เมนู

สุรุจิพราหมณกถา


ฝ่ายชนชาวรัมมนคร ครั้นเข้าไปยังนครแล้ว ก็ได้ถวายมหาทานแก่
ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน. พระศาสดาได้ทรงแสดงธรรมแก่
พวกเขา ให้มหาชนดำรงอยู่ในสรณะเป็นต้น แล้วเสด็จออกจากรัมมนคร
ต่อจากนั้น พระองค์ทรงดำรงอยู่ตลอดชั่วพระชนมายุ ทรงกระทำ
พุทธกิจครบทุกอย่างแล้ว ปรินิพพานด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุโดย
ลำดับ. คำทั้งหมดที่ควรจะกล่าวในเรื่องนั้น พึงทราบโดยพิสดารตามนัย
ที่กล่าวไว้ในพุทธวงศ์แล. จริงอยู่ ท่านกล่าวไว้ในพุทธวงศ์นั้นว่า
ครั้งนั้น ชนเหล่านั้นอังคาสพระโลกนายกพร้อมทั้งพระ-
สงฆ์แล้ว ได้ถึงพระศาสดาที่ปังกรพระองค์นั้นเป็นสรณะ.
พระตถาคตทรงยังบางคนให้ตั้งอยู่ในสรณคมน์ บางคน
ให้ตั้งอยู่ในศีล 5 อีกพวกให้ตั้งอยู่ในศีล 10.
ทรงประทานสามัญผลอันสูงสุดทั้ง 4 แก่บางคน ทรง
ประทานธรรมที่ไม่มีสิ่งใดเสมอคือปฏิสัมภิทาแก่บางคน.
บางคน พระนราสภก็ทรงประทานสมาบัติ 8 อันประเสริฐ
บางคนก็ทรงมอบให้วิชชา 3 และอภิญญา 6.
พระมหามุนีทรงสั่งสอนหมู่ชน ด้วยความพยายามนั้น
เพราะเหตุนั้น ศาสนาของพระโลกนาถจึงได้แผ่ไพศาลไป.
พระพุทธเจ้าผู้มีพระนามว่าทีปังกร ผู้มีพระหนุใหญ่ มี
ต้นพระศอดังคอของโคผู้ ทรงยังชนเป็นอันมากให้ข้ามพ้น
ทรงปลดเปลื้องทุคติให้.

พระมหามุนีทรงเห็นชนที่พอจะแนะนำให้ตรัสรู้ได้ แม้
ในที่แสนโยชน์ ก็เสด็จเข้าไปหาโดยครู่เดียว ให้เขาตรัสรู้ได้.
ในการตรัสรู้มรรคผลครั้งแรก พระพุทธเจ้าให้สัตว์ร้อย-
โกฏิได้ตรัสรู้ ในการตรัสรู้มรรคผลครั้งที่สอง พระนาถะให้
สัตว์เก้าโกฏิได้ตรัสรู้.
ก็ในกาลใด พระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงธรรมในเทวพิภพ
ในกาลนั้น การตรัสรู้มรรคผลครั้งที่สาม ได้มีแก่สัตว์เก้า
หมื่นโกฏิ.
การประชุมของพระศาสดาทีปังกรได้มี 3 ครั้ง การประ-
ชุมครั้งแรกมีชนแสนโกฏิ.
อีกครั้ง เมื่อพระชินเจ้าประทับอยู่วิเวกที่ยอดเขานารทะ
พระขีณาสพผู้ปราศจากมลทินร้อยโกฏิประชุมกัน.
ในกาลใด พระมหาวีระประทับอยู่บนยอดเขาสุทัสสนะ
ในกาลนั้น พระมหามุนีทรงห้อมล้อมด้วยพระขีณาสพเก้า-
หมื่นโกฏิ.
สมัยนั้นเราเป็นชฎิลมีตบะกล้า สำเร็จอภิญญา 5 เหาะ
ไปกลางอากาศ.
การตรัสรู้ธรรม โดยการนับว่า ได้มีแก่สัตว์หนึ่งหมื่น สอง
หมื่น การตรัสรู้ธรรมมิได้นับว่า ได้มีแก่หนึ่งคนหรือสองคน
ในกาลนั้น ศาสนานี้ของพระผู้มีพระภาคเจ้าทีปังกร แผ่ไป
กว้างขวาง ชนรู้กันมากมาย แพร่หลายบริสุทธิ์ผุดผ่อง.

พระขีณาสพสี่แสนได้อภิญญา 6 มีฤทธิ์มาก ห้อมล้อม
พระทีปังกรผู้ทรงรู้แจ้งโลกอยู่ทุกเมื่อ.
สมัยนั้น ใคร ๆ ก็ตาม จะละภพมนุษย์ไป เขาเหล่านั้น
มิได้บรรลุพระอรหัต ยังเป็นเสขบุคคล จะต้องถูกเขาตำหนิ
ติเตียน.
พระพุทธศาสนาก็เบิกบานไปด้วยพระอรหันต์ผู้คงที่ เป็น
พระขีณาสพ ปราศจากมลทิน งดงามอยู่ในกาลทุกเมื่อ.
พระศาสดาทีปังกร มีนครนามว่ารัมมวดี มีกษัตริย์นามว่า
สุเทวะเป็นพระชนก มีพระเทวีนามว่าสุเมธาเป็นพระชนนี.
พระองค์ทรงครองเรือนอยู่หมื่นปี มีปราสาทอย่างดีที่สุด
สามหลัง ชื่อว่าหังสา โกญจา และมยุรา.
มีเหล่านารีแต่งตัวสวยงามจำนวนสามแสน มีจอมนารี
นามว่า ปทุมา มีพระโอรสนามว่า อุสภักขันธะ.
พระองค์หรงเห็นนิมิต 4 ประการ จึงเสด็จออกบวชด้วยยาน
คือช้าง พระชินเจ้าทรงตั้งปธานความเพียรอยู่ 10 เดือนถ้วน.
พระมุนีทรงบำเพ็ญเพียรทางใจได้ตรัสรู้แล้ว พระมหามุนี
ทีปังกรผู้สงบ อันพรหมทูลอาราธนาแล้ว.
พระมหาวีระ ทรงประกาศพระธรรมจักร ในตำหนักอัน
ประกอบด้วยสิริในนันทาราม ประทับนั่งที่โคนต้นซึก ได้ทรง
กระทำการย่ำยีพวกเดียรถีย์.
มีพระอัครสาวก คือพระสุมังคละและพระติสสะ พระ-
ศาสดาทีปังกรมีพระอุปัฏฐากนามว่าสาคตะ.

มีพระอัครสาวิกา คือพระนางนันทาและพระนางสุนันทา
ต้นไม้ที่ตรัสรู้ของพระผู้มีพระภาคเจ้านั้น เรียกกันว่าต้น-
ปิปผลิ.
มีอัครอุปัฏฐากนามว่าตปุสสะ และภัลลิกะ นางสิริมา
และนางโกณาเป็นอุปัฏฐากยิกาของพระศาสดาที่ปังกร.
พระมหามุนีทีปังกรมีพระวรกายสูง 80 ศอก ทรงงดงาม
ประดุจต้นไม้ประจำทวีป และดุจต้นพญาไม้สาละมีดอกบาน
สะพรั่ง.
รัศมีของพระองค์วิ่งวนไปรอบ ๆ 12 โยชน์ พระมเหสีเจ้า
พระองค์นั้นมีพระชนมายุได้แสนปี พระองค์ดำรงอยู่เพียงนั้น
ทรงยังชุมชนเป็นอันมากให้ข้ามได้แล้ว.
พระองค์พร้อมทั้งสาวกทรงยังพระสัทธรรมให้สว่างไสว
ยังมหาชนให้ข้ามได้แล้ว ทรงรุ่งโรจน์ดุจกองไฟแล้วนิพพาน
ไป.
พระฤทธิ์ พระยศ และพระจักรรัตนะที่พระบาททั้งสอง
ทั้งหมดนั้นอันตรธานหายไปแล้ว สังขารทั้งปวงเป็นของ
ว่างเปล่าแน่แท้ ดังนี้.
พระชินเจ้าผู้ศาสดา พระนามว่าทีปังกร เสด็จนิพพานที่
นันทาราม ณ ที่นั้นมีพระชินสถูปของพระองค์สูง 36 โยชน์
แล.

ก็ในกาลต่อจากพระผู้มีพระภาคเจ้าทีปังกร ล่วงมาได้หนึ่งอสงไข
พระศาสดาพระนามว่า โกณฑัญญะ เสด็จอุบัติขึ้น. แม้พระศาสดา

พระองค์นั้น ก็ได้มีสาวกสันนิบาต 3 ครั้ง. สันนิบาตครั้งแรก มีพระ-
สาวกแสนโกฏิ สันนิบาตครั้งที่ 2 มีพระสาวกพันโกฏิ สันนิบาตครั้ง
ที่ 3 มีพระสาวกเก้าสิบโกฏิ.
ในครั้งนั้น พระโพธิสัตว์เป็นพระเจ้าจักรพรรติพระนามว่า วิชิตาวี
ได้ถวายมหาทานแก่ภิกษุสงฆ์แสนโกฏิมีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน. พระ-
ศาสดาทรงพยากรณ์พระโพธิสัตว์ว่า จักได้เป็นพระพุทธเจ้า แล้วทรง
แสดงธรรม. พระโพธิสัตว์นั้น ทรงสดับธรรมกถาของพระศาสดาแล้ว
สละราชสมบัติออกบวช เรียนพระไตรปิฎก ทำสมาบัติ 8 และอภิญญา 5
ให้เกิดขึ้น มีฌานไม่เสื่อม ไปเกิดในพรหมโลก.
ก็พระโกณฑัญญพุทธเจ้า มีนครชื่อว่า รัมมวดี กษัตริย์พระนามว่า
สุนันทะ เป็นพระชนก พระเทวีพระนามว่า สุชาดา เป็นพระชนนี
พระเถระทั้งสอง คือ พระภัททะ และ พระสุภัททะ เป็นพระอัครสาวก
พระเถระนามว่า อนุรุทธะ เป็นพระอุปัฏฐาก พระเถรีทั้งสอง คือ
พระติสสา และ พระอุปติสสา เป็นพระอัครสาวิกา ต้นขานาง
เป็นไม้ที่ตรัสรู้ พระสรีรกายสูง 88 ศอก ประมาณพระชนมายุได้
แสนปี.
ต่อจากพระทีปังกร ก็มีพระนายกพระนามว่าโกณฑัญญะ
มีพระเดชหาที่สุดมิได้ มีพระยศนับไม่ได้ มีพระคุณหา
ประมาณมิได้ เข้าถึงได้แสนยาก.

ในกาลต่อจากพระโกณฑัญญะพุทธเจ้านั้น ล่วงไปหนึ่งอสงไขย
ในกัปเดียวกันนั่งเอง มีพระพุทธเจ้า 4 พระองค์ บังเกิดขึ้นแล้ว คือ
พระมังคละ พระสุมนะ พระเรวตะ พระโสภิตะ พระผู้มีพระภาคเจ้า

พระนามว่า มังคละ ได้มีการประชุมสาวก 3ครั้ง ในการประชุมครั้งแรก
มีภิกษุแสนโกฏิ ครั้งที่ 2 แสนโกฏิ ครั้งที่ 3 เก้าสิบโกฏิ.
ได้ยินว่า พระภาคาต่างพระมารดาของพระองค์ พระนามว่า
อานันทกุมาร ได้เสด็จมายังสำนักของพระศาสดา เพื่อต้องการฟังธรรม
พร้อมกับบริษัทนับได้เก้าสิบโกฏิ พระศาสดาตรัสอนุบุพพิกถาแก่พระองค์
พระองค์พร้อมกับบริษัทได้บรรลุพระอรหัตพร้อมด้วยปฏิสัมภิทา. พระ-
ศาสดาทรงตรวจดูบุพจริยาของกุลบุตรเหล่านั้น ทรงเห็นอุปนิสัยแห่ง
บาตรและจีวรอันสำเร็จด้วยฤทธิ์ จึงทรงเหยียดพระหัตถ์เบื้องขวาตรัสว่า
พวกเธอจงเป็นภิกษุมาเถิด. ในขณะนั้นเอง เขาทั้งหมดก็ทรงบาตรและ
จีวรอันสำเร็จด้วยฤทธิ์ สมบูรณ์ด้วยอากัปกิริยาประดุจพระเถระมีพรรษา
ได้ 60 ถวายบังคมพระศาสดาแล้ว ห้อมล้อมอยู่. นี้ได้เป็นการประชุม
พระสาวกครั้งที่ 3
ของพระองค์. ก็พระพุทธเจ้าองค์อื่น ๆ ได้มีพระ-
รัศมีจากพระสรีระโดยรอบประมาณ 80 ศอกเท่านั้น ฉันใด แต่ของ
พระมังคละนั้น หาเป็นเหมือนฉันนั้นไม่ ก็พระรัศมีจากพระสรีระของ
พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น ได้แผ่ไปตลอดหมื่นโลกธาตุตั้งอยู่เป็นนิตยกาล.
ต้นไม้ แผ่นดิน ภูเขา และทะเล เป็นต้น โดยที่สุดจนชั้นหม้อข้าว
เป็นต้น ได้เป็นเหมือนหุ้มด้วยแผ่นทองคำ.
อนึ่ง ประมาณพระชนมายุของพระองค์ได้เก้าหมื่นปี. ตลอดเวลา
ประมาณเท่านี้ พระจันทร์และพระอาทิตย์เป็นต้น ไม่สามารถจะส่องแสง
ด้วยรัศมีของตน การกำหนดกลางคืนและกลางวันไม่ปรากฏมี ตอน
กลางวัน เหล่าสัตว์ท่องเที่ยวไปด้วยแสงสว่างของพระพุทธเจ้านั่นแหละ
เหมือนกับ แสงสว่างของพระอาทิตย์ ชาวโลกกำหนดขั้นตอนของกลางคืน

และกลางวัน ด้วยอำนาจแห่งดอกไม้ที่บานในตอนเย็น และนกร้อง
เป็นต้นในตอนเช้า.
ถามว่า ก็พระพุทธเจ้าองค์อื่น ๆ ไม่มีอานุภาพนี้หรือ ?
ตอบว่า ไม่มีหามิได้.
จริงอยู่ พระพุทธเจ้าแม้เหล่านั้น เมื่อทรงมุ่งหวัง จะพึงแผ่พระ-
รัศมีไปตลอดหมื่นโลกธาตุหรือยิ่งกว่านั้น ก็พระรัศมีจากพระสรีระของ
พระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่ามังคละ ได้แผ่ไปตลอดหมื่นโลกธาตุตั้งอยู่
เป็นนิตย์ทีเดียว เหมือนพระรัศมีด้านละวาของพระพุทธเจ้าองค์อื่น ๆ
ด้วยอำนาจความปรารถนาในกาลก่อน.
ได้ยินว่า ในคราวยังประพฤติจริยาของพระโพธิสัตว์ พระองค์
ดำรงอยู่ในอัตภาพ เช่นกับพระเวสสันดร พร้อมทั้งบุตรและภรรยา อยู่
ที่ภูเขาเช่นกับเขาวังกบรรพต. ครั้งนั้น มียักษ์ตนหนึ่งชื่อว่า ขรทาฐิกะ
ได้ทราบว่าพระมหาบุรุษมีอัธยาศัยในการให้ทาน จึงเข้าไปหาด้วยเพศของ
พราหมณ์ ขอทารกทั้งสองกะพระมหาสัตว์. พระมหาสัตว์ตรัสว่า
พราหมณ์ เราให้บุตรน้อยทั้งสอง ดังนี้แล้วร่าเริงบันเทิงใจ ได้ให้ทารก
ทั้งสอง ทำให้แผ่นดินมีน้ำเป็นขอบเขตหวั่นไหว. ยักษ์ยืนพิงพนักพิงใน
ที่สุดของที่จงกรม เมื่อพระมหาสัตว์กำลังเห็นอยู่นั่นแหละ ได้กินทารก
ทั้งสองเหมือนกำรากไม้ แม้เพราะมองดูยักษ์ ได้เห็นปากของมันกำลัง
หลั่งสายเลือดออกมาประดุจเปลวไฟ ในปากที่พออ้าขึ้น ความโทมนัส
แม้เท่าปลายผมมิได้เกิดขึ้นแก่พระมหาสัตว์ ก็เมื่อพระมหาสัตว์นั้นคิดอยู่
ว่า ทานอันเราให้ดีแล้วหนอ ปีติและโสมนัสอย่างใหญ่หลวงก็เกิดขึ้นใน
สรีระ เขาปรารถนาว่า ด้วยผลแห่งทานของเรานี้ ในอนาคตกาล ขอให้

รัศมีจงฉายออกจากสรีระโดยทำนองนี้ทีเดียว เพราะอาศัยความปรารถนา
รัศมีทั้งหลายจึงฉายออกจากพระสรีระของพระองค์ตอนเป็นพระพุทธเจ้า
แผ่ซ่านไปตลอดที่ประมาณเท่านี้.
บุรพจริตของพระองค์แม้อื่นอีกก็ยังมี. ได้ยินว่า พระองค์ในกาล
เป็นพระโพธิสัตว์ ได้เห็นพระเจดีย์ของพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง คิดว่า
เราควรบริจาคชีวิตแก่พระพุทธองค์นี้ จึงพันสรีระทั้งสิ้น โดยทำนอง
อย่างพันประทีปด้าม เอาเนยใสใส่เต็มถาดทองคำมีค่าหนึ่งแสน สูง
ประมาณศอกกำ จุดไส้พันไส้ในถาดทองนั้น เอาถาดทองนั้นทูนศีรษะ
แล้วให้จุดไฟทั่วตัว กระทำประทักษิณพระเจดีย์ให้เวลาล่วงไปตลอดทั้ง
คืน เมื่อพระโพธิสัตว์นั้นแม้จะพยายามอยู่อย่างนั้นจนอรุณขึ้น ความ
ร้อนก็มิได้ระคายเคืองแม้สักว่าขุมขน ได้เป็นเหมือนเวลาเข้าไปยังห้อง
ดอกปทุม. จริงอยู่ ชื่อว่า ธรรมนี้ย่อมรักษาคนผู้รักษาตน. ด้วยเหตุนั้น
พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า
ธรรมแลย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม ธรรมที่บุคคลประพฤติ
ดีแล้วย่อมนำความสุขมาให้ นี้เป็นอานิสงส์ในธรรมที่ประ-
พฤติดีแล้ว ผู้มีปกติประพฤติธรรมย่อมไม่ไปสู่ทุคติ
ดังนี้.
เพราะผลแห่งกรรมแม้นี้ แสงสว่างจากสรีระของพระผู้มีพระภาคเจ้า
พระองค์นั้น จึงได้แผ่ไปตั้งอยู่ตลอดหมื่นโลกธาตุ.
ในกาลนั้น พระโพธิสัตว์ของเราทั้งหลาย เป็นพราหมณ์นามว่า
สุรุจิ คิดว่าจักนิมนต์พระศาสดา จึงเข้าไปเฝ้าฟังธรรมกถาอันไพเราะ
แล้วกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระองค์จงรับภิกษาของ
ข้าพระองค์ในวันพรุ่งนี้. พระศาสดาตรัสถามว่า พราหมณ์ ท่านต้องการ

ภิกษุเท่าไร ? พราหมณ์กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็ภิกษุผู้เป็น
บริวารของพระองค์มีประมาณเท่าไร. ในคราวนั้น พระศาสดาทรงมีการ
ประชุมเป็นครั้งแรกพอดี เพราะฉะนั้น จึงตรัสว่า มีภิกษุแสนโกฏิ.
พราหมณ์กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระองค์พร้อมกับภิกษุ
ทั้งหมด จงทรงรับภิกษาของข้าพระองค์เถิด. พระศาสดาทรงรับนิมนต์
แล้ว.
พราหมณ์ทูลนิมนต์เพื่อให้เสวยในวันพรุ่งนี้แล้ว จึงไปเรือนคิดว่า
เราอาจถวายยาคู. ภัต และผ้าเป็นต้น แก่ภิกษุทั้งหลายประมาณเท่านี้ได้
แค่ที่สำหรับนั่งจักมีได้อย่างไร.
ความคิดนั้นของเขา ทำให้เกิดความร้อนแก่บัณฑุกัมพลศิลาอาสน์
ของท้าวเทวราชผู้ประทับอยู่ในที่สุดแปดหมื่นสี่พันโยชน์. ท้าวสักกะทรง
ดำริว่า ใครหนอมีความประสงค์จะให้เราเคลื่อนจากที่นี้ จึงทรงตรวจดู
ด้วยทิพยจักษุ ก็ได้เห็นพระมหาบุรุษ จึงทรงดำริว่า พราหมณ์นามว่าสุรุจิ
นิมนต์ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน แล้วคิดเพื่อต้องการที่นั่ง แม้
เราก็ควรไปในที่นั้นแล้วถือเอาส่วนบุญ จึงทรงนิรมิตร่างเป็นช่างไม้ ถือ
มีดและขวานไปปรากฏเบื้องหน้าของมหาบุรุษกล่าวว่า ใคร ๆ มีกิจที่จะ
ต้องทำด้วยการจ้างบ้าง.
พระมหาบุรุษเห็นช่างไม้นั้นแล้ว จึงกล่าวว่า ท่านจักทำงานอะไร.
ท้าวสักกะตรัสว่า ขึ้นชื่อว่าศิลปะที่เราจะไม่รู้ ย่อมไม่มี ผู้ใดจะให้ทำงาน
ใด จะเป็นบ้านหรือมณฑปก็ตาม เรารู้ที่จะให้งานนั้นแก่ผู้นั้น. พระ-
มหาบุรุษกล่าวว่า ถ้าอย่างนั้น เรามีงาน. ท้าวสักกะตรัสถามว่า งาน

อะไรนาย พระมหาบุรุษกล่าวว่า เรานิมนต์ภิกษุแสนโกฏิมาฉันพรุ่งนี้
เราจักกระทำมณฑปสำหรับนั่งของภิกษุเหล่านั้น. ท้าวสักกะตรัสว่า
ธรรมดาเรากระทำได้ ถ้าท่านสามารถให้ค่าจ้างเรา. พระมหาบุรุษกล่าวว่า
เราสามารถ พ่อ. ท้าวสักกะจึงกล่าวว่า ดีแล้ว เราจักทำ แล้วไปแลดู
สถานที่แห่งหนึ่ง. สถานที่ประมาณสิบสองสิบสามโยชน์ได้มีพื้นที่ราบเรียบ
เสมือนมณฑลกสิณ. ท้าวสักกะนั้นทรงแลดูแล้วคิดว่า ในที่มีประมาณ
เท่านี้ มณฑปอันล้วนแล้วด้วยรัตนะทั้ง 7 จงผุดขึ้น. ทันใดนั้น มณฑป
ก็ชำแรกแผ่นดินผุดขึ้นมา.
มณฑปนั้น ที่เสาอันล้วนด้วยทองคำ มีปุ่มแล้วด้วยเงิน ที่เสาอัน
ล้วนด้วยเงิน มีปุ่มล้วนด้วยทองคำ ที่เสาอันล้วนด้วยแก้วมณี มีปุ่มล้วน
ด้วยแก้วประพาฬ ที่เสาล้วนด้วยแก้วประพาฬ มีปุ่มล้วนด้วยแก้วมณี ที่
เสาอันล้วนด้วยรัตนะทั้ง 7 มีปุ่มล้วนด้วยรัตนะทั้ง 7. ต่อจากนั้น จึง
ทรงแลดูด้วยพระดำริว่า ตาข่ายกระดึงจงห้อยย้อยในระหว่าง ๆ ของ
มณฑป. พร้อมกับทรงมองดูเท่านั้น ตาข่ายก็ห้อยย้อยลง เสียงอันไพเราะ
ของตาข่ายกระดึงซึ่งถูกลมอ่อนรำเพยพัดก็เปล่งเสียงออกมา ดุจเสียงดนตรี
อันประกอบด้วยองค์ 5 ดูราวกับเวลาที่สังคีตทิพย์บรรเลงอยู่ฉะนั้น.
เมื่อท้าวสักกะทรงพระดำริว่า ขอให้พวงของหอมและพวงดอกไม้
จงห้อยย้อยลงในระหว่าง ๆ พวงดอกไม้ทั้งหลายก็ห้อยย้อยลง. พระองค์
ทรงพระดำริว่า ขออาสนะและแท่นรองนั่งของภิกษุนับได้แสนโกฏิ จง
ชำแรกแผ่นดินผุดขึ้นมา ในทันใดนั้น สิ่งเหล่านั้นก็ผุดขึ้นมา. ทรง
พระดำริว่า ที่ทุก ๆ มุม ขอให้ตุ่มน้ำผุดขึ้นมามุมละใบ ตุ่มน้ำทั้งหลาย
ก็ผุดขึ้นมา.

ท้าวสักกะทรงนิรมิตสิ่งของมีประมาณเท่านี้เสร็จแล้ว จึงไปยัง
สำนักของพราหมณ์กล่าวว่า มาเถิด เจ้า ท่านจงตรวจดูมณฑปของท่าน
แล้วจงให้ค่าจ้างเรา. พระมหาบุรุษจึงไปตรวจดูมณฑป และเมื่อกำลัง
ตรวจดูอยู่นั้นแล สรีระทั้งสิ้นได้สัมผัสกับปีติมีวรรณะ 5 ชนิดตลอดเวลา
ลำดับนั้น เขามองดูมณฑปแล้วได้มีความคิดดังนี้ว่า มณฑปนี้ ผู้
ที่เป็นมนุษย์กระทำไม่ได้ แต่เพราะอัธยาศัยของเรา คุณของเรา ภพ
ของท้าวสักกะจักร้อนขึ้นเป็นแน่ แต่นั้น ท้าวสักกะเทวราชจักสร้าง
มณฑปนี้ขึ้น. เขาคิดว่า การถวายทานเพียงวันเดียวเท่านั้น ในมณฑป
เห็นปานนี้ ไม่สมควรแก่เราเลย เราจักถวายสัก 7 วัน. จริงอยู่ ทาน
ภายนอกแม้มีประมาณเท่านั้น ย่อมไม่สามารถทำความยินดีให้แก่พระ-
โพธิสัตว์ทั้งหลาย ก็ชื่อว่าความยินดีจะมีได้ เพราะอาศัยการบริจาคของ
พระโพธิสัตว์ทั้งหลาย ในคราวตัดศีรษะที่ประดับแล้ว ควักนัยน์ตาทั้งสอง
ข้างที่หยอดแล้ว หรือเพิกเนื้อหทัยให้ไป.
จริงอยู่ เมื่อพระโพธิสัตว์แม้ของพวกเราสละทรัพย์ห้าแสนกหาปณะ
ทุกวัน ให้ทานที่ประตูทั้ง 4 ประตู และที่ท่ามกลางนคร ในเรื่อง
สีวิราชชาดก ทานนั้นไม่สามารถทำความยินดีในการบริจาคให้เกิดขึ้นได้
แต่ในกาลใด ท้าวสักกเทวราชแปลงตัวมาในรูปของพราหมณ์ ขอนัยน์ตา
ทั้งสองข้าง ในกาลนั้น เมื่อพระโพธิสัตว์ควักนัยน์ตาเหล่านั้น ให้ไป
นั่นแหละ ความร่าเริงจึงจะเกิดขึ้น จิตมิได้มีความเป็นอย่างอื่น แม้
สักเท่าปลายผม ขึ้นชื่อว่าความอิ่มใจเพราะอาศัยทานที่ให้แล้วอย่างนี้
มิได้มีแก่พระโพธิสัตว์ทั้งหลายเลย. เพราะเหตุนั้น พระมหาบุรุษแม้นั้น

ก็คิดว่า เราควรถวายทานแก่ภิกษุนับได้แสนโกฏิ ตลอด 7 วัน จึงนิมนต์
ให้นั่งในมณฑปนั้น แล้วได้ถวายทานชื่อว่าควปานะ ตลอด 7 วัน.
ที่เรียกว่าควปานะนั้น ได้แก่โภชนะที่เขาใส่นมสดจนเต็มหม้อ
ใหญ่ ๆ แล้วตั้งบนเตา ใส่ข้าวสารนิดหน่อยลงในนมสดที่เคี่ยวจนงวด
แล้วปรุงด้วยน้ำผึ้ง น้ำตาลป่น และเนยใสที่เคี่ยวแล้ว. แต่เฉพาะมนุษย์
เท่านั้นไม่อาจอังคาสได้ แม้เทวดา ทั้งต้องสลับกันจึงจะอังคาสได้. แม้
ที่ประมาณ 12-13 โยชน์ก็ไม่อาจจุภิกษุทั้งหลายได้เพียงพอ แต่ภิกษุ
เหล่านั้นนั่งได้ด้วยอานุภาพของตน.
ก็ในวันสุดท้าย พระมหาบุรุษให้ล้างบาตรของภิกษุทุกรูป แล้ว
บรรจุเต็มด้วยเนยใส เนยข้น น้ำมัน น้ำผึ้ง และน้ำอ้อย เพื่อต้องการ
ให้เป็นเภสัช แล้วได้ถวายพร้อมกับไตรจีวร ผ้าสาฎกที่เป็นจีวรที่ภิกษุ
ผู้เป็นสังฆนวกะได้รับ มีราคาถึงหนึ่งแสน.
พระศาสดา เมื่อจะทรงกระทำอนุโมทนา ทรงใคร่ครวญอยู่ว่า
บุรุษนี้ได้ถวายมหาทานเห็นปานนี้ เขาจักได้เป็นอะไรหนอ ได้ทรงเห็น
ว่า ในอนาคตกาล ในที่สุดแห่งสองอสงไขยยิ่งด้วยแสนกัป เขาจักได้
เป็นพระพุทธเจ้าพระนามว่า โคตมะ จึงตรัสเรียกพระมหาบุรุษมาแล้ว
ทรงพยากรณ์ว่า ล่วงกาลชื่อมีประมาณเท่านี้ตัวท่านจักได้เป็นพระพุทธ-
เจ้ามีนามว่า โคตมะ พระมหาบุรุษได้ฟังพยากรณ์นั้นแล้ว คิดว่า นัยว่า
เราจักได้เป็นพระพุทธเจ้า เราจะต้องการอะไรด้วยการอยู่ครองเรือน เรา
จักบวช จึงละทิ้งสมบัติเห็นปานนั้น ประหนึ่งก้อนเขฬะ แล้วบวชใน
สำนักของพระศาสดา เรียนเอาพุทธพจน์ได้แล้ว ทำอภิญญาและสมาบัติ
ให้บังเกิด ในเวลาสิ้นอายุได้บังเกิดในพรหมโลก.

ก็พระผู้มีพระภาคเจ้ามังคละได้มีนครชื่อว่า อุตตระ แม้บิดาก็
เป็นกษัตริย์พระนามว่าอุตตระ แม้พระมารดาก็เป็นพระเทวีพระนามว่า
อุตตรา พระเถระทั้งสองคือ พระสุเทวะ และพระธรรมเสนะ ได้เป็น
พระอัครสาวก พระเถระนามว่า ปาลิตะ เป็นพระอุปัฏฐาก พระเถรี
ทั้งสอง คือ พระนางสีวลี และพระนางอโสกา ได้เป็นพระอัครสาวิกา
ต้นกากะทิงเป็นต้นไม้ที่ตรัสรู้ พระสรีระสูงได้ 88 ศอก. เมื่อพระองค์
ดำรงพระชนมายุอยู่เก้าหมื่นปีแล้วปรินิพพาน จักรวาลทั้งหมื่นหนึ่งได้มืด
หมด โดยพร้อมกันทีเดียว. มนุษย์ทั้งหลายในจักรวาลทั้งสิ้น ได้ร้องไห้
ปริเทวนาการอย่างใหญ่หลวง.
กาลภายหลังของพระโกณฑัญญะ พระนายกพระนามว่า
มังคละ ทรงถือดวงประทีปคือพระธรรม กำจัดความมืด
ในโลก ฉะนี้แล.

ในกาลหลังแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นเสด็จปรินิพพาน
กระทำหมื่นโลกธาตุให้มืดด้วยประการอย่างนี้แล้ว พระศาสดาพระนามว่า
สุมนะ เสด็จอุบัติขึ้นในโลก แม้พระองค์ก็มีการประชุมสาวก 3 ครั้ง.
ในการประชุมครั้งแรก มีภิกษุแสนโกฏิ ครั้งที่ 2 ที่กาญจนบรรพต
มีภิกษุเก้าหมื่นโกฏิ ครั้งที่ 3 มีภิกษุแปดหมื่นโกฏิ.
คราวนั้นพระมหาสัตว์ได้เป็นพญานาคนามว่า อตุละ มีฤทธิ์มาก
มีอานุภาพมาก. พระมหาสัตว์นั้นได้สดับว่า พระพุทธเจ้าเสด็จอุบัติขึ้น
แล้ว อันหมู่ญาติห้อมล้อมออกจากนาคพิภพ ให้กระทำการบรรเลงด้วย
ดนตรีทิพย์ถวายแด่พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น ซึ่งมีภิกษุแสนโกฏิ

เป็นบริวาร ยังมหาทานให้เป็นไป ถวายผ้าองค์ละคู่แล้วตั้งอยู่ในสรณ-
คมน์ทั้งสาม.
พระศาสดาแม้นั้นก็ทรงพยากรณ์เขาว่า จักได้เป็นพระพุทธเจ้าใน
อนาคตกาล. พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น ได้มีนครชื่อว่า เมขละ
พระราชาพระนามว่า สุทัตตะ เป็นพระบิดา พระเทวีพระนามว่า สิริมา
เป็นพระมารดา พระเถระทั้งสอง คือ พระสรณะ และพระภาวิตัตตะ
เป็นพระอัครสาวก พระเถระนามว่า อุเทนะ เป็นพระอุปัฏฐาก พระ-
เถรีทั้งสอง คือ พระนางโสณา และพระนางอุปโสณา เป็นพระอัครสาวิกา
ต้นกากะทิงเป็นไม้ที่ตรัสรู้ มีพระสรีระสูง 90 ศอก ประมาณพระชนมายุ
ได้เก้าหมื่นปีพอดี.
กาลภายหลังของพระพุทธเจ้าพระนามว่ามังคละ มีพระ-
นายกพระนามว่าสุมนะ หาผู้เสมอมิได้โดยธรรมทั้งปวง
ทรงสูงสุดกว่าสัตว์ทั้งปวง ฉะนี้แล.

ในกาลภายหลังแห่งพระสุมนะพระองค์นั้น พระศาสดาพระนามว่า
เรวตะ ได้เสด็จอุบัติขึ้น. สาวกสันนิบาตแม้ของพระองค์ได้มี 3 ครั้ง
ในสันนิบาตครั้งแรก นับไม่ได้ ครั้งที่ 2 มีภิกษุแสนโกฏิ ครั้งที่ 3 ก็
เช่นกัน.
ในกาลนั้น พระโพธิสัตว์เป็นพราหมณ์ชื่อว่า อติเทวะ ฟัง
พระธรรมเทศนาของพระศาสดาแล้ว ตั้งอยู่ในสรณะทั้งสาม ประคอง
อัญชลีไว้เหนือศีรษะ ได้ฟังพระคุณในการละกิเลสของพระศาสดาพระ-
องค์นั้น จึงได้บูชาด้วยผ้าอุตราสงค์คือผ้าห่ม. แม้พระองค์ก็ทรงพยากรณ์
เขาว่า จักได้เป็นพระพุทธเจ้า.

ก็พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น มีพระนครชื่อว่า สุธัญญวดี กษัตริย์
พระนามว่า วิปุละ เป็นพระบิดา พระเทวีพระนามว่า วิปุลา เป็น
พระมารดา พระเถระทั้งสอง คือ พระวรุณะ และพระพรหมเทวะ เป็น
พระอัครสาวก พระเถระนามว่า สัมภวะ เป็นพระอุปัฏฐาก พระเถรีทั้งสอง
คือ พระนางภัททา และพระนางสุภัททา เป็นพระอัครสาวิกา ต้นกากะทิง
เป็นต้นไม้ที่ตรัสรู้ พระสรีระสูง 80 ศอก พระชนมายุหกหมื่นปีแล.
กาลภายหลังแห่งพระพุทธเจ้าพระนามว่าสุมนะ มีพระ-
นายกพระนามว่าเรวตะ หาผู้เปรียบปานมิได้ หาผู้เสมอ
เหมือนมิได้ ไม่มีผู้เทียมทัน เป็นพระชินเจ้าผู้สูงสุด ฉะนี้แล.

ในกาลภายหลังแห่งพระเรวตะนั้น พระศาสดาพระนามว่า โสภิตะ
ได้เสด็จอุบัติขึ้น แม้พระองค์ก็มีสาวกสันนิบาต 3 ครั้ง. สันนิบาต
ครั้งแรก มีภิกษุร้อยโกฏิ ครั้งที่ 2 เก้าสิบโกฏิ ครั้งที่ 3 แปดสิบโกฏิ.
ในครั้งนั้น พระโพธิสัตว์เป็นพราหมณ์นามว่า อชิตะ ฟังพระ-
ธรรมเทศนาของพระศาสดาแล้วตั้งอยู่ในสรณะสาม ได้ถวายมหาทานแก่
ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน. แม้พระองค์ก็ได้ทรงพยากรณ์
พระโพธิสัตว์นั้นว่า จักได้เป็นพระพุทธเจ้า.
ก็พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น มีพระนครชื่อว่า สุธรรม พระราชา
พระนามว่า สุธรรม เป็นพระบิดา พระเทวีพระนามว่า สุธรรมา เป็น
พระมารดา พระเถระทั้งสองคือ พระอสมะ และพระสุเนตตะ เป็นพระ-
อัครสาวก พระเถระชื่อว่า อโนมะ เป็นพระอุปัฏฐาก พระเถรีทั้งสองคือ
พระนางนกุลา และพระนางสุชาดา เป็นพระอัครสาวิกา ต้นกากะทิง

เป็นต้นไม้ที่ตรัสรู้ พระองค์มีพระสรีระสูง 58 ศอก มีประมาณพระชนมายุ
เก้าหมื่นปีแล.
กาลภายหลังแห่งพระพุทธเจ้าเรวตะ ก็มีพระนายกพระ-
นามว่าโสภิตะ มีพระทัยตั้งมั่น มีพระทัยสงบ ไม่มีผู้เสมอ
หาคนเปรียบมิได้ ฉะนี้แล.

ในกาลภายหลังแห่งพระโสภิตะนั้น ล่วงไปได้อสงไขยหนึ่ง ใน
กัปเดียวกัน มีพระพุทธเจ้าบังเกิดขึ้น 3 พระองค์ คือ พระอโนมทัสสี
พระปทุมะ และ พระนารทะ.

พระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่า อโนมทัสสี มีสาวกสันนิบาต
3 ครั้ง ครั้งแรกมีภิกษุแปดแสน ครั้งที่ 2 เจ็ดแสน ครั้งที่ 3 หกแสน.
ครั้งนั้น พระโพธิสัตว์ได้เป็นเสนาบดีของยักษ์ตนหนึ่ง มีฤทธิ์มาก
มีอานุภาพมาก. เป็นอธิบดีของยักษ์หลายแสนโกฏิ พระโพธิสัตว์นั้นได้
สดับว่า พระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นแล้ว จึงได้มาถวายมหาทานแก่ภิกษุสงฆ์
มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน พระศาสดาแม้พระองค์นั้นก็ทรงพยากรณ์
พระโพธิสัตว์นั้นว่า จักได้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตกาล.
ก็พระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่าอโนมทัสสี ได้มีพระนครชื่อว่า
จันทวดี พระราชาพระนามว่า ยสวา เป็นพระบิดา พระเทวีพระนามว่า
ยโสธรา เป็นพระมารดา มีพระอัครสาวก 2 องค์ คือ พระนิสภะ
และพระอโนมะ มีพระอุปัฏฐากชื่อว่า วรุณะ มีพระอัครสาวิกา 2 องค์
คือ พระนางสุนทรี และพระนางสุมนา ต้นรกฟ้าเป็นต้นไม้ที่ตรัสรู้
มีพระสรีระสูง 58 ศอก มีพระชนมายุประมาณได้แสนปีแล.

ในกาลภายหลังพระโสภิตพุทธเจ้า พระสัมพุทธเจ้า
พระนามว่าอโนมทัสสี ผู้สูงสุดกว่าสัตว์สองเท้า มีพระยศ
นับไม่ได้ มีพระเดชยากที่ใคร ๆ จะก้าวล่วงได้ ฉะนี้แล.

ในกาลภายหลังแห่งพระอโนมทัสสีพุทธเจ้า มีพระศาสดาพระนามว่า
ปทุมะ เสด็จอุบัติขึ้น แม้พระองค์ก็มีสาวกสันตนิบาต 3 ครั้ง. สันนิบาต
ครั้งแรก มีภิกษุแสนโกฏิ ครั้งที่ 2 มีภิกษุสามแสน ครั้งที่ 3 มีภิกษุ
สองแสน ผู้อยู่ในชัฏป่ามหาวัน ในป่าไม่มีบ้าน.
ครั้งนั้น เมื่อพระตถาคตประทับอยู่ในไพรสณฑ์นั้นนั่นเอง พระ-
โพธิสัตว์เป็นราชสีห์ เห็นพระศาสดาทรงเข้านิโรธสมาบัติ มีจิตเลื่อมใส
จึงไหว้แล้วทำประทักษิณ เกิดปีติโสมนัสบันลือสีหนาทขึ้น 3 ครั้ง ตลอด
7 วันมิได้ละปีติอันมีพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์ เพราะสุขอันเกิดจากปีติ
นั่นเอง จึงไม่ออกไปหากิน กระทำการบริจาคชีวิต ได้เข้าไปยืนเฝ้า
พระผู้มีพระภาคเจ้าอยู่. เมื่อล่วงไปได้ 7 วัน พระศาสดาทรงออกจาก
นิโรธ ทอดพระเนตรเห็นราชสีห์ ได้ทรงดำริว่า เขายังจิตให้เลื่อมใส
แม้ในภิกษุสงฆ์ ก็จักไหว้พระสงฆ์ แล้วทรงดำริว่า ขอภิกษุสงฆ์จงมา.
ทันใดนั่งเอง ภิกษุทั้งหลายก็มา ฝ่ายราชสีห์ก็ทำจิตให้เลื่อมใสในพระ-
ภิกษุสงฆ์. พระศาสดาทรงตรวจดูใจของราชสีห์นั้นแล้วทรงพยากรณ์
ว่า จักได้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตกาล. ก็พระผู้มีพระภาคเจ้าปทุมะ
ได้มีนครชื่อว่า จัมปกะ พระราชาพระนามว่า อสมะ เป็นพระบิดา
พระเทวีพระนามว่า อสมา เป็นพระมารดา มีพระอัครสาวก 2 องค์
คือ พระสาละ และพระอุปสาละ มีพระอุปัฏฐากชื่อว่า วรุณะ
มีพระอัครสาวิกา 2 องค์ คือ พระนางรามา และพระนางสุรามา

ต้นไม้ที่ตรัสรู้ชื่อว่าโสณพฤกษ์ มีพระสรีระสูง 58 ศอก มีพระชนมายุ
แสนปีแล.
กาลภายหลังแห่งพระอโนมทัสสีพุทธเจ้า มีพระสัมพุทธ-
เจ้า พระนามว่าปทุมะโดยพระนาม ผู้สูงสุดกว่าสัตว์สองเท้า
ไม่มีผู้เสมอ ไม่มีบุคคลเปรียบปานได้ ฉะนี้แล.

ในกาลภายหลังแห่งพระพุทธเจ้าพระนามว่าปทุมะนั้น มีพระศาสดา
พระนามว่า นารทะ เสด็จอุบัติขึ้นแล้ว. แม้พระองค์ก็มีสาวกสันนิบาต
3 ครั้ง สันนิบาตครั้งแรก มีภิกษุแสนโกฏิ ครั้งที่ 2 เก้าหมื่นโกฏิ
ครั้งที่ 3 แปดหมื่นโกฏิ
ครั้งนั้น พระโพธิสัตว์บวชเป็นฤๅษี เป็นผู้ปฏิบัติชำนาญใน
อภิญญา 5 และสมาบัติ 8 ถวายมหาทานแก่ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้า
เป็นประธาน ได้กระทำการบูชาด้วยจันทน์แดง. พระศาสดาแม้พระองค์
นั้นก็ทรงพยากรณ์พระโพธิสัตว์นั้นว่า จักได้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต-
กาล.
ก็พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น มีพระนครชื่อว่าธัญญวดี มี
กษัตริย์พระนามว่า สุเทวะ เป็นพระบิดา มีพระเทวีพระนามว่า อโนมา
เป็นพระมารดา มีพระอัครสาวก 2 องค์ คือ พระภัททสาละ และ
พระชิตมิตตะ มีพระอุปัฏฐากชื่อว่า วาเสฏฐะ มีพระอัครสาวิกา
2 องค์ คือ พระนางอุตตรา และพระนางผัคคุนี ต้นไม้ที่ตรัสรู้ชื่อว่า
นหาโสณพฤกษ์ มีพระสรีระสูง 80 ศอก มีพระชนมายุเก้าหมื่นปีแล.
ต่อจากพระพุทธเจ้าพระนามว่าปทุมะ พระสัมพุทธเจ้า

พระนามว่านารทะโดยพระนาม เป็นผู้สูงสุดกว่าสัตว์ 2 เท้า
ไม่มีผู้เสมอ ไม่มีผู้เปรียบปานได้ ฉะนี้แล.

ก็ในกาลต่อจากพระนารทะพุทธเจ้า ในที่สุดแสนกัปแต่กัปนี้ไป
ในกัปเดียวมีพระพุทธเจ้าพระองค์เดียว พระนามว่า ปทุมุตตระ ได้เสด็จ
อุบัติขึ้นแล้ว เเม้พระองค์ก็มีสาวกสันนิบาต 3 ครั้ง สันนิบาตครั้งแรก
มีภิกษุแสนโกฏิ ครั้งที่ 2 ที่เวภารบรรพต มีภิกษุเก้าหมื่นโกฏิ ครั้งที่ 3
มีภิกษุแปดหมื่นโกฏิ.
ครั้งนั้น พระโพธิสัตว์เป็นผู้ครองแคว้นใหญ่ชื่อว่า ชฏิละ ได้ถวาย
ทานพร้อมทั้งจีวรแก่ภิกษุสงฆ์ มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน. พระศาสดา
แม้พระองค์นั้นก็ทรงพยากรณ์พระโพธิสัตว์นั้นว่า จักได้เป็นพระพุทธเจ้า
ในอนาคตกาล. ขึ้นชื่อว่าพวกเดียรถีย์ มิได้มีในกาลแห่งพระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าปทุมุตตระ. เทวดาและมนุษย์ทั้งปวง ได้ถึงพระพุทธเจ้าเท่านั้น
เป็นสรณะ
พระองค์ได้มีนครชื่อว่า หังสวดี กษัตริย์พระนามว่า อานันทะ
เป็นพระบิดา พระเทวีพระนามว่า สุชาดา เป็นพระมารดา มีพระ-
อัครสาวก 2 องค์ คือ พระเทวละ และพระสุชาตะ มีพระอุปัฏฐาก
ชื่อว่า สุมนะ มีพระอัครสาวิกา 2 องค์ คือ พระนางอมิตา และ
พระนางอสมา มีต้นสาละเป็นต้นไม้ที่ตรัสรู้ มีพระสรีระสูง 58 ศอก
รัศมีจากพระสรีระแผ่ไปจดที่ 12 โยชน์โดยรอบ มีพระชนมายุแสนปีแล.
ต่อจากพระพุทธเจ้าพระนามว่านารทะ พระชินสัมพุทธเจ้า
พระนามว่าปทุมุตตระ ผู้สูงสุดกว่าสัตว์ 2 เท้า ผู้ไม่กระเพื่อม
ไหว มีอุปมาดังสาคร ฉะนี้แล.

กาลต่อจากพระพุทธเจ้าพระนามว่าปทุมุตตระนั้น ล่วงไปได้
สามหมื่นกัป ในกัปเดียวกัน มีพระพุทธเจ้า 2 พระองค์ คือ พระสุเมธะ
และพระสุชาตะ ได้บังเกิดขึ้นแล้ว. แม้พระสุเมธพุทธเจ้าก็มีสาวก-
สันนิบาต 3 ครั้ง สันนิบาตครั้งแรกในสุทัสสนนคร มีพระขีณาสพ
ร้อยโกฏิ ครั้งที่ 2 เก้าสิบโกฏิ ครั้งที่ 3 แปดสิบโกฏิ. ครั้งนั้น
พระโพธิสัตว์เป็นมาณพชื่อว่า อุตตระ สละทรัพย์แปดสิบโกฏิที่ฝังเก็บไว้
นั่นแล ถวายมหาทานแก่ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน ฟังธรรม
แล้วตั้งอยู่ในสรณะสาม แล้วออกบวช. พระศาสดาแม้พระองค์นั้นก็ทรง
พยากรณ์พระโพธิสัตว์นั้นว่า จักได้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตกาล.
พระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่าสุเมธะ ได้มีนครชื่อว่า สุทัสสนะ พระ-
ราชาพระนามว่า สุทัตตะ เป็นพระบิดา แม้พระมารดาก็ได้เป็นพระเทวี
พระนามว่า สุทัตตา มีพระอัครสาวก 2 องค์ คือ พระสรณะ และ
พระสัพพกามะ มีพระอุปัฏฐากชื่อว่า สาคระ มีพระอัครสาวิกา 2 องค์
คือ พระนางรามา และพระนางสุรามา ต้นสะเดาเป็นต้นไม้ที่ตรัสรู้
มีพระสรีระสูง 80 ศอก มีพระชนมายุเก้าหมื่นปีแล.
กาลต่อจากพระพุทธเจ้าพระนามว่าปทุมุตตระ มีพระ-
นายกพระนามว่าสุเมธะ ผู้ที่ใคร ๆ จะเข้าถึงได้ยาก มีพระ-
เดชกล้า เป็นพระมุนีผู้สูงสุดในโลกทั้งปวง ฉะนี้แล.

กาลต่อจากพระสุเมธพุทธเจ้า มีพระศาสดาพระนามว่า สุชาตะ
อุบัติขึ้น. แม้พระองค์ก็มีสาวกสันนิบาต 3 ครั้ง สันนิบาตครั้งแรก มีภิกษุ
หกล้าน ครั้งที่ 2 ห้าล้าน ครั้งที่ 3 สี่ล้าน. ครั้งนั้น พระโพธิสัตว์เป็น
พระเจ้าจักรพรรดิ ได้สดับว่า พระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นแล้ว จึงเข้าไปเฝ้า

ฟังธรรม จึงถวายราชสมบัติในมหาทวีปทั้ง 4 พร้อมกับรัตนะทั้ง 7 แก่
ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน แล้วบวชในสำนักของพระศาสดา.
ชาวรัฐทั้งสิ้นต่างถือเอาเงินที่เกิดขึ้นในรัฐ จัดการกิจของตนผู้ทะนุบำรุง
วัดให้สำเร็จ แล้วได้ถวายทานแก่ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน
ตลอดกาลเป็นนิจ. พระศาสดาแม้พระองค์นั้น ก็ทรงพยากรณ์พระโพธิ-
สัตว์นั้นว่า จักได้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตกาล. พระผู้มีพระภาคเจ้า
พระองค์นั้น ได้มีนครชื่อว่าสุมังคละ พระราชาพระนามว่า อุคคตะ
เป็นพระบิดา พระเทวีพระนามว่า ปภาวดี เป็นพระมารดา มีพระอัคร-
สาวก 2 องค์ คือ พระสุทัสสนะ และ พระสุเทวะ มีพระอุปัฏฐาก
ชื่อว่า นารทะ มีพระอัครสาวิกา 2 พระองค์ คือพระนางนาคา และ
พระนางนาคสมานา มีต้นไผ่ใหญ่ เป็นต้นไม้ที่ตรัสรู้. ได้ยินว่า ต้นไผ่
ใหญ่นั้นมีช่องกลวงน้อย มีลำต้นทึบ มีกิ่งใหญ่ ๆ พุ่งขึ้นข้างบนแลดูเจิดจ้า
ประดุจกำหางนกยูง. พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น มีพระสรีระสูง 50
ศอก มีพระชนมายุเก้าหมื่นปีแล.
ในมัณฑกัปนั้นนั่นแล มีพระนายกพระนามว่า สุชาตะ มี
พระหนุดังคางราชสีห์ มีลำพระศอดังคอโคผู้ หาผู้ประมาณ
มิได้ อันใคร ๆ เข้าถึงได้ยาก ฉะนี้แล.

ในกาลต่อจากพระสุชาตพุทธเจ้า ในที่สุดหนึ่งพันแปดร้อยกัป
แต่กัปนี้ไป ในกัปเดียวกัน มีพระพุทธเจ้าบังเกิดขึ้น 3 พระองค์ คือพระ-
ปิยทัสสี พระอรรถทัสสี และพระธรรมทัสสี. แม้พระผู้มีพระภาคเจ้า
ปิยทัสสี ก็มีสาวกสันนิบาต 3 ครั้ง ครั้งที่ 1 มีภิกษุแสนโกฏิ ครั้งที่ 2
มีภิกษุเก้าสิบโกฏิ ครั้งที่ 3 มีภิกษุแปดสิบโกฏิ.

ครั้งนั้น พระโพธิสัตว์เป็นมาณพชื่อว่า กัสสป เป็นผู้เรียนจบ
ไตรเพท ได้ฟังพระธรรมเทศนาของพระศาสดาแล้ว จึงให้สร้างสังฆาราม
โดยบริจาคทรัพย์แสนโกฏิ ตั้งอยู่ในสรณะและศีล. ลำดับนั้นพระศาสดา
ทรงพยากรณ์พระโพธิสัตว์นั้นว่า ต่อล่วงไปหนึ่งพันแปดร้อยกัป จักได้
เป็นพระพุทธเจ้า.
พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นมีนครชื่อว่าอโนมะ. พระราชา
พระนามว่า สุทินนะ เป็นพระบิดา พระเทวีพระนามว่า จันทา เป็น
พระมารดา มีพระอัครสาวก 2 องค์ คือ พระปาลิตะ และพระสรรพ-
ทัสสี
มีพระอุปัฏฐากชื่อว่า โสภิตะ มีพระอัครสาวิกา 2 องค์ คือ
พรนางสุชาตา และพระนางธรรมทินนา มีต้นกุ่มเป็นไม้ตรัสรู้ มี
พระสรีระสูง 80 ศอก มีพระชนมายุเก้าหมื่นปีแล.
กาลต่อจากพระสุชาตพุทธเจ้า พระสยัมภูพระนามว่า
ปิยทัสสี ผู้นำโลก อันใคร ๆ เข้าถึงได้ยาก ผู้เสมอกับ
พระพุทธเจ้าที่ไม่มีผู้เสมอ มีพระยศใหญ่ ฉะนั้นแล.

ในกาลต่อจากพระปิยทัสสีพุทธเจ้านั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าพระ-
นามว่า อรรถทัสสี เสด็จอุบัติขึ้นแล้ว. แม้พระองค์ก็มีสาวกสันนิบาต
3 ครั้ง ครั้งที่ 1 มีภิกษุเก้าล้านแปดแสน ครั้งที่ 2 มีภิกษุแปดล้าน
แปดแสน ครั้งที่ 3 มีภิกษุเท่านั้นเหมือนกัน. ครั้งนั้น พระโพธิสัตว์
เป็นดาบสมีฤทธิ์มากชื่อว่า สุสีมะ นำเอาฉัตรที่ทำด้วยดอกมณฑารพมา
จากเทวโลก แล้วบูชาพระศาสดา. แม้พระองค์ก็ทรงพยากรณ์พระโพธิ-
สัตว์นั้นว่า จักได้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตกาล. พระผู้มีพระภาคเจ้า
นั้น มีนครชื่อว่า โสภณะ พระราชาพระนามว่า สาคระ เป็นพระบิดา

พระเทวีพระนามว่า สุทัสสนา เป็นพระมารดา มีพระอัครสาวก 2 องค์
คือ พระสันตะ และพระอุปสันตะ มีพระอุปัฏฐากชื่อว่า อภยะ มี
พระอัครสาวิกา 2 องค์ คือ พระนางธรรมา และพระนางสุธรรมา ต้น
จำปาเป็นไม้ที่ตรัสรู้ มีพระสรีระสูง 80 ศอก รัศมีจากพระสรีระ ได้
แผ่ไปตั้งอยู่ประมาณหนึ่งโยชน์โดยรอบ มีพระชนมายุแสนปีแล.
ในมัณฑกัปนั้นนั่นแล พระอรรถทัสสีผู้องอาจในหมู่ชน
ขจัดความมืดอย่างใหญ่แล้ว ได้บรรลุพระสัมโพธิญาณอันอุดม
ฉะนี้แล.

ในกาลต่อจากพระอรรถทัสสีพุทธเจ้านั้น พระศาสดาพระนามว่า
ธรรมทัสสี เสด็จอุบัติขึ้นแล้ว. แม้พระองค์ก็มีสาวกสันนิบาต 3 ครั้ง
ครั้งที่ 1 มีภิกษุร้อยโกฏิ ครั้งที่ 2 มีภิกษุเก้าสิบโกฏิ ครั้งที่ 3 มีภิกษุ
แปดสิบโกฏิ. ในครั้งนั้น พระโพธิสัตว์ได้เป็นท้าวสักกเทวราช ได้
กระทำการบูชาด้วยดอกไม้หอมอันเป็นทิพย์ และดนตรีทิพย์. พระศาสดา
แม้พระองค์นั้นก็ทรงพยากรณ์พระโพธิสัตว์นั้น ว่า จักได้เป็นพระพุทธเจ้า
ในอนาคตกาล. พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นมีนครชื่อว่า สรณะ
พระราชาพระนามว่า สรณะ เป็นพระบิดา พระเทวีพระนามว่า สุนันทา
เป็นพระมารดา พระเถระ 2 องค์ คือ พระปทุมะ และพระผุสสเทวะ
เป็นพระอัครสาวก พระเถระชื่อว่า สุเนตตะ เป็นพระอุปัฏฐาก พระ-
เถรี 2 องค์ คือ พระนางเขมา และพระนางสัพพกามา เป็นพระ-
อัครสาวิกา ต้นรัตตังกุรพฤกษ์เป็นไม้ที่ตรัสรู้ ต้นมะกล่ำเครือก็เรียก
ก็พระสรีระของพระองค์สูงได้ 80 ศอก พระชนมายุได้แสนปีแล.

ในมัณฑกัปนั้นนั่นแล พระธรรมทัสสีผู้มีพระยศใหญ่
ทรงกำจัดความมืดมนอนธการแล้วรุ่งโรจน์อยู่ในโลก พร้อม
ทั้งเทวโลก ฉะนี้แล.

ในกาลต่อจากพระธรรมทัสสีพุทธเจ้านั้น ในที่สุดเก้าสิบสี่กัปแต่นี้
ไป ในกัปเดียวมีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่า สิทธัตถะ พระองค์
เดียวเท่านั้น เสด็จอุบัติขึ้นแล้ว. แม้พระองค์ก็มีสาวกสันนิบาต 3 ครั้ง
สันนิบาตครั้งแรก มีภิกษุร้อยโกฏิ ครั้งที่2 เก้าสิบโกฏิ ครั้งที่ 3 แปดสิบ
โกฏิ. ในครั้งนั้น พระโพธิสัตว์เป็นดาบสชื่อว่า มังคละ มีเดชกล้า
สมบูรณ์ด้วยอภิญญาพละ นำเอาผลหว้าใหญ่มาถวายพระคถาคต. พระ-
ศาสดาเสวยผลหว้านั้นแล้ว ทรงพยากรณ์ว่า ในที่สุดเก้าสิบสี่กัป จักได้
เป็นพระพุทธเจ้า. พระผู้มีพระภาคเจ้านั้นมีนครชื่อว่า เวภาระ พระราชา
พระนามว่า ชยเสนะ เป็นพระบิดา พระเทวีพระนามว่า สุผัสสา เป็น
พระมารดา พระเถระ 2 องค์ คือ พระสัมพละ และพระสุมิตตะ เป็น
พระอัครสาวก พระเถระชื่อว่า เรวตะ เป็นพระอุปัฏฐาก พระเถรี 2 องค์
คือ พระนางสีวลา และพระนางสุรามา เป็นพระอัครสาวิกา ต้นกรรณิการ์
เป็นไม้ที่ตรัสรู้ มีพระสรีระสูง 60 ศอก มีพระชนมายุได้แสนปีแล.
หลังจากพระธรรมทัสสีพุทธเจ้า พระโลกนายกพระนาม
ว่าสิทธิธัตถะ ทรงกำจัดความมืดทั้งปวง เหมือนพระอาทิตย์
โผล่ขึ้นแล้ว ฉะนี้แล.

ในกาลต่อจากพระสิทธัตถพุทธเจ้านั้น ในที่สุดเก้าสิบสองกัปแต่นี้
ไป มีพระพุทธเจ้า 2 พระองค์บังเกิดในกัปเดียวกัน คือ พระติสสะ
และพระผุสสะ. พระผู้มีพระภาคเจ้าติสสะ มีสาวกสันนิบาต 3 ครั้ง.

สันนิบาตครั้งแรก มีภิกษุร้อยโกฏิ ครั้งที่ 2 เก้าสิบโกฏิ ครั้งที่ 3 แปด-
สิบโกฏิ.
ครั้งนั้น พระโพธิสัตว์เป็นกษัตริย์พระนามว่า สุชาตะ มีโภค-
สมบัติมาก มียศยิ่งใหญ่ บวชเป็นฤๅษี ได้ถึงความเป็นผู้มีฤทธิ์มาก
สดับว่า พระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นแล้ว จึงถือเอาดอกมณฑารพ ดอกปทุม
และดอกปาริฉัตร อันเป็นทิพย์ ไปบูชาพระตถาคตผู้เสด็จดำเนินไปใน
ท่ามกลางบริษัท 4 ได้กระทำเพดานดอกไม้ในอากาศ. พระศาสดาแม้
พระองค์นั้น ก็ทรงพยากรณ์พระโพธิสัตว์นั้นว่า ในที่สุด 92 กัปแต่นี้ไป
จักได้เป็นพระพุทธเจ้า. พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น มีนครชื่อว่า
เขมะ กษัตริย์พระนามว่า ชนสันธะ เป็นพระบิดา พระเทวีพระนามว่า
ปทุมา เป็นพระมารดา มีพระอัครสาวก 2 องค์ คือ พระพรหมเทวะ
และพระอุทยะ มีพระอุปัฏฐากชื่อว่า สุมนะ มีพระอัครสาวิกา 2 องค์
คือ พระนางผุสสา และพระนางสุทัตตา ต้นประดู่ลายเป็นไม้ที่ตรัสรู้
มีพระสรีระสูง 60 ศอก มีพระชนมายุแสนปีแล.
กาลต่อจากพระสิทธัตถพุทธเจ้า ก็มีพระติสสพุทธเจ้าซึ่ง
ไม่มีผู้เสมอ ไม่มีบุคคลเปรียบปาน มีเดชหาที่สุดมิได้ มี
พระยศนับมิได้ เป็นนายกผู้เลิศในโลกแล.

กาลต่อจากพระติสสพุทธเจ้านั้นไป พระศาสดาพระนามว่า ผุส1สะ
ได้เสด็จอุบัติขึ้นแล้ว. แม้พระองค์ก็มีสาวกสันนิบาต 3 ครั้ง สันนิบาต
ครั้งแรก มีภิกษุหกล้าน ครั้งที่ 2 ห้าล้าน ครั้งที่ 3 สามล้านสองแสน.
ครั้งนั้น พระโพธิสัตว์เป็นกษัตริย์ พระนามว่า วิชิตาวี ทรงละ

1. บางแห่งเป็นปุสสะ.

ราชสมบัติใหญ่ บวชในสำนักของพระศาสดา เรียนพระไตรปิฎกแล้ว
แสดงธรรมกถาแก่มหาชน และบำเพ็ญศีลบารมี. พระศาสดาแม้พระองค์
นั้นก็ทรงพยากรณ์พระโพธิสัตว์นั้นว่า จักได้เป็นพระพุทธเจ้า. พระผู้มี-
พระภาคเจ้าพระองค์นั้น มีนครชื่อว่า กาสี พระราชาพระนามว่า ชยเสนะ
เป็นพระบิดา พระเทวีพระนามว่า สิริมา เป็นพระมารดา มีพระอัคร-
สาวก 2 องค์ คือ พระสุรักขิตะ และ พระธรรมเสนะ มีพระอุปัฏฐาก
ชื่อว่า สภิยะ มีพระอัครสาวิกา 2 องค์ คือ พระนางจาลา และพระนาง
อุปจาลา มีต้นมะขามป้อมเป็นไม้ที่ตรัสรู้ มีพระสรีระสูง 58 ศอก มี
พระชนมายุเก้าหมื่นปีแล.
ในมัณฑกัปนั้นนั่นแล ได้มีพระศาสดาพระนามว่า ผุสสะ
เป็นผู้ยอดเยี่ยม หาผู้เปรียบมิได้ เป็นผู้เสมอด้วยพระพุทธ-
เจ้าซึ่งหาผู้เสมอมิได้ ทรงเป็นนายกผู้เลิศในโลก ฉะนี้แล.

กาลต่อจากพระผุสสะพระองค์นั้น ในกัปที่ 91 แต่นี้ไป พระผู้มี-
พระภาคเจ้าพระนามว่า วิปัสสี เสด็จอุบัติขึ้นแล้ว. แม้พระองค์ก็มีสาวก
สันนิบาต 3 ครั้ง สันนิบาตครั้งแรก มีภิกษุหกล้านแปดแสน ครั้งที่ 2
หนึ่งแสน ครั้งที่ 3 แปดหมื่น. ครั้งนั้น พระโพธิสัตว์เป็นนาคราช
ชื่อว่า อตุละ มีฤทธิ์มากมีอานุภาพมาก ได้ถวายตั่งใหญ่ทำด้วยทอง ขจิต
ด้วยแก้ว 7 ประการ แด่พระผู้มีพระภาคเจ้า แม้พระองค์ก็ทรงพยากรณ์
เขาว่า ในกัปที่ 91 แต่นี้ไป จักได้เป็นพระพุทธเจ้า. พระผู้มีพระภาคเจ้า
พระองค์นั้น มีนครชื่อว่า พันธุมดี พระราชาพระนามว่า พันธุมะ เป็น
พระบิดา พระเทวีพระนามว่า พันธุมดี เป็นพระมารดา มีพระอัคร-
สาวก 2 องค์ คือ พระขัณฑะ และพระติสสะ มีพระอุปัฏฐากชื่อว่า

พระอโสกะ มีพระอัครสาวิกา 2 องค์ คือ พระนางจันทา และพระนาง
จันทมิตตา มีต้นแคฝอยเป็นไม้ที่ตรัสรู้ มีพระสรีระสูง 80 ศอก พระ-
รัศมีจากพระสรีระได้เเผ่ไปตั้งอยู่ 7 โยชน์ ในกาลทุกเมื่อ มีพระชนมายุ
แปดหมื่นปีแล.
กาลต่อจากพระผุสสพุทธเจ้า มีพระสัมพุทธเจ้าพระนาม
ว่าริปัสสีโดยพระนาม ผู้สูงสุดกว่าสัตว์ 2 เท้า ผู้มีจักษุญาณ
ได้เสด็จอุบัติขึ้นแล้วในโลก ฉะนั้นแล.

ในกาลต่อจากพระวิปัสสีพระองค์นั้น ในกัปที่ 31 แต่นี้ไป ได้มี
พระพุทธเจ้า 2 พระองค์ คือ พระสิขี และ พระเวสสภู. แม้พระสิขี
ผู้มีพระภาคเจ้านั้น ก็มีสาวกสันนิบาต 3 ครั้ง สันนิบาตครั้งแรก มีภิกษุ
หนึ่งแสน ครั้งที่ 2 แปดหมื่น ครั้งที่ 3 เจ็ดหมื่น
ครั้งนั้น พระโพธิสัตว์เป็นพระราชาพระนามว่า อรินทมะ ได้
ถวายมหาทานพร้อมทั้งจีวรแก่ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน แล้ว
ถวายช้างแก้ว ซึ่งประดับด้วยแก้ว 7 ประการ แล้วได้ถวายกัปปิยภัณฑ์
ให้มีขนาดเท่าตัวช้าง พระศาสดาแม้พระองค์นั้นก็ทรงพยากรณ์พระโพธิ-
สัตว์นั้นว่า ในกัปที่ 31 แต่นี้ไป จักได้เป็นพระพุทธเจ้า
ก็พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น มีนครชื่อว่า อรุณวดี กษัตริย์พระนามว่า
อรุณ เป็นพระบิดา พระเทวีพระนามว่า ปภาวดี เป็นพระมารดา มี
พระอัครสาวก 2 องค์ คือ พระอภิภู และพระสัมภวะ มีพระอุปัฏฐาก
ชื่อว่า เขมังกร มีพระอัครสาวิกา 2 องค์ คือ พระนางขสิลา และ
พระนางปทุมา มีต้นบุณฑริก (ต้นมะม่วง) เป็นไม้ที่ตรัสรู้ มีพระสรีระ

สูง 70 ศอก พระรัศมีจากพระสรีระได้แผ่ไปตั้งอยู่ 3 โยชน์ มีพระชน-
มายุเจ็ดหมื่นปีแล.
กาลต่อจากพระวิปัสสี ได้มีพระสัมพุทธเจ้าพระนามว่าสิขี
เป็นผู้สูงสุดกว่าสัตว์ 2 เท้า เป็นพระชินเจ้าซึ่งไม่มีผู้เสมอ
หาบุคคลเปรียบปานมิได้ ฉะนี้แล.

ในกาลต่อจากพระสิขีพระองค์นั้น พระศาสดาพระนามว่า เวสสภู
เสด็จอุบัติขึ้นแล้ว. แม้พระองค์มีสาวกสันนิบาต 3 ครั้ง สันนิบาตครั้ง
แรก มีภิกษุแปดหมื่น ครั้งที่ 2 เจ็ดหมื่น ครั้งที่ 3 หกหมื่น.
ในกาลนั้น พระโพธิสัตว์ได้เป็นพระราชาพระนามว่า สุทัสสนะ
ถวายมหาทานพร้อมทั้งจีวรแก่ภิกษุสงฆ์ มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน
แล้วบวชในสำนักของพระเวสสภูนั้น สมบูรณ์ด้วยอาจารคุณ มากไปด้วย
ความยำเกรงและความปีติในพระพุทธรัตนะ. พระผู้มีพระภาคเจ้าแม้พระ-
องค์นั้นก็ทรงพยากรณ์พระโพธิสัตว์นั้นว่า ในกัปที่ 31 แต่นี้ไป จักได้
เป็นพระพุทธเจ้า. ก็พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น มีนครชื่อว่า อโนมะ
พระราชาพระนามว่า สุปปตีตะ เป็นพระบิดา พระเทวีพระนามว่า ยสวดี
เป็นพระมารดา มีพระอัครสาวก 2 องค์คือ พระโสณะ และ พระอุตตระ
มีพระอุปัฏฐากชื่อว่า อุปสันตะ มีพระอัครสาวิกา 2 องค์ คือ พระนาง
รามา และพระนาง สุรามา มีตันสาละเป็นไม้ที่ตรัสรู้ มีพระสรีระสูง
60 ศอก มีพระชนมายุหกหมื่นปีแล.
ในมัณฑกัปนั้นนั่นแล พระชินเจ้าพระองค์นั้น พระนามว่า
เวสสภู โดยพระนาม ไม่มีผู้เสมอ หาบุคคลเปรียบปานมิได้
เสด็จอุบัติแล้วในโลก ฉะนั้นแล.

ในกาลต่อจากพระเวสสภูนั้น ในกัปนี้ มีพระพุทธเจ้าบังเกิดขึ้น
พระองค์ คือ พระกกุสันธะ พระโกนาคมนะ พระกัสสปะ และ
พระผู้มีพระภาคเจ้าของเราทั้งหลาย พระผู้มีพระภาคเจ้ากกุสันธะมีสาวก-
สันนิบาตครั้งเดียวเท่านั้น ในสันนิบาตนั้น มีภิกษุสี่หมื่น.
ในครั้งนั้น พระโพธิสัตว์ได้เป็นพระราชานามว่าเขมะ ถวาย
มหาทานพร้อมทั้งจีวร และเภสัชมียาหยอดตาเป็นต้น แก่ภิกษุสงฆ์มี
พระพุทธเจ้าเป็นประธาน พึงพระธรรมเทศนาของพระศาสดาแล้วบวช
พระศาสดาแม้พระองค์นั้นก็ทรงพยากรณ์พระโพธิสัตว์นั้นว่า จักได้เป็น
พระพุทธเจ้า.
พระผู้มีพระภาคเจ้ากกุสันธะมีนครชื่อว่า เขมะ พราหมณ์นามว่า
อัคคิทัตตะ เป็นพระบิดา พราหมณีนามว่า วิสาขา เป็นพระมารดา
มีพระอัครสาวก 2 องค์คือ พระวิธุระ และพระสัญชีวะ มีพระอุปัฏฐาก
ชื่อว่า พุทธิชะ มีพระอัครสาวิกา 2 องค์คือ พระนางสามา และพระ-
นางจัมปา
มีต้นซึกใหญ่เป็นต้นไม้ที่ตรัสรู้ มีพระสรีระสูง 40 ศอก มี
พระชนมายุสี่หมื่นปีแล.
กาลต่อจากพระเวสสภู มีพระสัมพุทธเจ้าพระนามว่า
กกุสันธะ โดยพระนาม ผู้สูงสุดกว่าสัตว์ 2 เท้า ประมาณ
ไม่ได้ เข้าถึงได้โดยยาก ฉะนี้แล.

ในกาลต่อจากพระกกุสันธะนั้น พระศาสดาพระนามว่า โกนา-
คมนะ
เสด็จอุบัติขึ้นแล้ว. แม้พระองค์ก็มีสาวกสันนิบาตครั้งเดียวเท่านั้น
ในสาวกสันนิบาตนั้น มีภิกษุสามหมื่น.

ครั้งนั้น พระโพธิสัตว์เป็นพระราชาพระนามว่า ปัพพตะ อันหมู่
อำมาตย์ห้อมล้อม เสด็จไปยังสำนักของพระศาสดา สดับพระธรรมเทศนา
แล้ว นิมนต์ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน ยังมหาทานให้เป็นไป
แล้ว ถวายผ้าปัตตุณณะ (ผ้าไหมที่ซักแล้ว) ผ้าจีนปฏะ (ผ้าขาวในเมือง
จีน) ผ้าโกไสย (ผ้าทอด้วยไหม) ผ้ากัมพล (ผ้าทำด้วยขนสัตว์) ผ้าทุกูละ
(ผ้าทำด้วยเปลือกไม้) และเครื่องลาดขนสัตว์ทำด้วยทอง แล้วบวชใน
สำนักของพระศาสดา. พระศาสดาแม้พระองค์นั้นก็ทรงพยากรณ์พระ-
โพธิสัตว์นั้นว่า จักได้เป็นพระพุทธเจ้า.
พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น มีนครชื่อว่า โสภวดี พราหมณ์
นามว่า ยัญญทัตตะ เป็นพระบิดา พราหมณีนามว่า อุตตรา เป็นพระ-
มารดา มีพระอัครสาวก 2 องค์คือ พระภิยยสะ และพระอุตตระ มี
พระอุปัฏฐากชื่อว่า โสตถิชะ มีพระอัครสาวิกา 2 องค์คือ พระนาง
สมุททา และพระนางอุตตรา มีต้นมะเดื่อเป็นต้นไม้ที่ตรัสรู้ มีพระสรีระ
สูง 30 ศอก มีพระชนมายุสามหมื่นปีแล.
กาลต่อจากพระกกุสันธะ มีพระสัมพุทธเจ้าพระนามว่า
โกนาคมนะ. ผู้สูงสุดกว่าสัตว์ 2 เท้า เป็นพระชินเจ้าผู้โลก-
เชษฐ์องอาจในหมู่คน ฉะนี้แล.

ในกาลต่อจากพระโกนาคมนะนั้น พระศาสดาพระนามว่า กัสสปะ
อุบัติขึ้นแล้ว แม้พระองค์ก็มีสาวกสันนิบาตครั้งเดียวเท่านั้น, ในสาวก
สันนิบาตนั้น มีภิกษุสองหมื่น. ในครั้งนั้น พระโพธิสัตว์ได้เป็นมาณพ
ชื่อว่า โชติปาละ สำเร็จไตรเพท เป็นผู้มีชื่อเสียงทั้งบนแผ่นดินและ
กลางหาว ได้เป็นมิตรของช่างหม้อชื่อว่า ฆฏิการะ พระโพธิสัตว์นั้นไป

เฝ้าพระศาสดาพร้อมกับช่างหม้อนั้น ได้ฟังธรรมกถาแล้วบวช ลงมือทำ
ความเพียร เล่าเรียนพระไตรปิฎกทำพระพุทธศาสนาให้งดงาม เพราะถึง
พร้อมด้วยวัตรปฏิบัติน้อยใหญ่ พระศาสดาแม้พระองค์นั้นก็ทรงพยากรณ์
พระโพธิสัตว์นั้นว่า จักได้เป็นพระพุทธเจ้า.
นครที่ประสูติของพระผู้มีพระภาคเจ้านั้น มีนามว่า พาราณสี
พราหมณ์นามว่า พรหมทัตตะ เป็นพระบิดา พราหมณีนามว่า ธนวดี
เป็นพระมารดา มีพระอัครสาวิกา 2 องค์คือ พระติสสะ และพระภารทวาชะ
มีพระอุปัฏฐากชื่อว่า สรรพมิตตะ มีพระอัครสาวิกา 2 องค์คือ พระนาง
อนุฬา และพระนาง อุรุเวฬา มีต้นนิโครธเป็นต้นไม้ที่ตรัสรู้ มีพระสรีระ
สูง 20 ศอก มีพระชนมายุสองหมื่นปีแล.
กาลต่อจากพระโกนาคมนะ พระสัมพุทธเจ้าพระนามว่า
กัสสปะโดยพระโคตร ผู้สูงสุดกว่าสัตว์ 2 เท้า เป็นพระ-
ธรรมราชา ผู้ทรงทำแสงสว่าง ฉะนี้แล.

ก็ในกัปที่พระทีปังกรทศพลเสด็จอุบัติขึ้นนั้น แม้จะมีพระพุทธเจ้า
องค์อื่น ๆ ถึง 3 พระองค์ แต่พระโพธิสัตว์มิได้รับการพยากรณ์ในสำนัก
ของพระพุทธเจ้าเหล่านั้น เพราะฉะนั้น ท่านจึงไม่แสดงพระพุทธเจ้า
ทั้งหลายนั้นไว้ในที่นี้ แต่ในอรรถกถา เพื่อที่จะแสดงพระพุทธเจ้าแม้
ทั้งหมด ตั้งแต่พระทีปังกรไป จึงกล่าวคำนี้ไว้ว่า
พระสัมพุทธเจ้าเหล่านี้ คือพระตัณหังกร พระเมธังกร
พระสรณังกร พระทีปังกรสัมพุทธเจ้า พระโกณฑัญญะผู้
สูงสุดกว่านระ

พระมังคละ พระสุมนะ พระเรวตะ พระโสภิตมุนี
พระอโนมทัสสี พระปทุมะ พระนารทะ พทุมมุตตระ
พระสุเมธะ พระสุชาตะ พระปิยทัสสี ผู้มีพระยศใหญ่
พระอัตถทัสสี พระธรรมทัสสี พระสิทธัตถะผู้โลกนายก
พระติสสะ พระผุสสสัมพุทธเจ้า พระวิปัสสี พระสิขี
พระเวสสภู พระกกุสันธะ พระโกนาคมนะ และพระกัสสปะ
ผู้นายก
ล้วนปราศจากราคะ มีพระหทัยตั้งมั่น ทรงบรรเทาความ
มืดอย่างใหญ่ได้ เหมือนพระอาทิตย์ เสด็จอุบัติขึ้นแล้ว พระ-
สัมพุทธเจ้าเหล่านั้นพร้อมทั้งพระสาวก ลุกโพลงแล้วประดุจ
กองไฟ เสด็จปรินิพพานแล้ว.

บรรดาพระพุทธเจ้าเหล่านั้น พระโพธิสัตว์ของเราทั้งหลาย ได้
กระทำอธิการไว้ในสำนักของพระพุทธเจ้า 24 พระองค์ มีพระทีปังกร
เป็นต้น มาตลอดสื่อสงไขยยิ่งด้วยแสนกัป. ก็กาลต่อจากพระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าพระนามว่ากัสสปะ เว้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นี้แล้ว ไม่มี
พระพุทธเจ้าพระองค์อื่น. ก็พระโพธิสัตว์ได้รับคำพยากรณ์ในสำนักของ
พระพุทธเจ้า 24 พระองค์ มีพระทีปังกรพุทธเจ้าเป็นต้น ดังพรรณนา
มาฉะนี้แล้ว จึงทรงบำเพ็ญพุทธการกธรรมมีความเป็นผู้มีทานบารมีเป็นต้น
ที่พระโพธิสัตว์นี้ประมวลธรรม 8 ประการนี้ที่ว่า
อภินีหารคือความปรารถนาอย่างจริงจัง ย่อมสำเร็จเพราะ
ประมวลธรรม 8 ประการเข้าไว้คือ ความเป็นมนุษย์ 1 ความ
สมบูรณ์ด้วยเพศ ( ชาย) 1 เหตุ (ที่จะได้บรรลุพระอรหัต) 1

ได้พบเห็นพระศาสดา 1 ได้บรรพชา 1 สมบูรณ์ด้วยคุณ
(คือได้อภิญญาและสมาบัติ) การกระทำอันยิ่ง (สละชีวิต
ถวายพระพุทธเจ้า)1 ความเป็นผู้มีฉันทะ (อุตสาหะพากเพียร
มาก) 1.

แล้วกระทำอภินีหารไว้ที่บาทมูลของพระทีปังกร แล้วกระทำความ
อุตสาหะว่า เอาเถอะ เราจะค้นหาธรรม อันกระทำความเป็นพระพุทธเจ้า
ทั่วทุกด้าน ซึ่งได้เห็นแล้วว่า ครั้งนั้น เราค้นหาอยู่ ก็ได้พบเห็นทาน-
บารมีข้อแรก บำเพ็ญมาจนกระทั่งอัตภาพเป็นพระเวสสันดร และเมื่อ
ดำเนินมา ก็ดำเนินมาเพราะได้ประสบอานิสงส์ของพระโพธิสัตว์ผู้ที่ได้
กระทำอภินิหารไว้ ซึ่งท่านพรรณนาไว้ว่า
นรชนผู้สมบูรณ์ด้วยองค์คุณทุกประการ ผู้เที่ยงต่อพระ-
โพธิญาณอย่างนี้ ท่องเที่ยวไปตลอดกาลนานแท้ด้วยร้อย
โกฏิกัป
จะไม่เกิดในอเวจีมหานรก และในโลกันตรนรกก็เช่นกัน
แม้เมื่อเกิดในทุคติ จะไม่เกิดเป็นนิชฌามตัณหิกเปรต ขุปปิ-
ปาสาเปรต และกาลกัญชิกาสูร
ไม่เป็นสัตว์ตัวเล็ก ๆ เมื่อเกิดในมนุษย์ก็จะไม่เป็นคน
ตาบอดแต่กำเนิด
ไม่เป็นคนหูหนวก ไม่เป็นคนใบ้ ไม่เกิดเป็นสตรี ไม่
เป็นอุภโตพยัญชนกะและกะเทย.
นรชนผู้เที่ยงต่อพระโพธิญาณ จะไม่ติดพันในสิ่งใด
พ้นจากอนันตริยกรรม เป็นผู้มีโคจรสะอาดในที่ทุกสถาน

ไม่ซ่องเสพมิจฉาทิฏฐิ เพราะเห็นกรรมและผลของการ
กระทำ แม้จะไปเกิดในสวรรค์ก็จะไม่เกิดเป็นอสัญญีสัตว์
ในเหล่าเทพชั้นสุทธาวาส ก็ไม่มีเหตุที่จะไปเกิด. เป็น
สัตบุรุษ น้อมใจไปในเนกขัมมะ พรากจากภพน้อยใหญ่
ประพฤติแต่ประโยชน์แก่โลก บำเพ็ญบารมีทั้งปวง
ดังนี้.
ก็เมื่อพระโพธิสัตว์นั้นบำเพ็ญบารมีทั้งหลายอยู่ ไม่มีปริมาณของ
อัตภาพที่บำเพ็ญเพื่อความเป็นผู้มีทานบารมี คือกาลเป็นพราหมณ์ชื่อว่า
อกิตติ กาลเป็นพราหมณ์ชื่อ สังขะ กาลเป็นพระเจ้าธนัญชัย กาลเป็น
พระเจ้ามหาสุทัสสนะ กาลเป็นมหาโควินทะ กาลเป็นพระเจ้านิมิมหา-
ราช การเป็นพระจันทกุมาร กาลเป็นวิสัยหเศรษฐี กาลเป็นพระเจ้า
สีวิราช กาลเป็นพระเวสสันดรราชา ก็โดยแท้จริง ในสสบัณฑิตชาดก

ความเป็นทานบารมีของพระโพธิสัตว์ผู้กระทำการบริจาคคนอย่างนี้ว่า
เราเห็นเขาเข้ามาเพื่อภิกษา จึงบริจาคตนของตน ผู้เสมอ
ด้วยทานของเราไม่มี นี้เป็นทานบารมีของเรา
ดังนี้.
จัดเป็นปรมัตถบารมี.
อนึ่ง อัตภาพที่พระโพธิสัตว์บำเพ็ญความเป็นผู้มีศีลบารมี คือใน
กาลเป็นสีลวนาคราช กาลเป็นจัมเปยยนาคราช กาลเป็นภูริทัตตนาคราช
กาลเป็นพญาช้างฉัตทันต์ กาลเป็นชัยทิสราชบุตร กาลเป็นอลีน-
สัตตุกุมาร
ก็เหลือที่จะนับได้. ก็โดยที่แท้ ในสังขปาลชาดก ความ
เป็นผู้มีศีลบารมี ของพระโพธิสัตว์ผู้กระทำการบริจาคคนอยู่อย่างนี้ว่า
เราถูกแทงด้วยหลาวก็ดี ถูกแทงด้วยหอกก็ดี มิได้โกรธ
พวกลูกของนายบ้านเลย นี้เป็นศีลบารมีของเรา
ดังนี้.

จัดเป็นปรมัตถบารมี.
อนึ่ง อัตภาพที่พระโพธิสัตว์สละราชสมบัติใหญ่ บำเพ็ญความเป็น
ผู้มีเนกขัมมบารมี คือในกาลเป็นโสมนัสสกุมาร กาลเป็นหัตถิปาลกุมาร
กาลเป็นอโยฆรบัณฑิต จะนับประมาณมิได้. ก็โดยที่แท้ ในจูฬสุตโสม-
ชาดก
ความเป็นเนกขัมมบารมี ของพระโพธิสัตว์ผู้สละราชสมบัติออก
บวช เพราะความเป็นผู้ไม่มีความติดข้องอย่างนี้ว่า
เราสละราะสมบัติใหญ่ที่อยู่ในเงื้อมมือ ประดุจก้อนเขฬะ
เมื่อละทิ้ง ไม่มีความข้องเลย นี้เป็นเนกขัมมบารมีของเรา

ดังนี้.
จัดเป็นปรมัตถบารมี.
อนึ่ง อัตภาพที่พระโพธิสัตว์บำเพ็ญความเป็นผู้มีปัญญาบารมี คือ
ในกาลเป็นวิธุรบัณฑิต กาลเป็นมหาโควินทบัณฑิต กาลเป็นกุททาล-
บัณฑิต
กาลเป็นอรกบัณฑิต กาลเป็นโพธิปริพาชก กาลเป็นมโหสถ-
บัณฑิต
จะนับประมาณมิได้. ก็โดยที่แท้ ในสัตตุภัสตชาดก ความเป็น
ปัญญาบารมี ของพระโพธิสัตว์ผู้แสดงงูที่อยู่ในกระสอบ ในคราวเป็น
เสนกบัณฑิตว่า
เราใช้ปัญญาใคร่ครวญอยู่ ได้ช่วยปลดเปลื้องพราหมณ์
ให้พ้นจากทุกข์ ผู้เสมอด้วยปัญญาของเราไม่มี นี้เป็นปัญญา
บารมีของเรา
ดังนี้.
จัดเป็นปรมัตถบารมี.
อนึ่ง อัตภาพที่พระโพธิสัตว์บำเพ็ญความเป็นวิริยบารมีเป็นต้น ก็

เหลือที่ประมาณได้. ก็โดยที่แท้ ในมหาชนกชาดก ความเป็นวิริยบารมี
ของพระโพธิสัตว์ผู้ว่ายข้ามมหาสมุทรอยู่อย่างนี้ว่า
ในท่ามกลางน้ำ เราไม่เห็นฝั่งเลย พวกมนุษย์ถูกฆ่าตาย
หมด เราไม่มีจิตเป็นอย่างอื่นเลย นี้เป็นวิริยบารมีของเรา

ดังนี้.
จัดเป็นปรมัตถบารมี.
ในขันติวาทีชาดก ความเป็นขันติบารมี ของพระโพธิสัตว์ผู้อดกลั้น
มหันตทุกข์ได้ เหมือนไม่มีจิตใจอย่างนี้ว่า
เมื่อพระเจ้ากาสีฟาดฟันเราผู้เหมือนไม่มีจิตรใจ ด้วยขวาน
อันคมกริบ เราไม่โกรธเลย นี้เป็นขันติบารมีของเรา
ดังนี้ .
จัดเป็นปรมัตถบารมี.
ในมหาสุตโสมชาดก ความเป็นสัจบารมี ของพระโพธิสัตว์ผู้สละ
ชีวิตตามรักษาสัจจะอยู่อย่างนี้ว่า
เราเมื่อจะตามรักษาสัจวาจา ได้สละชีวิตของเราปลด-
เปลื้องกษัตริย์ 101 พระองค์ได้แล้ว นี้เป็นสัจบารมีของเรา

ดังนี้.
จัดเป็นปรมัตถบารมี.
ในมูคปักขชาดก ความเป็นอธิษฐานบารมี ของพระโพธิสัตว์ ผู้
สละแม้ชีวิตอธิษฐานวัตรอยู่อย่างนี้ว่า
มารดาบิดาได้เป็นที่เกลียดชังของเรา ทั้งยศใหญ่ก็มิได้
เป็นที่เกลียดชัง แต่พระสัพพัญญุตญาณเป็นที่รักของเรา
เพราะฉะนั้น เราจึงอธิษฐานวัตร
ดังนี้.

จัดเป็นปรมัตถบารมี.
ในสุวรรณสามชาดก ความเป็นเมตตาบารมี ของพระโพธิสัตว์
ผู้ไม่เหลียวแลแม้แต่ชีวิต มีความเมตตาอยู่อย่างนี้ว่า
ใคร ๆ ก็ทำให้เราสะดุ้งไม่ได้ ทั้งเราก็มิได้หวาดกลัวต่อ
ใคร ๆ เราอันกำลังเมตตาค้ำชู จึงยินดีอยู่ในป่าได้ทุกเมื่อ

ดังนี้.
จัดเป็นปรมัตถบารมี.
ในโลมหังสชาดก ความเป็นอุเบกขาบารมี ของพระโพธิสัตว์ผู้เมื่อ
พวกเด็กชาวบ้านยังความสุขและความทุกข์ให้เกิดขึ้น ด้วยการถ่มน้ำลายใส่
เป็นต้น และด้วยการนำดอกไม้และของหอมเข้ามาบูชาเป็นต้น ก็ไม่
ประพฤติล่วงเลยอุเบกขาอย่างนี้ว่า
เราหนุนซากศพเหลือแต่กระดูก สำเร็จการนอนในป่าช้า
พวกเด็กชาวบ้านพากันเข้ามาแสดงรูป (อาการ) นานัปการ

ดังนี้.
จัดเป็นปรมัตถบารมี.
นี้เป็นความสังเขปในที่นี้ ส่วนข้อความพิสดารนั้น พึงถือเอาจาก
จริยาปิฎก. พระโพธิสัตว์บำเพ็ญบารมีทั้งหลายอย่างนี้แล้ว ดำรงอยู่
ในอัตภาพเป็นพระเวสสันดร กระทำบุญใหญ่ อันเป็นเหตุให้แผ่นดิน
ใหญ่ไหวเป็นต้น อย่างนี้ว่า
แผ่นดินนี้หาจิตใจมิได้ ไม่รู้สึกสุขและทุกข์ แม้แผ่นดิน
นั้นก็ได้ไหวแล้วถึง 7 ครั้ง เพราะกำลังทานของเรา
ดังนี้.
ในเวลาสิ้นสุดแห่งอายุ จุติจากอัตภาพนั้นได้ไปเกิดในดุสิตพิภพ.

ฐานะมีประมาณเท่านี้ จำเดิมแต่บาทมูลของพระพุทธเจ้าทีปังกร จนถึง
พระโพธิสัตว์นี้บังเกิดในดุสิตบุรี พึงทราบว่า ชื่อทูเรนิทาน ด้วยประการ
ฉะนี้.
จบทูเรนิทานกถา

อวิทูเรนิทานกถา


ก็เมื่อพระโพธิสัตว์อยู่ในดุสิตบุรีนั้นแล ชื่อว่าความโกลาหล คือ
ความแตกตื่นเรื่องพระพุทธเจ้าได้เกิดขึ้นแล้ว. จริงอยู่ ในโลกย่อมมี
ความโกลาหล 3 ประการเกิดขึ้น คือ โกลาหลเรื่องกัป 1 โกลาหลเรื่อง
พระพุทธเจ้า 1 โกลาหลเรื่องพระเจ้าจักรพรรดิ 1.
บรรดาโกลาหลทั้งสามนั้น เทพชั้นกามาวจรชื่อว่าโลกพยูหะทราบว่า
ล่วงไปแสนปี เหตุเกิดตอนสิ้นกัปจักมี จึงปล่อยศีรษะสยายผม มีหน้า
ร้องไห้เอามือทั้งสองเช็ดน้ำตา นุ่งผ้าแดง ทรงเพศผิดรูปร่างเหลือเกิน
เที่ยวบอกกล่าวไปในถิ่นมนุษย์อย่างนี้ว่า ดูก่อนท่านผู้นิรทุกข์ทั้งหลาย
ล่วงแสนปีจากนี้ไป เหตุเกิดตอนสิ้นกัปจักมี โลกนี้จักพินาศ แม้มหา-
สมุทรจะเหือดแห้ง มหาปฐพีนี้กับขุนเขาสิเนรุ จักถูกไฟไหม้ จักพินาศ
โลกาวินาศ จักมีจนกระทั่งพรหมโลก ท่านผู้นิรทุกข์ทั้งหลาย ขอพวก
ท่านจงเจริญเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา จงบำรุงมารดาบิดา จง
ประพฤติอ่อนน้อมต่อผู้เป็นใหญ่ในตระกูล นี้ชื่อว่าโกลาหลเรื่องกัป.