เมนู

เอาถ้อยคำที่ไม่เป็นจริงกล่าวทับถม ได้แก่เราได้กระทำการกล่าวตู่ด้วยเรื่องที่
ไม่เป็นจริง. บทว่า ทุนฺทุภิโย ความว่า เภรีท่านเรียกว่าทุนทุภิ กลอง
มะโหระทึกเพราะเปล่งเสียงว่า ทุง ทุง ดังนี้. บทว่า นาทยึสุ แปลว่า เปล่ง
เสียงดัง. บทว่า สมนฺตโต อสนิโย เชื่อมความว่า ประกอบลงแล้วในหิน
คือให้พินาศไปโดยทิศาภาคทั้งหมด รวมความว่า สายฟ้าอาชญาของเทวดา
อัน นำมาซึ่งความหวาดกลัวได้ผ่าแล้ว. บทว่า อุกฺกา ปตึสุ นภสา ความว่า
ก่อกองไฟได้ตกลงแล้ว จากอากาศ. บทว่า ธุมเกตุ จ ทิสฺสติ ความว่า และ
กองไฟอันประกอบด้วยกลุ่มควัน ย่อมปรากฏชัดเจน. คำที่เหลือ มีเนื้อความ
พอที่จะกำหนดได้โดยง่ายทีเดียวแล.
จบอรรถาทัพพมัลลปุตตเถราปทาน

กุมารกัสสปเถราปทานที่ 5 (535)



ว่าด้วยบุพจริยาของพระกุมารกัสสปเถระ



[125] ในกัปที่แสนแต่กัปนี้ พระ-
ผู้มีพระภาคเจ้าผู้นายก ทรงเกื้อกูลแก่สัตว์โลก
ทั้งปวง เป็นนักปราชญ์ มีพระนามว่าปทุมุตตระ
ได้เสด็จอุบัติขึ้นแล้ว
ครั้งนั้น เราเป็นพราหมณ์มีชื่อเสียง
โด่งดัง รู้จบไตรเพท เที่ยวไปในที่พักสำราญ
กลางวัน ได้พบพระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้นายกของ
โลก กำลังทรงประกาศสัจจะ 4 ทรงยัง
มนุษย์พร้อมด้วยทวยเทพให้ตรัสรู้ กำลังทรง

สรรเสริญพระสาวกของพระองค์ ผู้กล่าวธรรม
กถาวิจิตรอยู่ในหมู่มหาชน
ครั้งนั้น เราชอบใจ จึงได้นิมนต์พระ-
ตถาคตแล้วประดับประดามณฑปให้สว่างไสวด้วย
รัตนะนานาชนิด ด้วยผ้าอันย้อมด้วยสีต่าง ๆ
นิมนต์พระพุทธเจ้าพร้อมด้วยพระสงฆ์ให้เสวยและ
ฉันในมณฑปนั้น เรานิมนต์พระพุทธเจ้าพร้อม
ด้วยพระสาวกให้เสวยและฉันโภชนะมีรสอันเลิศ
ต่าง ๆ ถึง 7 วัน
แล้วเอาดอกไม้ที่สวยงามต่าง ๆ ชนิด
เป็นที่อาศัยอยู่แห่งกรุณา ได้ตรัสว่า จงดูพราหมณ์
นี้ ผู้มีปากและตาเหมือนดอกปทุมมากด้วยความ
ปรีดาปราโมทย์ มีกายและใจฟูขึ้นเพราะโสมนัส
นำความร่าเริงมา จักษุเบิกกว้าง มีความปรารถนา
ในศาสนาของเรา หมอบลงแทบบาทมูลาของเรา
มีความประพฤติมั่น มีใจโสมนัส เขาปรารถนา
ฐานันดรนั้น คือ การกล่าวธรรมกถาอันวิจิตร
ในกัปที่แสนแต่กัปนี้ พระศาสดามีพระ-
นามว่าโคดม ซึ่งสมภพในวงศ์พระเจ้าโอกกากราช
จักเสด็จอุบัติขึ้นในโลก

ผู้นี้จักเป็นธรรมทายาทของพระศาสดา
พระองค์นั้น จักเป็นโอรสอันธรรมเนรมิต จัก
มีนามว่ากุมารกัสสปะเป็นสาวกของพระศาสดา
เพราะอำนาจดอกไม้และผ้าอันวิจิตรกับ
รัตนะ เขาจักถึงความเป็นผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลาย
ผู้กล่าวธรรมกถาอันวิจิตร
เพราะกรรมที่ทำไว้ดีแล้ว และเพราะการ
ตั้งเจตน์จำนงไว้ เราละร่างมนุษย์แล้ว ได้ไป
สวรรค์ดาวดึงส์
เราท่องเที่ยวไปในภพน้อยภพใหญ่
เหมือนตัวละครหมุนเวียนอยู่กลางเวทีเต้นรำ
ฉะนั้น เราเป็นบุตรของเนื้อชื่อสาขะหยั่งลงใน
ครรภ์แห่งแม่เนื้อ
ครั้งนั้น เมื่อเราอยู่ในท้องมารดาของ
เรา ถึงเวรที่จะต้องถูกฆ่า มารดาของเราถูกเนื้อ
สาขะทอดทิ้ง จึงยึดเอาเนื้อนิโครธเป็นที่พึ่ง
มารดาของเราอันพญาเนื้อนิโครธ ช่วย
ให้พ้นจากความตาย สละเนื้อสาขะแล้ว ตัก
เตือนเราผู้เป็นบุตรของตัวในครั้งนั้นอย่างนี้ว่า
ควรคบหาแต่เนื้อโครธเท่านั้น ไม่ควร
เข้าไปคบหาเนื้อสาขะ ตายในสำนักเนื้อนิโครธ
ประเสริฐกว่า มีชีวิตอยู่ในสำนักเนื้อสาขะจะประ-
เสริฐอะไร.

เรา มารดาของเรา และเนื้อนอกจากนี้
อันเนื้อนิโครธ ผู้เป็นเป็นนายฝูงนั้นพร่ำสอน อาศัย
โอวาทของเนื้อนิโครธนั้น จึงได้ไปยังที่อยู่อาศัยคือ ส
คือ สวรรค์ชั้นดาวดึงส์อันรื่นรมย์ ประหนึ่งว่าไป
ยังเรือนของตัวที่ทิ้งจากไป ฉะนั้น.
เมื่อพระศาสนาของพระกัสสปธีรเจ้า
กำลังถึงความสิ้นสูญอันตรธาน เราได้ขึ้นภูเขาอัน
ล้วนด้วยหิน บำเพ็ญเพียรตามคำสอนของพระ-
พิชิตมาร
ก็บัดนี้ เราเกิดในสกุลเศรษฐีในพระ-
นครราชคฤห์ มารดาของเรามีครรภ์ ออกบวช
เป็นภิกษุณี พวกภิกษุณี รู้ว่ามารดาของเรามีครรภ์
จึงนำไปหาพระเทวทัต พระเทวทัตนั้น กล่าวว่า
จงนาสนะภิกษุณีผู้ลามกนี้เสีย
ถึงในบัดนี้มารดาบังเกิดเกล้าของเรา เป็น
ผู้อันพระพิชิตมารจอมมุนีทรงอนุเคราะห์ไว้ จึง
ได้ถึงความสุขในสำนักของภิกษุณี
พระเจ้าแผ่นดินพระนามว่าโกศล ได้
ทรงทราบเรื่องนั้นจึงทรงเลี้ยงดูเราไว้ด้วยเครื่อง
บริหารแห่งกุมาร และตัวเรามีชื่อว่ากัสสปะ เพราะ
อาศัยท่านพระมหากัสสปเถระ เราจึงถูกเรียกว่า
กุมารกัสสปะ

เพราะได้สดับพระธรรมเทศนา ที่พระพุทธเจ้า ที่พระ-
พุทธเจ้าทรงแสดงว่า กายเช่นเดียวกับจอมปลวก
จิตของเราจึงพ้นอาสวะทั้งปวง เราได้รับ
ตำแหน่งเอตทัคคะ ก็เพราะทรมานพระเจ้าปายาสิ
เราเผากิเลสทั้งหลายแล้ว . . . คำสอน
ของพระพุทธเจ้าเราได้ทำเสร็จแล้ว ดังนี้.
ทราบว่า ท่านพระกุมารกัสสปะได้ภาษิตคาถาเหล่านี้ ด้วย
ประการฉะนี้แล.

จบกุมารกัสสปเถราปทาน
จบภาณวารที่ 24

535. อรรถกถากุมารกัสสปเถราปทาน



พึงทราบเรื่องราวในอปทานที่ 5 ดังต่อไปนี้ :-
อปทานของท่านพระกุมารกัสสปเถระ อันมีคำเริ่มต้นว่า อิโต
สตสหสฺสมฺหิ
ดังนี้.
ได้ทราบว่า พระเถระรูปนี้ ในกาลแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนาม
ว่า ปทุมุตตระ ท่านได้บังเกิดในตระกูลพราหมณ์ บรรลุนิติภาวะแล้ว วัน
หนึ่ง ขณะที่กำลังฟังธรรมในสำนักของพระศาสดา ได้เห็นภิกษุรูปหนึ่ง ซึ่ง
พระศาสดาทรงสถาปนาเธอไว้ในตำแหน่งที่เสิศกว่าภิกษุผู้กล่าวธรรมถถาอัน
วิจิตร แม้ตนเองก็ปรารถนาตำแหน่งนั้นบ้าง จึงตั้งปณิธานไว้ กระทำบุญ
ทั้งหลาย อันเหมาะแก่ตำแหน่งนั้น ดำรงชีวิตอยู่จนตลอดอายุ จุติจากอัตภาพ
นั้น ท่องเที่ยวไปในเทวโลกและมนุษยโลก ได้เสวยสมบัติในโลกทั้ง 2 แล้ว
ในกาลแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่ากัสสปะ เขาได้บังเกิดในเรือนอัน มี
สกุล บวชในพระศาสนาของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นแล้ว บำเพ็ญ
สมณธรรม ท่องเที่ยวไปเฉพาะในสุคติทั้งหลายอย่างเดียว ได้เสวยทิพยสุข
และมนุษยสุขแล้วในพุทธุปบาทกาลนี้เขาได้บังเกิดในท้องของลูกสาวเศรษฐี
คนหนึ่ง ในกรุงราชคฤห์. ทราบว่า ลูกสาวเศรษฐีนั้น ในเวลาที่เป็นเด็ก
หญิงนั้นแล มีความประสงค์จะบวช จึงขออนุญาตมารดาบิดา เมื่อไม่ได้รับ
อนุญาตให้บวชจึงไปยังตระกูลสามี ได้มีครรภ์ แต่ไม่รู้ว่ามีครรภ์นั้น จึงคิด
แล้วว่า เราจักทำให้สามียินดี (ทำให้ถูกใจสามี) แล้วจึงจักขออนุญาตบวช.
เมื่อนางจะทำให้ถูกใจสามี จึงชี้ถึงโทษของสรีระโดยนัยเป็นต้นว่า