เมนู

ครั้นได้สดับพระดำรัสนั้นแล้ว จิตของเราไม่ยึดถืออาสวะทั้งหลาย พ้นแล้วจาก
กิเลสได้โดยพิเศษ คือ ดำรงอยู่แล้วในพระอรหัตผล. ในกาลต่อมา พระ-
ศาสดาได้ทรงทราบจากภิกษุทั้งหลายในที่นั้น ๆ ว่า พระเถระนั้นเป็นผู้กล่าว
ธรรมกถาได้อย่างวิจิตร จึงทรงสถาปนาเธอไว้ในตำแหน่งที่เลิศว่า ดูก่อน
ภิกษุทั้งหลาย กุมารกัสสปะนี้ เป็นผู้เลิศแห่งภิกษุสาวกของเรา ผู้กล่าว
ธรรมกถาให้วิจิตรแล.
จบอรรถกถากุมารกัสสปเถราปทาน

พาหิยเถราปทานที่ 6 (536)



ว่าด้วยบุพกรรมของพระพาหิยเถระ



[126] ในกัปที่แสนแต่กัปนี้ พระ-
ผู้มีพระภาคเจ้าผู้นายก มีพระรัศมีใหญ่ เลิศกว่า
ไตรโลก มีพระนามชื่อว่าปทุมุตตระ ได้เสด็จ
อุบัติขึ้นแล้ว
เมื่อพระมุนี ตรัสสรรเสริญคุณของภิกษุ
ผู้ตรัสรู้ได้เร็วพลันอยู่ เราได้ฟังแล้วชอบใจ จึง
ได้ทำสักการะแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้แสวงหา
คุณอันใหญ่
ถวายทานแด่พระมหามุนีพร้อมด้วยพระ-
สาวกตลอด 7 วัน ถวายบังคมพระสัมพุทธเจ้า
แล้วปรารถนาฐานันดรนั้นในกาลนั้น
ลำดับนั้นพระสัมพุทธเจ้าได้ทรงพยากรณ์
เราว่า จงดูพราหมณ์ที่หมอบอยู่แทบเท้าของเรานี้

ผู้สมบูรณ์ด้วยโสมนัส มีผิวพรรณเหมือนเด็กอายุ
16 ปี
มีร่างกายอันบุญกรรมสร้างสรรให้คล้าย
ทองคำ ผุดผ่อง ผิวบาง ริมฝีปากแดงเหมือน
ผลตำลึงสุก มีฟันขาวคมเรียบเสมอ
มากด้วยกำลังคือคุณ มีกายและใจสูง
เพราะโสมนัส เป็นบ่อเกิดแห่งกระแสน้ำ คือ
คุณ มีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสด้วยปีติ
เขาปรารถนาตำแหน่งแห่งภิกษุผู้ตรัสรู้
ได้โดยเร็วพลัน พระมหาวีรเจ้าพระนามว่าโคดม
จักเสด็จอุบัติขึ้นในอนาคตกาล
เขาจักเป็นธรรมทายาทของพระมหาวีร-
เจ้าพระองค์นั้น เป็นโอรสอันธรรมเนรมิต จัก
ได้เป็นสาวกของพระศาสดามีนามชื่อว่าพาหิยะ
ก็ครั้งนั้น เราเป็นผู้ยินดี หมั่นกระทำ
สักการะพระมหามุนีเจ้า ตราบเท่าสิ้นชีวิต จุติแล้ว
ได้ไปสวรรค์ ดุจไปที่อยู่ของตนฉะนั้น
เราจะเป็นเทวดาหรือมนุษย์ย่อมเป็นผู้ถึง
ความสุข เพราะกรรมนั้นชักนำไป เราจึงได้
ท่องเที่ยวไปเสวยราชสมบัติ
เมื่อพระศาสนาของพระกัสสปธีรเจ้าเสื่อม
ไปแล้ว เราได้ขึ้นสู่ภูเขาอันล้วนแล้วด้วยหิน



บำเพ็ญเพียรตามคำสอนของพระชินสีห์ เป็นผู้มี
ศีลบริสุทธิ์ มีปัญญา ทำกิจพระศาสนาของพระ-
ชินสีห์ เรา 5 คนด้วยกัน จุติจากอัตภาพนั้นแล้ว
ไปสู่เทวโลก
เราเกิดเป็นบุรุษชื่อพาหิยะ ในภาระกัจฉ-
นครอันเป็นเมืองอุดม ภายหลัวได้แล่นเรือไป
ยังสมุทรสาคร ซึ่งมีความสำเร็จเพียงเล็กน้อย
ไปได้ 2-3 วันเรือก็อัปปาง ครั้งนั้น
เราตกลงไปยังมหาสมุทร อันเป็นที่อยู่แห่งมังกร
ร้ายกาจ น่าหวาดเสียว
ครั้งนั้น เราพยายามว่ายข้ามทะเลใหญ่
ไปถึงท่าสุปปารกะ มีคนรู้จักน้อย
เรานุ่งผ้ากรองเข้าบ้านเพื่อบิณฑบาต ครั้ง
นั้น หมู่ชนเป็นผู้ยินดีกล่าวว่า นี้พระอรหันต์
ท่านมาที่นี่
พวกเราสักการะพระอรหันต์ด้วยข้าว น้ำ
ผ้า ที่นอนและเภสัชแล้วจักเป็นผู้มีความสุข
ครั้งนั้น เราได้ปัจจัยอันเขาสักการะบูชา
ด้วยปัจจัยเหล่านั้น เกิดความดำริโดยไม่แยบคาย
ขึ้นว่า เราเป็นพระอรหันต์
ครั้งนั้น บรุพเทวดารู้ว่าวาระจิตของเรา จึง
ตักเตือนว่าท่านหารู้ช่องทางแห่งอุบายไม่ ที่ไหน
จะเป็นพระอรหันต์เล่า

ครั้งนั้น เราอันเทวดานั้นตักเตือนสลดใจ
จึงสอบถามเทวดานั้น พระอรหันต์ผู้ประเสริฐ
กว่านรชนในโลกนี้คือใคร อยู่ที่ไหน
เทวดานั้นบอกว่า
พระพิชิตมารผู้มีพระปัญญามาก ผู้มี
ปัญญาเสมือนแผ่นดินประเสริฐ ประทับอยู่ที่กรุง
สาวัตถี แคว้นโกสล พระองค์เป็นโอรสของ
เจ้าศากยะ เป็นพระอรหันต์ ไม่มีอาสวะ ทรง
แสดงธรรมเพื่อบรรลุพระอรหันต์.
เราได้สดับคำของเทวดานั้นแล้ว อิ่มใจ
เหมือนคนกำพร้าได้ขุมทรัพย์ ถึงความอัศจรรย์
เบิกบานใจที่จะได้พบพระอรหันต์อันอุดมชวนมอง
พึงใจ มีอารมณ์ไม่มีที่สุด
ครั้งนั้น เราออกจากที่นั้นไปด้วยตั้งใจ
ว่าเมื่อเราชนะกิเลสได้ ก็จะได้เห็นพระพักตร์
อันปราศจากมลทิน ของพระศาสดาทุกทิพาราตรี
กาล เราไปถึงแคว้นอันน่ารื่นรมย์นั้นแล้ว ได้
ถามพวกพราหมณ์ว่า พระศาสดาผู้ยังโลกให้ยินดี
ประทับอยู่ที่ไหน
ครั้งนั้น พราหมณ์ทั้งหลาย ตอบว่า
พระศาสดา อันนราชรและทวยเทพถวายวันทนา
เสด็จเข้าไปสู่บุรีเพื่อทรงแสวงหาพระกระยาหาร

แล้ว พระองค์ก็เสด็จกลับมา ท่านขวนขวาย
ที่จะเข้าเฝ้าพระมุนีเจ้า ก็จงรีบเข้าไปถวายบังคม
พระองค์ผู้เป็นเอกอัครบุคคลนั้นเถิด
ลำดับนั้น เรารีบไปยังเมืองสาวัตถีบุรี
อันอุดม ได้พบพระองค์ผู้ไม่กำหนัดในอาหาร
ไม่ทรงนุ่งด้วยความโลภ ทรงยังอมตธรรมให้โชติ
ช่วง อยู่ ณ พระนครนี้ ประหนึ่งว่าเป็นที่อยู่ของ
สิริ พระพักตร์โชติช่วงเหมือนรัศมีพระอาทิตย์
ทรงถือบาตร กำลังเสด็จโคจรบิณฑบาตอยู่
ครั้นพบพระองค์แล้วเราจึงได้หมอบลง
กราบทูลว่า ข้าแต่พระโคดม ขอพระองค์โปรด
เป็นที่พึ่งของข้าพระองค์ ผู้เสียหายไปในทาง
ผิดด้วยเถิด
พระมุนีผู้สูงสุดได้ตรัสว่า เรากำลังเที่ยว
บิณฑบาต เพื่อประโยชน์แก่การยังสัตว์ให้ข้าม
พ้น เวลานี้ไม่ใช่เวลาที่จะแสดงธรรมแก่ท่าน
ครั้งนั้น เราปรารถนาได้ธรรมนัก จึง
ได้ทูลอ้อนวอนพระพุทธเจ้าบ่อย ๆ พระองค์ได้
ตรัสพระธรรมเทศนาสุญญตบทอันลึกซึ้งแก่เรา
เราได้สดับธรรมของพระองค์แล้ว โอ
เราเป็นผู้อัน พระศาสดาทรงอนุเคราะห์
เราเผากิเลสทั้งหลายแล้ว . . . คำสอน
ของพระพุทธเจ้าเราได้ทำเสร็จแล้ว ดังนี้.

พระพาหิยทารุจิริยเถระผู้ได้กล่าวการ
พยากรณ์อย่างนี้แล้ว ล้มลงที่กองหยากเยื่อ เพราะ
แม่โคภูตผีมองไม่เห็นตัวขวิดเอา พระเถระผู้มี
ปรีชามาก เป็นนักปราชญ์ ครั้นกล่าวบุรพจริต
ของตนแล้ว ท่านปรินิพพาน ณ พระนครสาวัตถี
เมืองอุดมสมบูรณ์
สมเด็จพระฤาษีผู้สูงสุด เสด็จออกจาก
พระนคร ทอดพระเนตรเห็นท่านพระพาหิยะผู้
นุ่งผ้าคากรองนั้น ผู้เป็นนักปราชญ์ มีความ
เร่าร้อนอันลอยเสียแล้ว ล้มลงที่ภูมิภาค ดุจเสา
คันธงถูกลมล้มลง ฉะนั้น หมดอายุ กิเลสแห้ง
ทำกิจพระศาสนาของพระชินสีห์เสร็จแล้ว
ลำดับนั้น พระศาสดาตรัสเรียกพระสาวก
ทั้งหลาย ผู้ยินดีในพระศาสนามาสั่งว่า ท่าน
ทั้งหลายจงช่วยกันจับร่างของเพื่อนสพรหมจารี
แล้วเผาเสีย
จงสร้างสถูปบูชา เขาเป็นคนมีปรีชา
มาก นิพพานแล้ว สาวกผู้ทำตามคำของเราผู้นี้
เลิศกว่าภิกษุทั้งหลายฝ่ายที่ตรัสรู้ได้เร็วพลัน
คาถาแม้ตั้งพัน ถ้าประกอบด้วยบทที่
แสดงความฉิบหาย มิใช่ประโยชน์ไซร้ คาถาบท
เดียวที่บุคคลฟังแล้วสงบระงับได้ ก็ประเสริฐ
กว่า

น้ำ ดิน ไฟ และ ลม ไม่ตั้งอยู่
นิพพานใด ในนิพพานนั้น บุญกุศลส่องไปไม่
ถึง พระอาทิตย์ส่องแสงไม่ถึง
พระจันทร์ก็ส่องแสงไม่ถึง ความมืดก็ไม่
มี อนึ่ง เมื่อใด พราหมณ์ผู้ชื่อว่ามุนีเพราะความ
เป็นผู้นิ่ง รู้จริงด้วยตนเองแล้ว
เมื่อนั้นเขาพ้นจากรูป อรูป สุขและ
ทุกข์ พระโลกนาถผู้เป็นมุนี เป็นที่นับถือของ
โลกทั้งสาม ได้ภาษิตไว้ด้วยประการดังกล่าวมา
ฉะนี้แล.
ทราบว่า ท่านพระพาหิยเถระได้ภาษิตคาถาเหล่านี้ ด้วยประการ
ฉะนี้แล.
จบพาหิยเถราปทาน

536. อรรถกถาพาหิยเถราปทาน



พึงทราบเรื่องราวในอปทานที่ 6 ดังต่อไปนี้ :-
อปทานของท่านพระทาหิยพารุจิริยเถระ อันมีคำเริ่มต้นว่า อิโต
สตสหสฺสมฺหิ
ดังนี้.
แม้พระเถระรูปนี้ ก็ได้เคยบำเพ็ญกุศลมาแล้วในพระพุทธเจ้าพระ-
องค์ก่อน ๆ ได้สั่งสมบุญอันเป็นอุปนิสัยแห่งพระนิพพานไว้เป็นอันมากในภพ
นั้น ๆ ในกาลแห่งพระผู้พระภาคเจ้าพระนามว่า ปทุมุตตระ ท่านได้บังเกิด
ในตระกูลพราหมณ์ ถึงความสำเร็จในศิลปะของพวกพราหมณ์แล้ว เป็นผู้มี
ความรู้ไม่ขาดตกบกพร่องในเวทางคศาสตร์ทั้งหลาย. วันหนึ่งได้ไปยังสำนัก
ของพระศาสดา ขณะฟังธรรมมีใจเลื่อมใส ได้เห็นภิกษุรูปหนึ่ง ซึ่งพระ
ศาสดาทรงสถาปนาเธอไว้ในตำแหน่งที่เลิศกว่าพวกภิกษุผู้ขิปปาภิญญา (ตรัสรู้
ได้เร็วไว) เป็นผู้ประสงค์จะได้ตำแหน่งนั้นบ้าง จึงได้ถวายทานแด่ภิกษุ
สงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข ตลอด 7 วัน โดยล่วง 7 วันไปแล้ว จึง
หมอบลงที่บาทมูลของพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว ตั้งความปรารถนาไว้ว่า ข้าแต่
พระองค์ผู้เจริญ ในวันที่ 7 แต่วันนี้ไป พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงได้สถาปนา
ภิกษุใดไว้ในตำแหน่งที่เลิศกว่าพวกภิกษุผู้ขิปปาภิญญา ในอนาคตกาล แม้
ข้าพระองค์ก็พึงเป็นเหมือนภิกษุรูปนั้น คือ พึงเป็นผู้เลิศกว่าพวกภิกษุผู้ขิปปา-
ภิญญา ในพระศาสนาของพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งเถิด. พระผู้มีพระภาคเจ้า
ทรงตรวจดูด้วยอนาคตังสญาณแล้ว ทรงทราบว่าสำเร็จผลแน่ จึงทรงพยา-
กรณ์ว่า ในอนาคตกาล เขาบวชในพระศาสนาของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนาม
ว่าโคคม จักเป็นผู้เลิศกว่าพวกภิกษุผู้ขิปปาภิญญาแล. เขาได้ทำบุญไว้เป็นอัน