เมนู

อุปวาน1เถราปทานที่ 10 (561)



ว่าด้วยบุพจริยาของพระอุปวานเถระ



[150] พระชินเจ้า พระนามว่าปทุมุตตระ
ผู้ทรงถึงฝั่งแห่งธรรมทั้งปวง ผู้รุ่งโรจน์แล้ว
เสมือนกองเพลิงที่ลุกโพลงฉะนั้น พระสัมพุทธ-
เจ้าปรินิพพานแล้ว.
มหาชน มาประชุมกันแล้ว บูชา
พระตถาคต กระทำจิตกาธารให้ดีแล้ว ยก
พระสรีระขึ้นสู่จิตกาธารแล้ว.
กระทำสรีรกิจแล้ว รวบรวมพระธาตุไว้
ในที่นั้น มนุษย์และเทวดาทั้งสิ้นเหล่านั้น ได้
กระทำพระสถูปพระพุทธเจ้าแล้ว.
พระสถูปนั้นชั้นหนึ่ง สำเร็จด้วยทอง
ชั้นที่สอง สำเร็จด้วยแก้วมณี ชั้นที่สาม สำเร็จ
ด้วยเงิน ชั้นที่สี่ สำเร็จด้วยแก้วผลึก.
ที่พระสถูปชั้นที่ห้านั่นแล สำเร็จด้วย
แก้วทับทิมล้วน ชั้นที่หก สำเร็จด้วยแก้วลาย
ทั่วทั้งองค์ตลอดถึงยอด สำเร็จด้วยรัตนะ
ทางเท้า สำเร็จด้วยแก้วมณี แท่นบูชา
สำเร็จด้วยรัตนะ พระสถูปทั้งองค์ สำเร็จด้วยทอง
สูงหนึ่งโยชน์.


1. ในบาลีทีฆนิกายเล่มที่ 10 ข้อ 130 ว่า อปวาณเถระ.

เทวดาทั้งหลายมาประชุมกัน ณ ที่นั้น
ร่วมปรึกษากันในครั้งนั้นว่า แม้พวกเราจักพากัน
เสริมแต่งพระสถูปของพระโลกนาถเจ้า ผู้คงที่
บ้าง.
พระธาตุมิได้กระจัดกระจาย พระสรีระ
ธาตุเป็นก้อนเดียว พวกเราจะเสริมแต่งหุ้ม
พระพุทธสถูปนี้.
เทวดาทั้งหลาย ได้เสริมแต่งพระสถูป
ให้สูงขึ้นอีกหนึ่งโยชน์ ประกอบด้วยรัตนะ 7
ประการ เพราะฉะนั้น พระสถูปจึงสูงเป็นสอง
โยชน์ พระสถูปนั้น สูงขึ้นไปในหมอก.
พวกนาคทั้งหลายมาประชุมกัน ณ ที่นั้น
ร่วมปรึกษากันในครั้งนั้นว่า มนุษย์และเทวดา
ทั้งหลายเหล่านั้นได้สร้างพระพุทธสถูปกันแล้ว
พวกเราอย่าได้เป็นผู้ประมาทเลย เพราะ
พวกมนุษย์และเทวดา เป็นผู้ไม่ประมาทแล้ว
แม้พวกเราจักเสริมแต่งพระสถูปของพระโลก-
นาถเจ้า ผู้คงที่บ้าง.
พวกนาคได้ประชุมกันแล้ว ได้หุ้มห่อ
พระสถูป ด้วยแก้วอินทนิล แก้วมหาอินทนิล
และแก้วโชติรส.

องค์พระพุทธเจดีย์ ได้สำเร็จด้วยแก้ว
มณีตลอดทั้งองค์ เพิ่มความสูงขึ้นเป็นสามโยชน์
ในครั้งนั้นได้กระทำที่นั้นให้สว่างแล้ว.
พวกครุฑ มาประชุมกันแล้ว ร่วม
ปรึกษากันในครั้งนั้นว่า มนุษย์ เทวดา และนาค
เหล่านั้นได้พากันกระทำพุทธบูชาแล้ว.
พวกเรา อย่าได้ประมาทเลย พวก
มนุษย์ เทวดา และนาค เป็นผู้ไม่ประมาทแล้ว
แม้พวกเรา ก็จักเสริมแต่งพระสถูปของพระ-
โลกนาถเจ้า ผู้คงที่บ้าง.
พวกครุฑเหล่านั้น ได้กระทำการหุ้มห่อ
พระสถูป ให้สำเร็จด้วยแก้วมณีทั้งองค์ แม้พวก
ครุฑเหล่านั้น ได้เสริมแต่งพระพุทธเจดีย์ให้สูง
ขึ้นอีกหนึ่งโยชน์.
พระพุทธสถูปจึงสูงขึ้นเป็นสี่โยชน์
รุ่งโรจน์ยิ่ง สว่างแจ้งไปทุกทิศ แสงสว่างพวย-
พุ่งขึ้นสูง สว่างเหมือนดวงอาทิตย์ฉะนั้น.
พวกกุมภัณฑ์ มาประชุมกันแล้ว ร่วม
ปรึกษากันในครั้งนั้นเหมือนอย่างที่มนุษย์ เทวดา
นาค และครุฑปรึกษากันฉะนั้น
พวกเขาเหล่านั้น ต่างพากันกระทำ
พระสถูปอันอุดม ของพระพุทธเจ้า ผู้ประเสริฐ

แล้ว พวกเราอย่าเป็นผู้ประมาทเลย พวกมนุษย์
และเทวดาเป็นต้น เป็นผู้ไม่ประมาทแล้ว.
แม้พวกเรา ก็จักเสริมแต่งพระสถูปของ
พระโลกนาถเจ้า ผู้คงที่บ้าง พวกเราจักเสริมแต่ง
พระพุทธเจดีย์ให้สูงขึ้นไปด้วยรัตนะ.
แม้พวกเขาเหล่านั้น ก็ได้เสริมแต่ง
พระพุทธเจดีย์ให้สูงขึ้นไปหนึ่งโยชน์ ครั้งนั้น
พระสถูปจึงสูงห้าโยชน์ ส่องแสงสว่างอยู่
พวกยักษ์ ได้มาในที่นั้นแล้ว ต่างประชุม
ปรึกษากันในครั้งนั้นว่า พวกมนุษย์ เทวดา นาค
ครุฑ และกุมภัณฑ์ ได้เสริมแต่งพระสถูปแล้ว.
พวกเขาเหล่านั้น ต่างได้กระทำพระ-
สถูปอันอุดมของพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐแล้ว
พวกเรา อย่าได้เป็นผู้ประมาทเลย พวกมนุษย์
และเทวดาเป็นต้นเป็นผู้ไม่ประมาทแล้ว.
แม้พวกเรา ก็จักเสริมแต่งพระสถูปของ
พระโลกนาถเจ้า ผู้คงที่บ้าง พวกเราจักเสริม
แต่งพระพุทธเจดีย์ ด้วยแก้วผลึก.
แม้พวกเขา (ยักษ์) เหล่านั้น ได้
เสริมแต่งพระพุทธเจดีย์ให้สูงขึ้นหนึ่งโยชน์ ใน
ครั้งนั้น พระสงฆ์จึงสูงเป็นหกโยชน์ ส่องสว่าง
อยู่.

พวกคนธรรพ์ได้มาประชุมกันแล้ว ได้
ประชุมปรึกษากันในครั้งนั้นว่า พวกมนุษย์
เทวดา นาค กุมภัณฑ์ และครุฑ ได้กระทำกัน
แล้วอย่างนั้น
พวกเขาทั้งหมดได้กระทำพระพุทธสถูป
แล้ว พวกเราในที่นี้ยังมิได้กระทำ แม้พวกเรา
ก็จักกระทำพระสถูปของพระโลกนาถเจ้า ผู้คงที่
บ้าง.
ในครั้งนั้น พวกคนธรรพ์ ได้กระทำที่
บูชา 7 ที่ กระทำธง และฉัตรแต่งเสริมพระสถูป
ให้สำเร็จด้วยทองคำทั้งองค์.
ในครั้งนั้น พระสถูปสูงได้เจ็ดโยชน์
ส่องแสงสว่างอยู่ จนไม่ปรากฏว่า เป็นกลางคืน
หรือกลางวัน โลกคงมีแต่แสงสว่างตลอดกาล.
แสงสว่างของดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์และ
ดวงดาวทั้งหลาย ไม่ครอบงำแสงสว่างพระ-
สถูปนั้นได้ แสงสว่างนั้น สว่างแผ่ไปถึงระยะ
หนึ่งร้อยโยชน์โดยรอบ จนแม้ประทีป ก็ไม่สว่าง
ในกาลนั้น มนุษย์บางพวกบูชาพระสถูป
อยู่ ทั้งที่นั้นมนุษย์เหล่านั้น ก็มิได้ขึ้นสู่พระสถูป
มนุษย์เหล่านั้น ก็เสมือนขึ้นไปอยู่สูงในท้องฟ้า
ฉะนั้น.

ยักษ์ มีนามว่า อภิสมมต ยืนอยู่กับ
พวกเทวดา ได้ยกธงและพวงดอกไม้ขึ้นสูงยิ่ง.
ชนเหล่านั้น มิได้เห็นยักษ์นั้น เมื่อเดิน
ไป ก็เห็นพวงดอกไม้ เมื่อเห็นพวงดอกไม้ ก็
เดินไปอยู่อย่างนั้น ชนเหล่านั้นทั้งหมด ย่อมไป
สู่สุคติ.
มนุษย์เหล่าใด ประพฤติชอบในปาพจน์
และเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา มนุษย์เหล่านั้น
ใคร่จะเห็นปาฏิหาริย์ จึงบูชาพระสถูป.
ครั้นเมื่อข้าพเจ้าเกิดเป็นคนรับจ้าง อา-
ศัยอยู่ในพระนครหังสวดี เห็นชนรื่นเริงยินดี
แล้วจึงคิดอย่างนี้ว่า
ก็ชนเหล่านี้ ยินดีแล้ว ย่อมไม่อิ่มต่อ
การบุญที่ควรกระทำ อันปรากฏในพระสถูป บรรจุ
พระธาตุของพระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้สูงสุดพระองค์
นั้น.
แม้ข้าพเจ้าจักกระทำบุญ ข้าพเจ้าจัก
เป็นทายาทในธรรมของพระโลกนาถเจ้า ผู้คงที่
พระองค์นั้น ในอนาคตกาลบ้าง.
ข้าพเจ้าจักทำความสะอาด ด้วยการเช็ด
ล้างพระสถูป ยกธงแผ่นผ้าของข้าพเจ้าขึ้นให้สูง
ผูกธงที่ปลายไม้ไผ่แล้วยกขึ้น.

ข้าพเจ้ายืนประคองอยู่ธงอยู่ ธงของข้าพเจ้า
ถูกยกสูงขึ้นไปในอัมพร ข้าพเจ้า เห็นธงถูกลม
ปลิวสะบัดแล้ว ข้าพเจ้ามีความยินดีเกิดขึ้นแล้ว
ข้าพเจ้ากระทำจิตให้เลื่อมใสในพระสถูป
นั้น จึงเข้าไปหาพระสมณะ ถวายอภิวาทพระภิกษุ
นั้น ถามถึงวิบากในการถวายธง
พระภิกษุนั้น มีความยินดี กล่าวกับ
ข้าพเจ้า คือกล่าวถึงวิบากของการถวายธงนั้น ยัง
ความปีติให้เกิดแก่ข้าพเจ้า ตลอดกาลทั้งปวง.
กองทหารช้าง กองทหารม้า กองทหาร
รถ กองทหารเดินเท้า และจตุรงคเสนาแวดล้อม
เขาอยู่เป็นประจำ นี้เป็นผลแห่งการถวายธง.
นักดนตรีหกหมื่นคน กับกลองที่ประดับ
แล้ว แวดล้อมเขาอยู่เป็นประจำ นี้เป็นผลแห่ง
การถวายธง.
สตรีผู้ประดับตกแต่งแล้ว 86,000 นาง
ประดับตกแต่งด้วยเครื่องผ้าอาภรณ์อันวิจิตร
ประดับประดาด้วยแก้วมณีและตุ้มหู.
มีปากงาม เจรจาด้วยความยิ้มแย้ม อก
ผึ่งตะโพกผาย ทรวดทรงองค์เอวกลมกลึง แวด-
ล้อมเขาอยู่เป็นประจำ นี้เป็นผลของการถวายธง.

ท่านจักยินดีในเทวโลก ตลอดเวลาสาม-
หมื่นกัป จักเป็นจอมเทวดา 80 ครั้ง จักเสวย
เทวรัชสมบัติ.
จักเป็นพระราชา 1,000 ครั้ง และจักเป็น
พระเจ้าจักพรรดิ 1,000 ครั้ง จักเป็นพระเจ้า
ประเทศราช ผู้ไพบูลย์โดยประมาณนับมิได้.
ในกัปที่หนึ่งแสน พระมหาบุรุษจักทรง
สมภพในวงศ์พระเจ้าโอกกากราช มีพระนามตาม
พระโคตรว่า โคตมะ จักทรงเป็นพระศาสดาใน
โลก.
ครั้นจุติจากเทวโลกแล้ว อันกุศลตัก-
เตือนแล้ว อันบุญกรรมให้ระลึกได้แล้ว จักเกิด
เป็นพราหมณ์.
ท่านจักทอดทิ้งโภคสมบัติจำนวน 80
โกฏิ ทาสและกรรมกรเป็นจำนวนมาก จักบวช
ในพระศาสนาของพระผู้มีพระภาคเจ้า พระนาม
ว่า โคตมะ.
ท่านจักกราบทูลพระสัมพุทธเจ้า พระ-
นามว่า โคตมะ ผู้ประเสริฐในสักวงศ์ให้ทรง
ยินดี ด้วยชื่อว่า อุปวานะ จักเป็นสาวกของ
พระศาสดา.

กรรมที่ข้าพเจ้ากระทำไว้ในแสนกัป จัก
ให้ผลแก่ข้าพเจ้าในกัปนี้ ข้าพเจ้าได้หลุดพ้นแล้ว
จากแรงเสียบแทงของกิเลสเพียงดังลูกศร ข้าพ-
เจ้าเผากิเลสทั้งหลายสิ้นแล้ว.
ธงทั้งหลาย ได้ชักขึ้นเพื่อข้าพเจ้า ได้
เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ผู้สงบ ผู้ปกครองทวีป
ทั้ง 4 โดยรอบสามโยชน์ ในกาลทุกเมื่อ.
แต่ในกัปที่แสนในกาลนั้น ข้าพเจ้า ได้
กระทำกรรมใดไว้ ด้วยกรรมนั้น ข้าพเจ้าไม่รู้
จักทุคติเลย อันนี้เป็นผลแห่งการถวายธง.
กิเลสทั้งหลาย ข้าพเจ้า ได้เผาทิ้งไปสิ้นแล้ว
ฯลฯ ข้าพเจ้าเป็นผู้ไม่มีอาสวะอยู่.
ข้าพเจ้าเป็นผู้มาดีแล ฯลฯ คำสอน
ของพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าได้กระทำเสร็จแล้ว.
ปฏิสัมภิทา 4 ฯลฯ คำสอนของพระ-
พุทธเจ้า ข้าพเจ้าได้กระทำเสร็จแล้ว.
ทราบว่า ท่านพระอุปวานเถระ ได้กล่าว
คาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.

จบอุปวานเถราปทาน

560. อรรถกถาอุปวานเถราปทาน

1

พึงทราบเรื่องราวในอปทานที่ 10 ดังต่อไปนี้ :-
เรื่องราวของท่านพระอุปวาณเถระ อันคำเริ่มต้นว่า ปทุมุตฺตโร
นาม ชิโน
ดังนี้.
ได้ทราบว่า พระเถระรูปนี้ ก็ได้เคยบำเพ็ญกุศลมาแล้ว ในพระ-
พุทธเจ้าพระองค์ก่อน ๆ ได้สั่งสมบุญอันเป็นอุปนิสัยแห่งพระนิพพานไว้เป็น
อันมากในภพนั้น ๆ เพราะถูกกรรมบางอย่างมาตัดรอน ในกาลแห่งพระผู้มี-
พระภาคเจ้าพระนามว่า ปทุมุตตระ เขาจึงได้มาบังเกิดในตระกูลคนยากจน
บรรลุนิติภาวะแล้ว เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าปรินิพพานแล้ว ได้เก็บเอาพระธาตุ
ของพระองค์ไว้แล้ว เมื่อพวกมนุษย์ เทวดา นาคราช ครุฑ ยักษ์ กุมภัณฑ์
และคนธรรพ์ พากันสร้างสถูปประมาณ 7 โยชน์ อันสำเร็จล้วนด้วยรัตนะ
7 ประการ ได้เอาผ้าอุตตราสงค์อันขาวสะอาดของคนทำเป็นธงผูกติดปลาย
ไม้ไผ่แล้ว ได้ทำการบูชา ณ ที่สถูปนั้น เสนาบดียักษ์ ชื่อว่า อภิสัมมตกะ
ถือเอาธงนั้น ได้ตั้งพวกเทวดาไว้เพื่อรักษาเครื่องบูชาที่พระเจดีย์แล้ว เป็นผู้
ไม่ปรากฏกาย ทรงตัวอยู่ในอากาศ ได้ทำประทักษิณพระเจดีย์ 3 รอบ. ด้วย
บุญกรรมอันนั้น เขาจึงได้ท่องเที่ยวไปในเทวโลกและมนุษยโลก ในพุทธุป-
บาทกาลนี้ ได้บังเกิดในตระกูลพราหมณ์ ในกรุงสาวัตถี ได้มีชื่อว่า อุปวาณะ
เจริญวัยแล้ว ได้มองเห็นพุทธานุภาพในการรับพระเชตวัน ได้มีศรัทธา บวช
แล้ว บำเพ็ญวิปัสสนา ได้อภิญญา 6 แล้ว. ก็โดยสมัยนั้น อาพาธเกี่ยวด้วย
โรคลมได้เกิดขึ้นแล้วแก่พระผู้มีพระภาคเจ้า. พราหมณ์ ชื่อว่า เทวหิตะ
ผู้เป็นสหายคฤหัสถ์ของพระเถระ อยู่ประจำในกรุงสาวัตถี. เขาได้ปวารณา

1. บาลีเป็นอุปวานเถระ