู้ปานดังท้าววาสวะ ยังฝนคือธรรมให้ตกอยู่
เป็นผู้ไม่มีอาสวะ เกลื่อนไปด้วยระเบียบแห่งรัศมี
เป็นกับพระอาทิตย์ในสรกาล แล้วยังจิตให้
เลื่อมใส และสดับสุภาษิตของพระองค์ ได้สดับ
พระผู้นำนรชนทรงตั้งพระภิกษุณีผู้เป็นพระมาตุจ-
ฉาไว้ในตำแหน่งอันเลิศ จงถวายมหาทานและ
ปัจจัยเป็นอันมาก แต่พระผู้เลิศกว่านรชน ผู้คง
ที่พระองค์นั้น พร้อมทั้งพระสงฆ์ 7 วัน แล้ว
ได้หมอบลงแทบพระบาท มุ่งปรารถนาตำแหน่ง
นั้น.
ลำดับนั้น พระพิชิตมารผู้อุดมกว่าฤาษี
ได้ตรัสในบริษัทใหญ่ว่า สตรีใดได้นิมนต์พระผู้
นำโลกพร้อมด้วยสงฆ์ให้ฉันตลอด 7 วัน เราจัก
พยากรณ์สตรีนั้น ท่านทั้งหลายจงฟังเรากล่าว
ในกัปที่แสนแต่กัปนี้ พระศาสดาพระ-
นามว่าโคดม ซึ่งทรงสมภพในวงศ์พระเจ้า
โอกกากราช จักเสด็จอุบัติขึ้นในโลก

สตรีผู้มีจิตได้เป็นธรรมทายาทของพระ-
ศาสดา พระองค์นั้น จักเป็นโอรสอันธรรมนิรมิต
จักได้เป็นพระสาวิกาของพระศาสดา มีนามว่า
โคตมี
จักได้เป็นพระมาตุจฉาบำรุงเลี้ยงชีวิต
ของพระพุทธเจ้าพระองค์นั้น จักได้ความเป็นผู้
เลิศกว่าภิกษุณีทั้งหลายฝ่ายผู้รู้ราตรีนาน.
ครั้งนั้น ดิฉันได้สดับพระพุทธพยากรณ์
นั้นแล้ว มีใจปราโมทย์ บำรุงพระพิชิตมารด้วย
ปัจจัยทั้งหลายตราบเท่าสิ้นชีวิต ต่อจากนั้นดิฉัน
ได้ทำกาลกิริยา
ดิฉันเกิดในพวกเทพเหล่าดาวดึงส์ผู้ซึ่ง
ให้สำเร็จกามอารมณ์ได้ทุกประการ ครอบงำ
ทวยเทพอื่น ๆ เสียด้วยองค์ 10 ประการ
คือ ด้วยรูป เสียง กลิ่น รส ผัสสะ
อายุ วรรณะ สุข ยศ และรุ่งเรื่องครอบงำ
ทวยเทพอื่น ๆ ด้วยความเป็นใหญ่ ดิฉันได้เป็น
พระมเหสีผู้น่ารักของท้าวอมรินทร์ในสวรรค์ชั้น
ดาวดึงส์นั้น.
เมื่อดิฉันยังท่องเที่ยวอยู่ในสงสาร เป็น
หวั่นไหวเพราะพายุ คือกรรม จึงเกิดในบ้าน
ของทาส ในอาณาเขตของพระเจ้ากาสี

ครั้งนั้น ทาส 500 คนอาศัยอยู่ในบ้าน
นั้น ดิฉันได้เป็นภรรยาของหัวหน้าทาสในบ้าน
นั้น
พระปัจเจกพุทธเจ้า 500 องค์ ได้เข้าไป
สู่บ้านเพื่อบิณฑบาต ดิฉันกับญาติทุกคน เห็น
พระปัจเจกพุทธเจ้าเหล่านั้นมีความยินดี เรา
พร้อมด้วยสามีมีจิตเลื่อมใส สร้างกุฎี 500 หลัง
อุปัฏฐากพระปัจเจกพุทธเจ้าเหล่านั้นตลอดสี่เดือน
แล้วถวายไตรจีวร
ต่อจากนั้น เราพร้อมกับสามีก็ได้ไป
สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ก็ในภพสุดท้ายในบัดนี้ดิฉัน
เกิดในพระนครเทวทหะ พระชนกของดิฉัน
พระนามว่าอัญชนศากยะ พระชนนีของดิฉัน
พระนามว่าสุลักขณา ต่อมาดิฉันได้ไปสู่พระราช-
วังของพระเจ้าสุทโธทนะ ในพระนครกบิลพัสดุ์
สตรีทุกคนเกิดในสกุลศากยะแล้ว ไปสู่เรือนของ
พวกเจ้าศากยะ ก็ดิฉันประเสริฐกว่าสตรีทุกคน
ได้เป็นคนบำรุงเลี้ยงพระพิชิตมาร
พระโอรสของดิฉันพระองค์นั้นเสด็จออก
มหาภิเนษกรมณ์แล้ว ได้เป็นพระพุทธเจ้าผู้นำชั้น
พิเศษ ภายหลังดิฉันพร้อมด้วยนางศากิยานี 500
จึงได้บวช

แล้วก็ได้ประสพสันติสุข พร้อมด้วยนาง
ศากิยานีผู้มีความเพียร สามีของเราที่ได้ทำบุญ
ร่วมกันมาแต่ชาติก่อนในครั้งนั้นเป็นผู้ทำมหาสมัย
อันพระสุคตเจ้าทรงอนุเคราะห์แล้ว ได้บรรลุ
อรหัต.
พระภิกษุณีทั้งหลาย นอกจากพระมหา-
ปชาบดีเถรีเจ้านั้น ได้พากันเหาะขึ้นสู่นภาดล
อากาศ เป็นผู้ประกอบด้วยมหิทธิฤทธิ์ที่รุ่งโรจน์
เหมือนดวงดาวทั้งหลาย อันโคจรเป็นกลุ่มกันไป
ฉะนั้น
พระภิกษุณีเหล่านั้น เป็นผู้ศึกษาแล้วใน
บุญกรรม จึงได้แสดงฤทธิ์มิใช่น้อยเหมือนนาย
ช่างทองที่ได้รับการศึกษาแล้วแสดงเครื่องประดับ
ที่ทำด้วยทองชนิดต่าง ๆ ฉะนั้น.
ในครั้งนั้น พระภิกษุณีเหล่านั้น แสดง
ปาฏิหาริย์มากมายหลายอย่าง ยังพระมุนีผู้ประ-
เสริฐกว่าพระอาทิตย์พร้อมทั้งบริษัทให้ชอบใจ
แล้วได้พากันลงจากนภาดลอากาศถวายบังคมพระ-
ศาสดาผู้สูงสุดกว่าฤาษี เมื่อพระศาสดาผู้เป็นยอด
ของนรชนทรงอนุญาตแล้ว จึงได้นั่ง ณ สถานที่
อันสมควร แล้วได้กราบทูลว่า

ข้าแต่พระวีรเจ้า โอหนอ พระโคตมี-
เถรีเจ้าเป็นผู้อนุเคราะห์หม่อมฉันทุก ๆ คน หม่อม
ฉันทุกคน พระนางได้อบรมด้วยบุญ จึงได้บรรลุ
ธรรมเป็นสิ้นอาสวะ
หม่อนฉันทั้งหลายเผากิเลสสิ้นแล้ว ถอน
ภพทั้งปวงขึ้นได้แล้ว ตัดกิเลสเครื่องผูกเหมือน
ช้างพังตัดเชือกแล้ว เป็นผู้ไม่มีอาสวะอยู่
การที่หม่อมฉันทั้งหลายมาในสำนักของ
พระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐสุด เป็นการมาดีแล้วหนอ
วิชชา 3 หม่อมฉันทั้งหลายบรรลุแล้ว
โดยลำดับ คำสอนของพระพุทธเจ้าหม่อมฉัน
ทั้งหลายได้ทำเสร็จแล้ว.
คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา 4
วิโมกข์ 8 และอภิญญา 6 หม่อมฉันทั้งหลาย
ทำให้แจ้งแล้ว คำสอนของพระพุทธเจ้าหม่อมฉัน
ทั้งหลายได้ทำเสร็จแล้ว.
ข้าแต่พระมหามุนี หม่อมฉันทั้งหลายมี
ความชำนิชำนาญในฤทธิ์และทิพโสดธาตุ หม่อม-
ฉันทั้งหลายมีความชำนิชำนาญในเจโตปริยญาณ
รู้ปุพเพนิวาสญาณ ชำระทิพยจักษุได้แล้ว มีอาสวะ
ทั้งหลายสิ้นไปแล้ว บัดนี้ภพใหม่ไม่มีอีก

ข้าแต่พระมหาวีรเจ้า หม่อนฉันทั้งหลาย
มีญาณในอรรถ ในธรรม ในนิรุตติ และใน
ปฏิภาณ ญาณนั้นเกิดสำนักของพระองค์
ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นพระนายกมหามุนี
พระองค์เป็นผู้อันหม่อมฉันทั้งหลายได้สั่งสมแล้ว
ได้ทรงโปรดมีจิตเมตตา อนุญาตให้หม่อมฉันทั้ง
ปวงนิพพานเถิดพระเจ้าข้า.
พระพิชิตมารได้ตรัสว่า เมื่อท่านทั้งหลาย
พูดอย่างนี้ว่า จักนิพพาน ฉันจักไปว่าอะไร ก็
บัดนี้ท่านทั้งหลายจงสำคัญกาลเวลาเอาเองเถิด.
ครั้งนั้น พระภิกษุณีเหล่านั้น มีพระ-
โคดมเถรีเจ้าเป็นต้น ถวายบังคมพระพิชิตมาร
แล้วได้พากันลุกจากที่นั่งนั้นไป พระธีรเจ้าผู้นำ
ชั้นเลิศของโลก พร้อมด้วยหมู่ชนเป็นอันมากได้
เสด็จไปส่งพระมาตุจฉาจนถึงซุ้มประตู ครั้งนั้น
พระโคตมีเถรีเจ้าพร้อมด้วยพระภิกษุณีทั้งหลาย
ทุก ๆ องค์ ได้พากันหมอบลงแทบพระยุคลบาท
ของพระศาสนาผู้เป็นพงศ์พันธุ์ของโลก กราบ
ทูลว่า นี้เป็นการถวายบังคมพระยุคลบาทครั้ง
สุดท้ายของหม่อมฉัน การได้เห็นพระองค์ผู้เป็น
นาถะของโลกครั้งนี้ ก็เป็นครั้งสุดท้าย หม่อมฉัน
จักษุได้เห็นพระพักตร์ของพระองค์ซึ่งมีอาการ

ปานน้ำอมฤต ข้าแต่พระวีรเจ้าผู้เลิศของโลก
หม่อมฉันจักไม่ได้ถวายบังคมพระยุคลบาทของ
พระองค์ซึ่งอ่อนละเอียดอีก วันนี้หม่อมฉันจะ
เข้านิพพาน.
พระศาสดาตรัสว่า
จะมีประโยชน์อะไรด้วยรูปนี้แก่ท่านใน
ปัจจุบัน รูปนี้ล้วนปัจจัยปรุงแต่ง ไม่น่ายินดี
เป็นของเลวทราม.
พระมหาปชาบดีเถรีเจ้า พร้อมด้วยพระ-
ภิกษุณีเหล่านั้น ไปสู่สำนักนางภิกษุณีของตน
แล้ว นั่งพับเพียบบนอาสนะอันประเสริฐ.
ครั้งนั้น อุบาสิกาทั้งหลายในพระนคร
นั้น เป็นความเคารพรักในพระพุทธศาสนา ได้
สดับประพฤติเหตุของพระนางเจ้า ต่างก็เข้าไปหา
นมัสการแทบบาทมูล เอากรค่อนอุระประเทศ
ร้องไห้พิไรร่ำคร่ำครวญควรจะกรุณา เต็มไปด้วย
ความโศกเศร้า ล้มลงที่พื้นพสุธา ดุจเถาวัลย์
รากขาดแล้วตกลง ฉะนั้น
พากันร้องไห้รำพันด้วยวาจาว่า ข้าแต่
พระแม่เจ้าผู้เป็นนาถะให้ที่พึ่งของดิฉันทั้งหลาย
พระแม่เจ้า อย่าได้ล่ะทิ้งดิฉันทั้งหลายไปเข้า
นิพพานเสียเลย ดิฉันทุกคนขอซบเศียรอ้อนวอน.

พระมหาปชาบดีเถรีเจ้า ลูบศีรษะของ
อุบาสิกาผู้มีศรัทธา มีปัญญาซึ่งเป็นหัวหน้าของ
อุบาสิกาเหล่านั้นอยู่ ได้กล่าวว่า
ลูกทั้งหลายเอ๋ย การพร่ำเพ้อซึ่งเป็นไป
ในบ่วงแห่งมารไม่ควรเลย สังเขตธรรมทั้งปวง
ล้วนไม่เที่ยง มีแต่จะพลัดพรากจากกัน หวั่นไหว
ต่อแต่นั้นพระนางก็สละอุบาสิกาเหล่า
นั้นเสีย เข้าปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน
และจตุตถฌาน แล้วเข้าอากาสานัญจายตนฌาน
วิญญาณัญจายตนฌาน อากิญจัญายตนฌาน
และเนวสัญญานาสัญญายตนฌาน ตามลำดับ
แล้วพระโคดมเถรีเจ้าก็เข้าฌานทั้งหลายโดยปฏิ-
โลม แล้วก็เข้าปฐมฌานไปตราบเท่าถึงจตุตถฌาน
ครั้นออกจากจตุตถฌานนั้นแล้วก็ดับไป เหมือน
เปลวประทีปที่หมดเชื้อดับไป ฉะนั้น.
ได้เกิดแผ่นดินไหวใหญ่ สายฟ้าก็ตกลง
จากนภากาศ กลองทิพยก็บันลือลั่นขึ้นเอง ทวย-
เทพพากันคร่ำครวญ และฝนดอกไม้ก็ตกจาก
อากาศลงยังพื้นแผ่นดิน
แม้ขุนเขาสุเมรุราชก็กัมปนาทหวั่นไหว
เหมือนคนเต้นรำในท่ามกลางที่เต้นรำ ฉะนั้น
สาครก็ปั่นป่วนตีฟองคะนองระลอกฉะฉาน

ทวยเทพ นาค อสูร และพรหมต่างก็
พากันสลดใจ กล่าวขึ้นในทันใดนั้นเองว่า สังขาร
ทั้งหลายไม่เที่ยงหนอ เหมือนอย่างพระมหาปชา-
บดีเถรีเจ้านี้ถึงความย่อยยับไปแล้วฉะนั้น
และพระเถรีทั้งหลายผู้ทำตามคำสอนของ
พระศาสดา ซึ่งแวดล้อมพระมหาปชาบดีเถรีเจ้านี้
พากันดับไปแล้ว เหมือนเปลวประทีปหมดเชื้อ
ดับไป ฉะนั้น โอ้ ความประจวบกันมีความ
พลัดพรากเป็นที่สุด โอ้ สิ่งที่ปัจจัยปรุงแต่งล้วน
แต่ไม่เที่ยง โอ้ ชีวิตมีความหายสูญเป็นที่สุด
ความปริเทวนา ได้มีแล้ว ด้วยประการฉะนี้.
ในลำดับนั้น เทวดาและพรหมต่างก็ทำ
ความประพฤติตามโลกธรรม ตามสมควรแก่กาล
แล้ว เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้สูงสุดกว่า
ฤาษี
ครั้งนั้น พระศาสดาได้ตรัสเรียกท่าน
พระอานนท์ผู้พหูสูตมาสั่งว่า อานนท์ ท่านจง
ไปประกาศให้ภิกษุทั้งหลายทราบถึงการนิพพาน
ของพระมารดา
เวลานั้น ท่านพระอานนท์เป็นผู้หมด
ความแช่มชื่น มีตานองไปด้วยน้ำตา ได้กล่าว
ด้วยเสียงอันน่าสงสารว่า ขอพระภิกษุทั้งหลาย
ผู้เป็นโอรสของพระสุคตเจ้าซึ่งอยู่ในทิศตะวันออก
ทิศใต้ ทิศตะวันตกและทิศเหนือจงมาประชุมกัน

พระภิกษุณีผู้ยังพระสรีระสุดท้ายของ
พระมุนีให้เจริญด้วยน้ำนม พระมารดาของกระผม
พระโคตมีภิกษุณีนั้นถึงความสงบ เหมือนดวงดาว
ในเมื่อพระอาทิตย์อุทัย ฉะนั้น พระนางผู้เป็นที่
รู้ทั่วกันว่า เป็นพระพุทธมารดา ครั้นดำรงอยู่แล้ว
ไปสู่ความเสมอกันแล้ว คือในทีใด ถึงคนมี 5 ตา
เห็นให้ได้ ในที่นั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าซึ่งเป็น
ผู้นำทรงเห็นได้
ขอพระโอรสของพระสุคตเจ้าผู้มีความ
เชื่อในพระสุคต หรือเป็นศิษย์ของพระมหามุนี
จงทำสักการะแด่พระพุทธมารดาเถิด.
ภิกษุทั้งหลายถึงอยู่ไกล ได้ฟังคำประ-
กาศนั้นแล้ว ก็มาได้เร็ว บางพวกมาด้วยพุทธ-
นุภาพ บางพวกที่ฉลาดในฤทธิ์ก็มาด้วยฤทธิ์ ต่าง
ช่วยกันยกเอาเตียงนอนที่พระโคตมีเถรีเจ้าหลับ
ขึ้นไว้ในเรือนยอดอันประเสริฐ น่ายินดี สำเร็จ
ด้วยทองคำล้วน ๆ งดงาม
ท้าวโลกบาลทั้งสี่เอาบ่าเข้ารองรับเรือน
ยอด ทวยเทพที่เหลือมีท้าวสักกะเป็นต้น เข้า
ช่วยรับเรือนยอด
เรือนยอดทั้งหมดมี 500 หลัง แท้จริง
เรือนยอดเหล่านั้น วิสสุกรรมเทพบุตรนิรมิต มี
สีเหมือนพระอาทิตย์ในสรทกาล.

ทวยเทพทั้งหลายได้แบกพระภิกษุ ทุก ๆ
องค์ที่นอนอยู่บนเตียงแล้ว นำเอาออกไปตาม
ลำดับ พื้นนภากาศถูกเอาเพดานบังไว้ทั่ว ดวง-
จันทร์ ดวงอาทิตย์ พร้อมทั้งดวงดาวซึ่งสำเร็จ
ด้วยทองได้ถูกติดเป็นตราไว้ที่เพดานนั้น
ธงปฏากได้ถูกยกขึ้นไว้เป็นอันมาก จิต-
กาธารทั้งหลายมีดอกไม้เป็นเครื่องปกคลุม ดอก
ไม้ที่เกิดในอากาศเอาปลายลง ดอกไม้ผุดขึ้นจาก
แผ่นดิน พระจันทร์และพระอาทิตย์ คนมองดู
เห็นได้ และดาวทั้งหลายส่องแสงระยับระยิบ.
อนึ่ง พระอาทิตย์ถึงจะโคจรไปในเวลา
เที่ยงก็เป็นเหมือนพระจันทร์ ไม่ทำใคร ๆ ให้
เร่าร่อน ทวยเทพทั้งหลายพากันบูชาด้วยของหอม
และดอกไม้ทิพย์อันน่ายินดี และด้วยการขับร้อง
ฟ้อนรำดีดสีตีเป่าอันเป็นทิพย์
พวกนาค อสูรและพรหม ต่างก็พากัน
บูชาพระพุทธมารดาผู้นิพพานแล้ว กำลังถูกเขา
นำเอาออกไป ตามสติกำลัง
พระภิกษุผู้เป็นโอรสของพระสุคตเจ้า
ซึ่งนิพพานแล้วทั้งหมดเชิญไปข้างหน้า พระ-
โคตมีเถรีพุทธมารดาผู้อันเทวดาและมนุษย์สักการะ
เชิญไปข้างหลัง

เทวดา มนุษย์ พร้อมด้วยนาค อสูรและ
พรหม ไปข้างหน้า ข้างหลังพระพุทธเจ้าพร้อม
ด้วยพระสาวกเสด็จไปเพื่อจะบูชาพระมารดา.
การปรินิพพานของพระพุทธเจ้า หาได้
เป็นเช่นนี้ไม่ การปรินิพพานของพระโคตมีเถรี
เจ้า อัศจรรย์ยิ่งนัก
ในเวลาพระพุทธเจ้าเสด็จนิพพาน ไม่มี
พระพุทธเจ้าและภิกษุทั้งหลาย มีพระสารีบุตร
เป็นต้น เหมือนในเวลาพระโคตมีเถรีเจ้านิพพาน
ซึ่งมีพระพุทธเจ้าและภิกษุทั้งหลายมีพระสารีบุตร
เป็นต้น
ชนทั้งหลายช่วยกันทำจิตกาธารซึ่งสำเร็จ
ด้วยของหอมล้วน และเกลื่อนไปด้วยจุรณแห่ง
เครื่องหอม แล้วเผาพระภิกษุเหล่านั้นบนจิต-
กาธารนั้น ส่วนที่เหลือนอกจากอัฐิถูกไฟไหม้สิ้น.
ก็ในเวลานั้นท่านพระอานนท์ได้กล่าว
วาจาอันให้เกิดความสังเวชว่า พระโคตมีเถรีเจ้า
เข้านิพพานแล้ว พระสรีระของพระนางก็ถูกเผา
แล้ว การนิพพานของพระพุทธเจ้าน่าสังเกต อีก
ไม่นานก็คงจักมี
ต่อจากนั้น ในพระอานนท์อันพระ-
พุทธเจ้าทรงตักเตือน ท่านได้น้อมพระธาตุของ
พระโคดมเถรีเจ้า ซึ่งอยู่ในบาตรของพระนางเข้า
มาถวายแด่พระโลกนาถ

พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้สูงสุดกว่าฤาษี ได้
ทรงประคองพระธาตุเหล่านั้นด้วยฝ่าพระหัตถ์แล้ว
ตรัสว่า เพราะสังขารเป็นสภาพไม่เที่ยง พระ-
โคตมีผู้เป็นใหญ่กว่าหมู่พระภิกษุณีจึงต้องนิพพาน
เช่นเดียวกับลำต้นของต้นไม้ใหญ่ ที่มีแก่นตั้งอยู่
ถึงจะใหญ่ก็ต้องพินาศ ฉะนั้น.
ดูเถอะอานนท์ เมื่อพระพุทธมารดาแม้
นิพพานแล้ว เพียงแต่สรีระก็ยังไม่เหลือ ไม่น่า
เศร้าโศกปริเทวนาการไปเลย
คนอื่น ๆ ไม่ควรเศร้าโศกถึงพระนางผู้
ข้ามสาครคือสังขารไปแล้ว ละเว้นเหตุอันทำให้
เดือดร้อนเสียได้ เป็นผู้เยือกเย็นดับสนิทดีแล้ว
พระนางเป็นบัณฑิต มีปัญญามาก และ
มีปัญญากว้างขวาง ทั้งเป็นผู้รู้ราตรีนานกว่า
ภิกษุณีทั้งหลาย
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จงรู้ไว้อย่างนี้เถิด
พระโคตมรเถรีเจ้า เป็นผู้ชำนาญในทิพโสต-
ธาตุ และมีความชำนาญในเจโตปริยญาณ รู้ทั่ว
ถึงปุพเพนิวาสญาณ ชำระทิพยจักษุให้หมดจด
อาสวะทั้งสิ้นของพระนางหมดสิ้นไปแล้ว บัดนี้
ภพใหม่ไม่มีอีก

พระนางมีญาณอันบริสุทธิ์ ในอรรถะ
ในธรรมะ ในนิรุติและในปฏิภาณ เพราะฉะนั้น
จึงไม่ควรจะเศร้าโศกถึงพระนาง
คติของไฟที่ลุกโพลง ถูกแผ่นเหล็กทับ
แล้วดับไปโดยลำดับ ใคร ๆ ก็รู้ไม่ได้ ฉันใด
บุคคลผู้ที่หลุดพ้นจากกิเลสด้วยดีแล้ว ข้ามพ้น
โอฆะคือกามพันธุ์ บรรลุอจลบทแล้ว ก็ฉันนั้น
ย่อมไม่มีคติที่ใคร ๆ จะรู้ได้
เพราะฉะนั้น ท่านทั้งหลายจงมีตนเป็น
ที่พึ่ง มีสติปัฏฐานเป็นโคจรเถิด ท่านทั้งหลาย
อบรมโพชฌงค์ 7 ประการแล้ว จักทำที่สุดแห่ง
ทุกข์ได้.

ทราบว่า ท่านพระมหาปชาบดีโคตมีภิกษุณีได้ตรัสคาถาเหล่านั้น ด้วย
การฉะนี้แล.
จบมหาปชาบดีโคตมีเถรีอปทาน

เขมาเถรีอปทานที่ 8 (18)



ว่าด้วยบุพจริยาของพระเขมาเถรี



[158] พระพุทธเจ้าพระนามว่าปทุมุต-
ตระมีพระญาณจักษุในสรรพธรรม เป็นพระโลก
นายกเสด็จอุบัติในที่แสนแต่กัปนี้