เมนู

ในกาลต่อมา พระวัชชีปุตตเถระเกิดความโสมนัสใจ เมื่อจะประกาศ
ถึงเรื่องราวที่ตนเคยได้ประพฤติมาแล้วในกาลก่อน จึงกล่าวคำเริ่มต้นว่า
สหสฺสรํสี ภควา ดังนี้. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สหสฺสรํสี ซึ่งในที่นี้ควร
จะกล่าวว่า อเนกสตสหสฺสรํสี บัณฑิตพึงทราบว่า ท่านกล่าวไว้แล้วว่า
สหสฺสรํสี ก็เพื่อสะดวกในการประพันธ์คาถา. คำที่เหลือมีเนื้อความพอที่
จะกำหนดได้โดยง่ายทีเดียวแล.
จบอรรถกถาวัชชีปุตตเถราปทาน

อุตตรเถราปทานที่ 6 (556)



ว่าด้วยบุพจริยาของพระอุตตรเถระ



[146] พระผู้มีพระภาคสัมพุทธเจ้า
พระนามว่า สุเมธะ ทรงประกอบด้วยพระวร-
ลักษณะ 32 ประการ ทรงพอพระทัยในความ
วิเวก เสด็จเข้าไปยังหิมวันตประเทศ
พระมุนี ผู้เป็นบุรุษสูงสุด ทรงประกอบ
ด้วยพระกรุณา ผู้เลิศ ครั้นถึงหิมวันตประเทศ
แล้ว ประทับนั่งขัดสมาธิ.
ในกาลครั้งนั้น ข้าพเจ้า เกิดเป็นวิทยาธร
สามารถแม้เหาะไปในอากาศได้ ถืออาวุธวิเศษ

คือตรีศูลอันคมฉกาจนัก ในเวลานั้น ข้าพเจ้า
กำลังเหาะท่องเที่ยวไปในอัมพร.
พระพุทธเจ้า ทรงยังป่าหิมวันต์ให้สว่าง
กระจ่างแจ้งอยู่ เสมือนกองไฟที่ลุกโพลงอยู่บน
ยอดภูเขา เสมือนแสงแห่งดวงจันทร์ที่กำลังเต็ม
ดวง หรือเสมือนต้นพญาสาละที่มีดอกกำลังบาน
เต็มต้นฉะนั้น.
จิตของข้าพเจ้าเลื่อมใส เพราะได้เห็น
พระพุทธเจ้า ผู้กำลังเสด็จออกมาจากป่า มีพระ-
พุทธรังสีกำลังซ่านออก ดุจดังแสงไฟที่กำลังเผา
ไหม้ป่าต้นอ้อฉะนั้น.
ข้าพเจ้าได้ถือเอาดอกไม้ 3 ดอก คือ
ดอกทานตะวัน ดอกกรรณิการ์ และดอกเทว-
คันธีมาบูชาพระพุทธเจ้า ผู้ประเสริฐ.
เพราะอานุภาพของพระพุทธเจ้า ในขณะ
นั้น ดอกไม้ทั้งสามดอกของข้าพเจ้า ได้ทำขั้ว
ขึ้นเบื้องบน เอาดอกลงเบื้องล่าง ทำเป็นดังร่ม
บังเงาให้พระศาสดา.
เพราะกรรมที่ข้าพเจ้า ได้กระทำมาดี
แล้วนั้น ประกอบกับที่ข้าพเจ้าตั้งเจตนาไว้ดี


เมื่อข้าพเจ้าจุติจากความเป็นมนุษย์แล้ว ก็ไปเกิด
ในดาวดึงส์.
วิมานของข้าพเจ้าในดาวดึงส์นั้น บุญ
กรรมได้สร้างให้เป็นอย่างดี มีชื่อปรากฏว่า
กัณณิการี สูง 60 โยชน์ กว้าง 30 โยชน์.
มียอดแหลม 1,000 ยอด มียอดเป็นโดม
100 ยอดประดับด้วยธงสีเหลือง ประกอบด้วย
ป้อมหอคอยหนึ่งแสนป้อม สิ่งเหล่านี้มีปรากฏอยู่
ในวิมานของข้าพเจ้า.
แท่นนั่งสำเร็จด้วยแก้วผลึกก็มี สำเร็จ
ด้วยทอง ด้วยแก้วมณี และด้วยทับทิมก็มี ผู้นั่ง
ย่อมได้ตามปรารถนา.
ที่นอนมีราคามาก ประกอบด้วยชนิดที่
ยัดด้วยนุ่น แต่ละชายประดับด้วยครุยขนสัตว์
และประกอบด้วยหมอน.
ครั้นข้าพเจ้าจุติจากภพแล้ว ท่องเที่ยว
ไปสู่ภพเทวดา ข้าพเจ้าท่องเที่ยวไปตามปรารถนา
เป็นผู้มีหมู่เทวดาแวดล้อมแล้ว.
ข้าพเจ้า ดำรงอยู่ภายใต้ร่มดอกไม้
ดอกไม้กั้นอยู่เบื้องบนข้าพเจ้า กว้างโดยรอบ
หนึ่งร้อยโยชน์แวดล้อมด้วยดอกกรรณิการ์.

นักดนตรี หกหมื่นคน บำรุงข้าพเจ้า
อยู่ ตลอดเวลาตั้งแต่เย็นถึงเช้า แวดล้อมข้าพเจ้า
อยู่เป็นประจำทั้งกลางคืนกลางวัน โดยไม่เกียจ
คร้าน.
ในเทวโลกนั้น ข้าพเจ้า ยินดีอยู่กับ
นางรำ นางร้อง นางประโคม นางนักดนตรี
เพลิดเพลินอยู่กับความยินดี บันเทิงอยู่กับความ
ใคร่ในกาม.
ในเทวโลกนั้น มีแต่รับประทาน และ
ดื่ม ในครั้งนั้น ข้าพเจ้าเพลิดเพลินอยู่ในไตรทศ
พรั่งพร้อมไปด้วยหมู่นางสนมนารี ข้าพเจ้าเพลิด
เพลินอยู่ในวิมานอันอุดม.
ข้าพเจ้าเสวยรัชสมบัติอยู่ 500 ครั้ง และ
ได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิอยู่ 300 ครั้ง ส่วนที่
เป็นพระเจ้าประเทศราชอันไพบูลย์ ไม่อาจจะนับ
ประมาณได้.
เมื่อข้าพเจ้าท่องเที่ยวอยู่ในระหว่างภพ
กับภพ ย่อมได้โภคสมบัติเป็นอันมาก ข้าพเจ้า
ไม่มีความบกพร่องในโภคสมบัติเป็นอันมาก นี้ เป็นผล
แห่งการบูชาพระพุทธเจ้า.


เมื่อข้าพเจ้าท่องเที่ยวอยู่ในภพ ก็ท่อง-
เที่ยวอยู่ในภพทั้งสอง คือ ภพแห่งเทวดา และ
ภพแห่งมนุษย์ ข้าพเจ้า ไม่รู้จักทุคติอื่นเลย นี้
เป็นผลแห่งการบูชาพระพุทธเจ้า.
เมื่อข้าพเจ้าเกิด ก็เกิดในตระกูลทั้งสอง
คือ ตระกูลกษัตริย์ และตระกูลพราหมณ์ ข้าพ-
เจ้า ไม่รู้จักตระกูลต่ำเลย นี้เป็นผลแห่งการบูชา
พระพุทธเจ้า.
ข้าพเจ้า ได้รับยานช้าง ยานม้า ยาน
วอ อันไปได้รวดเร็ว ทั้งหมดนี้ นี้เป็นผลแห่ง
การบูชาพระพุทธเจ้า.
ข้าพเจ้า ได้รับหมู่ทาสี หมู่ทาส หมู่
สตรีผู้แต่งกายงดงาม ทั้งหมดนี้ นี้เป็นผลแห่ง
การบูชาพระพุทธเจ้า.
ข้าพเจ้าได้รับผ้าไหม ผ้ากัมพล ผ้าลินิน
และผ้าฝ้าย ทั้งหมดนี้ นี้เป็นผลแห่งการบูชา
พระพุทธเจ้า.
ข้าพเจ้า ได้รับผ้าใหม่ และผลไม้ใหม่
โภชนะมีรสอร่อยเลิศ ทั้งหมดนี้ นี้เป็นผลแห่งการบูชา
พระพุทธเจ้า.
ข้าพเจ้า ได้รับคำบอกเล่าว่า เชิญท่านจง
เคี้ยวกินสิ่งนี้ เชิญท่านจงบริโภคสิ่งนี้ เชิญท่าน.

จงนอนบนที่นอนนี้ ทั้งหมดนี้ นี้เป็นผลแห่ง
การบูชาพระพุทธเจ้า.
ข้าพเจ้า ได้รับการบูชาในที่ทุกแห่ง
เกียรติยศของข้าพเจ้าฟุ้งขจรไป มีสหายมากใน
กาลทุกเมื่อ ข้าพเจ้าเป็นผู้มีบริษัทไม่แตกแยก
ในกาลทุกเมื่อ ข้าพเจ้าเป็นผู้สูงสุดกว่าหมู่ญาติ
นี้เป็นผลแห่งการบูชาพระพุทธเจ้า.
ข้าพเจ้าไม่รู้จักความหนาว ความร้อน
ไม่มีความเร่าร้อน อนึ่ง ข้าพเจ้าไม่มีทุกข์ทางจิต
ในหทัยเลย.
ข้าพเจ้าเป็นผู้มีวรรณะ เพียงดังวรรณะ
แห่งทอง ท่องเที่ยวไปในระหว่างภพกับภพ
ข้าพเจ้าไม่รู้จักความเป็นผู้มีวรรณะต่างออกไปเลย
นี้ เป็นผลแห่งการบูชาพระพุทธเจ้า.
ข้าพเจ้า จุติจากเทวโลกแล้ว อันกุศล-
มูลชักจูงแล้ว ไปเกิดในนครสาวัตถี ในตระกูล
มหาศาล ผู้มั่งคั่ง.
ครั้น ข้าพเจ้าละกามคุณ 5 แล้ว บวช
ในความเป็นผู้ไม่มีเรือน ข้าพเจ้ามีอายุเพียง 7
ขวบแต่ปีเกิด ได้บรรลุพระอรหัตแล้ว.
พระพุทธเจ้า ผู้มีพระจักษุ ทรงทราบ
คุณของข้าพเจ้าแล้ว ทรงอนุญาตการอุปสมบท

ข้าพเจ้ายังเป็นเด็ก เป็นผู้ได้รับการบูชา
ผลแห่งการบูชาพระพุทธเจ้า.
ข้าพเจ้า เป็นผู้มีทิพยจักษุบริสุทธิ์ เป็น
ผู้ฉลาดในสมาธิ เป็นผู้บรรลุถึงฝั่งแห่งอภิญญา
นี้ เป็นผลแห่งการบูชาพระพุทธเจ้า.
ข้าพเจ้า เป็นผู้บรรลุปฏิสัมภิทาตาม
ลำดับแล้ว เป็นผู้ฉลาดในอิทธิบาท เป็นผู้บรรลุ
ถึงฝั่งในธรรมทั้งหลาย นี้ เป็นผลแห่งการบูชา
พระพุทธเจ้า.
ในกัปที่ 30,000 ข้าพเจ้าได้บูชาพระ-
พุทธเจ้าใด ด้วยกรรมนั้น ข้าพเจ้าไม่รู้จักทุคติ
เลย นี้ เป็นผลแห่งการบูชาพระพุทธเจ้า.
ข้าพเจ้า เผากิเลสทั้งหลายสิ้นแล้ว
ฯลฯ ข้าพเจ้าเป็น ไม่มีอาสวะอยู่.
ข้าพเจ้าเป็นผู้มาดีแล้วแล ฯลฯ คำสอน
พระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าได้กระทำเสร็จแล้ว.
ปฏิสัมภิทา 4 ฯลฯ คำสอนของพระ-
พุทธเจ้า ข้าพเจ้าได้กระทำเสร็จแล้ว.
ทราบว่า ท่านพระอุตตรเถระ ได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการ
ฉะนี้แล.
จบอุตตรเถราปทาน

556. อรรถกถาอุตตรเถราปทาน



พึงทราบเรื่องราวในอปทานที่ 6 ดังต่อไปนี้ :-
อปทานของท่านอุตตรสามเณร มีคำเริ่มต้นว่า สุเมโธ นาม สมฺพุทฺ-
โธ
ดังนี้.
แม้พระเถระรูปนี้ ก็ได้เคยบำเพ็ญกุศลมาแล้วในพระพุทธเจ้าพระองค์
ก่อน ๆ ได้สั่งสมบุญอันเป็นอุปนิสัยแห่งพระนิพพานไว้เป็นอันมากในภพนั้น ๆ
ในกาลแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่า สุเมธะ ท่านเป็นวิทยาธรเที่ยวไป
ทางอากาศ. ก็โดยสมัยนั้น พระศาสดาประทับนั่งเปล่งพระพุทธรัศมีมีพรรณะ
6 ประการ ณ โคนต้นไม้แห่งหนึ่งระหว่างป่า เพื่อทรงอนุเคราะห์สรรพสัตว์
ในที่นั้นนั่นแล. วิทยาธรนั้น ไปทางอากาศ มองเห็นพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว
มีใจเลื่อมใส ลงจากอากาศนำเอาดอกกรรณิการ์อันบริสุทธิ์สะอาดงามตา น้อม
บูชาพระผู้มีพระภาคเจ้า ด้วยอานุภาพแห่งพระพุทธเจ้า ดอกไม้ทั้งหลายได้
ตั้งอยู่โดยอาการดังฉัตรอยู่เบื้องบนพระศาสดา. วิทยาธรนั้น มีจิตเลื่อมใส
โดยประมาณยิ่ง ในกาลต่อมา กระทำกาละแล้ว บังเกิดในดาวดึงส์ เสวย
ทิพยสมบัติ ดำรงอยู่ในดาวดึงส์นั้นจนตลอดอายุ จุติจากภพนั้นแล้ว ท่อง
เที่ยวไปโนเทวโลกและมนุษยโลก ในพุทธุปบาทกาลนี้ได้บังเกิดเป็นบุตรของ
พราหมณ์มหาศาลในกรุงราศคฤห์. เขาได้มีชื่อว่า อุตตระ. เขาได้บรรลุนิติ-
ภาวะแล้ว ถึงความสำเร็จในวิชาของพราหมณ์แล้ว ด้วยชาติตระกูล ด้วยรูป
สมบัติ ด้วยความรู้ ด้วยวัย และด้วยศีลจารวัตร เขาจึงได้รับความยกย่อง
จากชาวโลก.