เมนู

ทราบว่า ท่านพระเอกธัมมสวนิยเถระได้ภาษิตคาถาเหล่านี้ ด้วย
ประการฉะนี้แล.
จบเอกธัมมสวนิยเถราปทาน


สุจินติตเถราปทานที่ 8 (428)



ว่าด้วยผลแห่งการถวายข้าวใหม่



[18 ] ครั้งนั้น เราเป็นชาวนา อยู่ในพระ
นครหังสวดี เลี้ยงชีพด้วยกสิกรรม เลี้ยงดูเด็ก ๆ
ก็ด้วยกสิกรรมนั้น ครั้งนั้น นาของเราสมบูรณ์ดี
ข้าวของเราออกรวงแล้ว เมื่อถึงเวลาข้าวแก่ดีแล้ว
เราคิดอย่างนี้ในกาลนั้นว่า
เป็นการไม่เหมาะไม่สมควรแก่เราผู้รู้คุณ
น้อยใหญ่ ที่เราไม่ถวายทานในสงฆ์แล้ว พึง
บริโภคส่วนอันเลิศด้วยตน
พระสัมพุทธเจ้าผู้ไม่มีใครเสนอเหมือน
ในโลก มีพระลักษณะอันประเสริฐ 32 ประการ
และพระสงฆ์ผู้ตนอันอบรมแล้ว เป็นนาบุญของ
โลก ไม่มีนาบุญอื่นจะยิ่งไปกว่า
เราจักถวายทาน คือ ข้าวกล้าใหม่ในพระ
พุทธเจ้าและพระสงฆ์นั้น เสียก่อน ครั้นคิดเช่นนี้
แล้ว เราเป็นผู้ร่าเริง มีใจประกอบด้วยปีติ

นำเอาข้าวเปลือกมาจากนา เข้าไปเฝ้า
พระสัมพุทธเจ้า ครั้นเข้าไปเผาพระสัมพุทธเจ้า
ผู้เป็นเชษฐบุรุษของโลก ประเสริฐกว่านรชน
ถวายบังคมพระบาทของพระศาสดาแล้ว
กราบทูลว่า ข้าแต่พระมุนี ข้าวกล้าสมบูรณ์
ทั้งพระองค์ก็กำลังประทับอยู่ ณ ที่นี้ ข้าแต่
พระองค์ผู้มีพระปัญญาจักษุ ของพระองค์จงทรง
พระกรุณารับเถิด
พระศาสดาพระนามว่าปทุมุตตระ ผู้รู้
แจ้งโลกสมควรรับเครื่องบูชา ทรงทราบความดำริ
ของเราแล้วตรัสพระดำรัสนี้ว่า บุรุษบุคคลผู้ปฏิบัติ
4 จำพวก ผู้ตั้งอยู่ในผล 4 จำพวก นี้ คือสงฆ์
เป็นผู้ตรง มีปัญญา ศีล และมีจิตมั่นคง บุญย่อม
เป็นอันสั่งสมแล้ว ในเมื่อมนุษย์เพ่งบุญบูชากระ
ทำอยู่
ทานที่ให้ในสงฆ์ ย่อมมีผลมาก และ
ควรให้ทานในสงฆ์นั้น ข้าวกล้าของท่านนี้ก็เช่น
เดียวกัน ควรให้ในสงฆ์
ท่านจงอุทิศแด่สงฆ์ นำเอาภิกษุทั้งหลาย
ไปสู่เรือนของตน แล้วจงถวายสิ่งที่มีอยู่ในเรือน
ซึ่งท่านได้ตกแต่งแล้วเพื่อภิกษุสงฆ์เถิด เราอุทิศ
แด่สงฆ์ นำภิกษุทั้งหลายไปเรือน ได้ถวายสิ่งที่
เราได้ตกแต่งไว้ในเรือนแด่ภิกษุสงฆ์

เพราะกรรมที่เราได้ทำไว้ดีแล้วนั้น และ
เพราะความตั้งเจตนาไว้ เราละร่างมนุษย์แล้ว
จึงไปยังดาวดึงสพิภพ วิมานทองงามผุดผ่องสูง
60 โยชน์ กว้าง 30 โยชน์ บุญกรรมได้สร้างไว้
อย่างงามแล้วเพื่อเรา ณ สวรรค์ชั้นดาวดึงส์นั้น
จบภาณวารที่ 19

ภพของเรา เกลื่อนกล่นระคนไปด้วย
เทพนารี เรากิน ดื่มในภพนั้น อยู่ในสวรรค์ชั้น
ไตรทศ
เราได้เสวยราชสมบัติในเทวโลก 3,000
ครั้ง และได้เสวยราชสมบัติในเทวโลกอีก 500
ครั้ง
ได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ 500 ครั้ง และ
ได้เป็นพระเจ้าประเทศราช โดยคณนานับมิได้
เราท่องเที่ยวอยู่ในภพน้อยใหญ่ ได้ทรัพย์
นับไม่ได้ เราไม่มีความบกพร่องในโภคสมบัติเลย
นี้เป็นผลแห่งข้าวใหม่
ยานช้าง ยานม้า วอ และคานหาม เรา
ได้ทุกสิ่ง นี้เป็นผลแห่งข้าวใหม่
ผ้าใหม่ ผลไม้ใหม่ โภชนะมีรสอัน
เลิศใหม่ เราได้ทุกอย่าง นี้เป็นผลแห่งข้าวใหม่

ผ้าใหม่ ผ้ากัมพล ผ้าเปลือกไม้ ผ้าฝ้าย
เราได้ทุกอย่าง นี้เป็นผลแห่งข้าวใหม่
หมู่ทาสี หมู่ทาส และนารี ที่ประดับ
ประดาอย่างสวยงาม เราได้ทุกจำพวก นี้เป็นผล
แห่งข้าวใหม่
หนาวหรือร้อนไม่เบียดเบียนเรา เราไม่มี
ความเร่าร้อน อนึ่ง ทุกข์ทางใจ ไม่มีในหทัย
ของเรา
เชิญเคี้ยวสิ่งนี้ เชิญบริโภคสิ่งนี้ เชิญ
นอนบนที่นอนนี้ คำเช่นนี้ เราได้ทุกประการ
นี้เป็นผลแห่งข้าวใหม่
บัดนี้ ชาตินี้เป็นชาติหลังสุดภพสุดท้าย
กำลังเป็นไป ถึงทุกวันนี้ ไทยธรรมของเรา ก็ทำ
เราให้ยินดีอยู่ทุกเมื่อ
เราได้ถวายข้าวใหม่ในหมู่สงฆ์ผู้ประ-
เสริฐสุด ย่อมเสวยอานิสงส์ 8 ประการ อัน
สมควรแก่กรรนของเรา
คือ เราเป็นผู้มีผิวพรรณผิวผ่อง 1 มียศ 1
มีโภคทรัพย์มากมาย ใคร ๆ ลักไม่ได้ 1 มีภักษา
มากทุกเมื่อ มีบริษัทไม่ร้าวรานกันทุกเมื่อ
สัตว์ที่อาศัยแผ่นดินล้วนยำเกรงเรา 1
เราได้ไทยธรรมก่อน จะในท่ามกลางสงฆ์ หรือ
เฉพาะพระพักตร์ พระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐสุด

ก็ตาม พวกทายกเลยองค์อื่น ๆ เสียหมด ถวายแก่
เราเท่านั้น 1
เราได้เสวยอานิสงส์เหล่านี้ เพราะได้
ถวายข้าวใหม่ในหมู่สงฆ์ผู้อุดมก่อน นี้เป็นผล
แห่งข้าวใหม่
ในกัปที่แสนแต่กัปนี้ เราได้ถวายทานใด
ด้วยทานนั้น เราไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่ง
ข้าวใหม่
เราเผากิเลสทั้งหลายแล้ว . . . คำสอน
ของพระพุทธเจ้า เราได้ทำเสร็จแล้ว ดังนี้.
ทราบว่า ท่านพระสุจินติตเถระได้ภาษิตคาถาเหล่านี้ ด้วยประการ
ฉะนี้แล.

จบสุจินติตเถราปทาน

โสณณกิงกณยเถราปทานที่ 9 ( 429 )



ว่าด้วยผลแห่งการถวายดอกกะดึงทอง



[19 ] เราได้ออกบวชเป็นบรรพชิตด้วย
ศรัทธา เรานุ่งห่มผ้าเปลือกไม้กรอง เห็นกรรม
คือการบำเพ็ญตบะ
สมัยนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เชษฐ-
บุรุษของโลก ประเสริฐกว่านระ พระนามว่าอัตถ-
ทัสสี เสด็จอุบัติขึ้นช่วยมหาชนให้ข้าม