เมนู

ธรรมรุจิเถราปทานที่ 9 (489)



ว่าด้วยผลแห่งความพอใจในธรรม



[79] ในเวลาที่พระพุทธเจ้าผู้พิชิตมาร
พระนามว่าทีปังกร ทรงพยากรณ์สุเมธดาบสว่า
ในกัปจากกัปนี้ไปนับไม่ถ้วย ดาบสนี้จักเป็น
พระพุทธเจ้า
พระมารดาบังเกิดเกล้าของดาบสนี้จักทรง
พระนามว่ามายา พระบิดาจักทรงพระนามว่า
สุทโธทนะ ดาบสนี้จักชื่อว่าโคดม
ดาบสนี้จักเริ่มตั้งความเพียรทำทุกกรกิริยา
แล้ว จักเป็นพระสัมพุทธเจ้าผู้มียศใหญ่ ตรัสรู้
ที่ควงไม้อัสสัตถพฤกษ์
พระอุปติสสะและพระโกลิตะจักเป็น
พระอัครสาวก ภิกษุอุปัฏฐากชื่อว่าอานนท์ จัก
บำรุงดาบสนี้ผู้เป็นพระพิชิตมาร
นางภิกษุณีชื่อว่าเขมาและอุบลวรรณา
จักเป็นอัครสาวิกา จิตตคฤหบดีและชาวเมืองอาฬวี
(ชื่อว่า หัตถกะ) จักเป็นอัครอุบาสก
นางขุชชุตตรา และนางนันทมาตา จัก
เป็นอัครอุบาสิกา ไม้โพธิ์ของนักปราชญ์ผู้นี้
เรียกว่าอัสสตถพฤกษ์

มนุษย์และเทวได้สดับพระดำรัสของ
พระพุทธเจ้าผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่ ซึ่งจะหาใคร
เสมอเหมือนมิได้แล้ว ต่างเป็นผู้เบิกบาน ประ-
นมอัญชลีถวายนมัสการ
เวลานั้น เราเป็นมาณพชื่อว่าเมฆะ เป็น
นักศึกษา ได้สดับคำพยากรณ์อันประเสริฐของ
สุเมธดาบส พระมหามุนี
เราเป็นผู้คุ้นเคยในสุเมธดาบสผู้เป็นที่อยู่
แห่งกรุณา และได้บวชตามสุเมธดาบส ผู้เป็น
วีรบุรุษนั้น ผู้ออกบวชอยู่
เป็นผู้สำรวมในพระปาติโมกข์และ
อินทรีย์ 5 เป็นผู้มีอาชีวะหมดจด มีสติ เป็น
นักปราชญ์ กระทำตามคำสอนของพระพิชิตมาร
เราเป็นอยู่เช่นนี้ ถูกปาปมิตรบางคน
ชักชวนในอนาจาร ถูกกำจัดจากหนทางอันชอบ
เป็นผู้ตกอยู่ในอำนาจแห่งวิตก ได้
หลีกไปจากพระศาสนา ภายหลังถูกมิตรอัน
น่าเกลียดนั้น ชักชวนให้ฆ่ามารดา
เรามีใจอันชั่วช้าได้ทำอนันตริยกรรมฆ่า
มารดา เราจุติจากอัตภาพนั้นแล้วเกิดในอเวจี
มหานรกอันแสนทารุณ

เราไปสู่วินิบาตถึงความลำบากท่องเที่ยว
ไปนาน ไม่ได้เป็นสุเมธดาบสผู้เป็นนักปราชญ์
ผู้ประเสริฐกว่านระอีก
ในกัปนี้ เราเกิดเป็นปลาติมิงคละ อยู่
ในมหาสมุทร เราเห็นเรือในสาครจึงเข้าไปเพื่อจะ
กิน
พวกพ่อค้าเห็นเราก็กลัว ระลึกถึงพระ-
พุทธเจ้าประเสริฐสุด เราได้ยินเสียงกึกก้องว่า
โคตโม ที่พ่อค้าเหล่านั้นเปล่งขึ้น
จึงนึกถึงสัญญาเก่าขึ้นมาได้ ต่อจากนั้น
ได้ทำกาลกิริยา เกิดในสัญชาติพราหมณ์ ใน
สกุลอันมั่งคั่ง ณ พระนครสาวัตถี
เราชื่อว่าธรรมรุจิ เป็นคนเกียจบาป
กรรมทุกอย่าง พออายุได้ 7 ขวบ ก็ได้พบพระ-
พุทธองค์ผู้ส่องโลกให้โชติช่วง
จึงได้ไปยังพระมหาวิหารเชตวัน แล้ว
บวชเป็นบรรพชิต เราเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า 3 ครั้ง
ต่อคนหนึ่งกับวันหนึ่ง
ครั้งนั้น พระพุทธองค์ผู้เป็นมหามุนี
ทอดพระเนตรเห็นเราเข้า จึงได้ตรัสว่า ดูก่อน
ธรรมรุจิ ท่านจงระลึกถึงเรา ลำดับนั้น เราได้
กราบทูลบุรพกรรมอย่างแจ่มแจ้ง กะพระพุทธเจ้า
ว่า

เพราะปัจจัยแห่งความบริสุทธิ์ในปางก่อน
ข้าพระองค์จึงมิได้พบพระองค์ ผู้ทรงพระลักษณะ
แห่งบุญตั้งร้อยเสียนาน วันนี้ ข้าพระองค์ได้เห็น
แล้วหนอ ข้าพระองค์เห็นพระสรีระของพระองค์
อันหาสิ่งอะไรเปรียบมิได้
ข้าพระองค์ตามหาพระองค์มานานนักแล้ว
ตัณหานี้ข้าพระองค์ทำให้เหือดแห้งไปโดยไม่
เหลือด้วยอินทรีย์สิ้นกาลนาน ข้าพระองค์ชำระ
นิพพานให้หมดมลทินได้ โดยกาลนาน ข้าแต่
พระมหามุนี นัยน์ตาอันสำเร็จด้วยญาณ ถึงความ
พร้อมเพรียงแก่พระองค์ได้ ก็สิ้นเวลานานนัก
ข้าพระองค์พินาศไปเสียในระหว่าง อีกเป็นเวลา
นาน วันนี้ได้สมาคมกับพระองค์อีก ข้าแต่พระ-
โคดม กรรมที่ข้าพระองค์ได้ทำไว้ จะไม่พินาศไป
เลย.
เราเผากิเลสทั้งหลายแล้ว. . . คำสอนของ
พระพุทธเจ้าเราได้ทำเสร็จแล้ว ดังนี้.
ทราบว่า ท่านพระธรรมรุจิเถระได้ภาษิตคาถาเหล่านี้ ด้วยประการ
ฉะนี้แล.
จบธรรมรุจิเถราปทาน

489. อรรถกถาธรรมรุจิเถราปทาน



พึงทราบเรื่องราวในอปทานที่ 9 ดังต่อไปนี้ :-
บทว่า ตทาหํ มาณโว อาสึ ความว่า สุเมธบัณฑิตได้รับพยากรณ์
จากสำนักของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่าทีปังกรในกาลใดในกาลนั้นเรา
ชื่อว่า เมฆะ เป็นพราหมณ์หนุ่มบวชเป็นฤาษีร่วมกับสุเมธดาบส ศึกษาใน
สิกขาบททั้งหลายจบแล้วคลุกคลีกับเพื่อนชั่วบางคนเข้า เพราะโทษที่คลุก-
คลีสมาคมกันจึงตกไปในอำนาจแห่งวิตกที่ลามกเป็นต้น ด้วยกรรมคือการ
ฆ่ามารดา จึงได้เสวยทุกข์อันเนื่องด้วยเปลวไฟเป็นต้นในนรก จุจิจากอัตภาพ
นั้นแล้ว ได้บังเกิดเป็นปลาใหญ่ชื่อ ติมิงคละ ในมหาสมุทร มีความประสงค์
จะกลืนเรือใหญ่ที่แล่นไปในท่ามกลางมหาสมุทร จึงได้ว่ายไป พวกพ่อค้า
เห็นเราเข้าจึงกลัวร้องเสียงดังว่า โอ พระผู้มีพระภาคเจ้าโคดม ลำดับนั้น
ด้วยอำนาจวาสนาที่ได้อบรมมาในกาลก่อน ปลาใหญ่จึงเกิดความเคารพใน
พระพุทธเจ้า จุติจากอัตภาพนั้นแล้ว ได้บังเกิดในตระกูลพราหมณ์ที่สมบูรณ์
ด้วยสมบัติในกรุงสาวัตถี มีศรัทธาเลื่อมใส ได้ฟังพระธรรมเทศนาของพระ
ศาสดาแล้วบวช ได้บรรลุพระอรหัตพร้อมด้วยปฏิสัมภิทา 4 ได้ไปสู่ที่บำรุง
วันละ 3 ครั้ง ระลึกถึงไหว้อยู่ ในกาลนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสกะ
เราว่า เป็นผู้ยินดีในธรรมได้นาน. ลำดับนั้น พระเถระรูปนั้นกล่าวชมเชย
ด้วยคาถาเป็นต้นว่า สุจิรํ สตปุญฺญลกฺขณํ ผู้ทรงพระลักษณะแห่งบุญตั้งร้อย
เสียนานดังนี้ ข้าแต่พระโคดมผู้ทรงพระลักษณะแห่งบุญตั้งร้อยผู้เจริญ. บทว่า
ปติปุพฺเพน วิสุทฺธปจฺจยํ ความว่า ข้าพเจ้ามิได้พบเห็นท่านผู้มีปัจจัยสมภารที่
บำเพ็ญมาจนบริบูรณ์ ณ บาทมูลของพระพุทธเจ้าทีปังกรในกาลก่อนเสียนาน